บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
ออกจากกรงที่ขังตนเอง : พระไพศาล วิสาโล |
Wednesday, 14 December 2011 | |||||
นิตยสารสารคดี : ฉบับที่ 320 :: พฤศจิกายน 54 ปีที่ 27
คอลัมน์รับอรุณ : ออกจากกรงที่ขังตนเอง พระไพศาล วิสาโล
"ความรู้คืออำนาจ" ข้อความดังกล่าวมีส่วนจริงไม่น้อย แต่อะไรที่มีมากๆ ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป หาไม่คงไม่มีสำนวนว่า "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด" แสดงว่าถึงจะมีความรู้มากก็อาจไม่ช่วยอะไร บางครั้งกลับกลายเป็นปัญหาด้วยซ้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น การมีข่าวสารข้อมูลมากๆ ก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเสมอไป จะว่าไปแล้วปัญหาของคนในยุคนี้ก็คือมีข่าวสารข้อมูลมากเกินไปจนไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไรดี ทุกวันนี้ข่าวสารข้อมูลมาจากทุกทิศทุกทาง แค่จากโทรทัศน์ซึ่งมีอยู่นับร้อยช่องก็เกินพอแล้ว แต่นั่นเป็นส่วนน้อยของข่าวสารข้อมูลที่เราได้รับในแต่ละวัน นอกจากหนังสือพิมพ์และนิตยสารแล้ว ยังมีเว็บไซต์นับสิบที่อยากอ่าน อีเมล์มากมายที่ต้องตอบ Facebookหลายเพจ ที่ต้องเปิด รวมทั้งวีดีโอ YouTube นับสิบคลิปที่ชวนดู ยังไม่นับข่าวสารทางโทรศัพท์ที่มาในรูปของเสียงและsms แล้วก็ tweeter อีกด้วย ที่ว่านี้เฉพาะข่าวสารข้อมูลที่เราอยากรับรู้ ยังมีอีกมากที่ไม่สนใจแต่ก็โผล่มาให้เห็นตามป้ายโฆษณานับร้อยๆ ที่ผ่านตาในแต่ละวัน แล้วข้อมูลที่ต้องอ่านต้องเจอระหว่างการทำงานอีกล่ะ ไม่ผิดหากจะพูดว่าคนเมืองทุกวันนี้กำลังถูกข้อมูลท่วมทับ มีการสำรวจพบว่า 2 ใน 3 ของผู้จัดการในประเทศต่างๆ เชื่อว่าการมีข้อมูลล้นเหลือเป็นสาเหตุสำคัญทำให้มีความสุขกับการทำงานน้อยลงหรือไม่ก็ทำให้ความสัมพันธ์กับผู้อื่นแย่ลง 1 ใน 3 เชื่อว่ามันทำให้สุขภาพของเขาเสื่อมโทรมลง นอกจากนั้นยังมีการสำรวจพบว่าผู้จัดการส่วนใหญ่คิดว่าข้อมูลส่วนใหญ่ที่ตนได้รับนั้นไร้ประโยชน์ พูดอีกอย่าง "ความรู้คืออำนาจ" ก็จริง แต่การมีข่าวสารข้อมูลมากๆ กลับทำให้ผู้คนรู้สึกไร้อำนาจมากขึ้น เป็นตัวของตัวเองน้อยลง ด้วยเหตุนี้ในระยะหลังจึงมีการสรรหาวิธีการต่างๆ มากมายเพื่อแก้ปัญหาข่าวสารข้อมูลท่วมทับ วิธีหนึ่งก็คือ การคิดค้นเทคโนโลยีที่ช่วยกรองข่าวสารข้อมูลเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้รับ เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้อยู่ไกลตัวเราเลย แต่กำลังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรามากขึ้น ทุกวันนี้มันอาจกำลังทำงานให้เราอยู่ก็ได้ หนึ่งในนั้นคือ Google มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า หากคุณโทรศัพท์บอกเพื่อนที่อยู่ในต่างประเทศให้ถาม Google ด้วยการพิมพ์คำใดคำหนึ่งในเวลาเดียวกันกับคุณ คำตอบที่คุณและเพื่อนได้นั้นจะแตกต่างกันกัน ทั้งนี้ก็เพราะ Google จะเอาข้อมูลเกี่ยวกับคุณ เช่น สถานที่ การค้นหาคำในอดีต รวมทั้งความสนใจส่วนตัว มาใช้ในการหาคำตอบ พูดอีกอย่างหนึ่ง มันจะให้ผลที่สอดคล้องกับตัวคุณ Amazon เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่า คุณจะชอบหนังสือเล่มใด หรืออัลบั้มเพลงใดบ้าง รวมทั้งให้คำแนะนำที่ตรงกับรสนิยมของคุณ ในทำนองเดียวกัน Facebook ก็จะอัพเดทข้อมูลของเพื่อนที่คุณติดต่อบ่อยที่สุด ขณะเดียวกันก็กรองเอาคนที่คุณติดต่อน้อยที่สุดออกไป แน่นอนว่าเทคโนโลยีแบบนี้ช่วยให้ชีวิตของเราสะดวกสบายขึ้น แทนที่จะต้องเสียเวลาค้นหาข้อมูลที่เราสนใจ มันกลับเป็นฝ่ายคัดเลือกมาให้เราเอง ราวกับรู้ใจเรา อย่างไรก็ตามในสายตาของคนจำนวนไม่น้อย นี้เป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วง เพราะแสดงว่าข้อมูลส่วนตัวของเรานั้นไม่ได้เป็นส่วนตัวอีกต่อไป แต่ถูกเก็บสะสมไว้อย่างละเอียดในคลังข้อมูลของเทคโนโลยีเหล่านี้ จนไม่เพียงบ่งบอกหากยังทำนายได้อย่างแม่นยำว่าเราจะชอบอะไรบ้าง แต่สิ่งที่น่าห่วงใยมีมากกว่านั้น การที่มันสามารถนำเสนอข้อมูลที่ตรงกับความสนใจของเรา ในด้านหนึ่งก็หมายความว่ามันกำลังตีกรอบการรับรู้ของเราให้แคบลงด้วย คือรับรู้แต่เฉพาะเรื่องที่ถูกใจเราเท่านั้น หากเราถูกแวดล้อมด้วยเทคโนโลยีเหล่านั้น ซึ่งรู้ว่าเราชอบข่าวประเภทไหน ไม่ใช่แค่รู้ว่าชอบข่าวการเมือง เศรษฐกิจ กีฬา หรือบันเทิงเท่านั้น แต่ยังรู้ถึงขนาดว่าเราชอบข่าวการเมืองแบบใด แนวไหน อนุรักษ์นิยมหรือเสรีนิยม ขวาหรือซ้าย "เหลือง" หรือ "แดง" เราก็จะได้รับแต่ข่าวสารข้อมูลแนวนั้นแนวเดียว ซึ่งก็เท่ากับตอกย้ำความเข้าใจหรือความเชื่อเดิมๆ ที่มีอยู่แล้วในใจเราให้ฝังลึกแน่นแฟ้นขึ้น แทนที่จะมีโอกาสรับฟังข่าวสารข้อมูลหรือความเห็นที่ต่างออกไปบ้าง ผลก็คือเกิดความเชื่อฝังหัวยิ่งกว่าเดิม มีผู้เรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า "การโฆษณาฝังหัวตนเอง" (autopropaganda) ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีที่รู้ใจเรานั้นยังไม่ได้พัฒนาถึงขั้นที่ห้อมล้อมตัวเราอย่างแน่นหนาก็ตาม แต่ "การโฆษณาฝังหัวตนเอง" กำลังเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ดังเห็นได้ว่าทุกวันนี้ผู้คนพากันเข้าหาและตามติดแหล่งข่าวสารข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อและรสนิยมของตัวมากขึ้นทุกที อันที่จริงนี้เป็นธรรมดาของมนุษย์ เป็นแต่ว่าในยุคนี้แหล่งข่าวสารข้อมูลที่ตรงใจตัวเองนั้นหาได้ง่ายขึ้น เข้าถึงได้สะดวกขึ้น อีกทั้งยังมีให้เลือกอย่างล้นเหลือ รวมทั้งมีทุกแนวทุกแบบและทุกเฉดสี แม้แต่ความคิดที่สุดโต่งก็เข้าถึงได้ง่าย เพราะการเผยแพร่ข่าวสารเหล่านี้ทำได้ง่ายกว่าแต่ก่อนมาก เพียงแต่เปิดเว็บไซต์ขึ้นมาหรือไม่ก็ใช้อีเมลเป็นสื่อก็สำเร็จประโยชน์แล้ว แหล่งข้อมูลเหล่านี้เน้นสื่อสารกับคนที่คิดเหมือนกัน คอเดียวกัน ดังนั้นจึงมักให้ข้อมูลและความเห็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยไม่สนใจข้อมูลหรือความคิดเห็นที่ต่างออกไป มิหนำซ้ำยังใส่อารมณ์ได้เต็มที่ จึงมีแนวโน้มที่จะทำให้ผู้รับสื่อนั้นมีความคิดสุดโต่งมากขึ้น โดยเชื่อมั่นเต็มร้อยว่าความรับรู้และความเห็นของตนนั้นถูกต้องที่สุด และดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะมองคนที่เห็นต่างจากตนเป็นพวกที่ "ไม่รู้จริง" "งี่เง่า" หรือ "เลวทราม"ไปเลย Facebook เป็นตัวอย่างหนึ่งของสื่อที่สามารถทำให้คนมีความคิดเห็นที่แคบลงหรือถึงกับสุดโต่งไปเลยได้ง่ายขึ้น เพราะผู้คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะเลือกรับคนที่มีความคิดเห็นหรือรสนิยมคล้ายกันมาเป็นเพื่อน ใครที่แสดงความเห็นต่างจากตน หากต่างอย่างสุดขั้ว(หรือต่างเพียงแค่บางเรื่องบางประเด็นหรือบางระดับ)ก็ถูกตัดออกไปได้ง่าย ๆ คงเหลือแต่เพื่อนที่คิดเหมือนกันหรือมองในแนวเดียวกัน จึงเท่ากับตอกย้ำความเชื่อที่มีอยู่จนมั่นใจว่าเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง อันที่จริงถึงแม้ไม่ตัดคนที่คิดต่างออกจากความเป็นเพื่อนใน Facebook แต่หากไม่ค่อยได้ติดต่อสื่อสารกับเขาเลย โปรแกรมในFacebookก็สามารถกันเขาออกไปได้ ดังมีนักเขียนแนวเสรีนิยมบางคนตั้งข้อสังเกตว่า จู่ๆ เพื่อนที่มีหัวอนุรักษ์นิยมหรือเอียงขวาก็หายไปจากหน้าFacebookของเขา การนำเสนอข้อมูลและความเห็นไปในแง่ใดแง่หนึ่งเป็นหลักนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับสื่อสมัยใหม่หรือสื่ออินเทอร์เน็ตเท่านั้น แม้แต่สื่อดั้งเดิมเช่น หนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ ก็มีแนวโน้มไปในทางนั้นด้วยเช่นกัน ในอดีตสื่อเหล่านี้มักเสนอข้อมูลและความเห็นที่หลากหลาย มีทั้งข่าวการเมือง เศรษฐกิจ กีฬา บันเทิง วัฒนธรรมในหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน ส่วนความเห็นก็มีแทบทุกแนว (ยกเว้นความเห็นที่สุดโต่ง) ยิ่งสื่อขนาดใหญ่ที่มีผู้อ่านหรือผู้ชมทั่วประเทศ ก็จะยิ่งมีเนื้อหาที่หลากหลาย โดยที่ความเห็นนั้นมักจะแสดงออกมาแบบกลางๆ ไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่งชัดเจน ทั้งนี้เพราะต้องการดึงผู้คนซึ่งมีความต้องการและความเห็นที่หลากหลายให้มาเป็นลูกค้าของตน หากสื่อฝักใฝ่โน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่งแล้ว ก็จะทำให้ผู้อ่านหรือผู้ชมส่วนหนึ่งหันหลังให้ ซึ่งนอกจากจะมีผลต่อยอดขายแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นก็คือรายได้จากโฆษณาก็จะลดลง จะว่าไปแล้วบริษัทโฆษณานั้นมีอิทธิพลไม่น้อยในการทำให้สื่อขนาดยักษ์มีจุดยืนแบบกลาง ๆ เพื่อดึงดูดคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย เพราะนั่นหมายความว่าบริษัทเหล่านี้สามารถโฆษณาสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวาง มองในแง่นี้ความเป็นกลางของหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ เป็นประโยชน์ทั้งต่อเจ้าของสื่อ คนทำงานสื่อ และบริษัทโฆษณา แต่ผลพลอยได้ก็ตกมาถึงผู้อ่านผู้ชมด้วย ตรงที่ได้รับข้อมูลและความเห็นที่หลากหลาย ไม่เอนเอียงทางใดทางหนึ่ง อย่างไรก็ตามข้อเสียก็คือสื่อแบบนี้ไม่ค่อยมีพื้นที่ให้แก่ความเห็นที่ทวนกระแสหรือท้าทายความเชื่อพื้นฐานของคนส่วนใหญ่ (radical) ต้องอาศัยสื่อขนาดเล็กซึ่งมีผู้อ่านผู้ชมเฉพาะกลุ่ม อย่างไรก็ตามแนวโน้มนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะทุกวันนี้สื่อดั้งเดิมนอกจากจะเน้นเนื้อหาข่าวสารเฉพาะด้านมากขึ้นแล้ว ยังมีความเป็นกลางน้อยลง แต่ "เอียงข้าง"ชัดเจนขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อแข่งกับสื่อชนิดใหม่ที่นับวันจะดึงลูกค้าของสื่อดั้งเดิมออกไป การเอียงข้างในที่นี้หมายถึงการแสดงความเห็นหรือจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แทนที่จะเสนอข้อมูลล้วนๆ ให้ผู้อ่านผู้ชมตัดสินเอาเอง อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ การนำเสนอข้อมูลแต่เพียงแง่ใดแง่หนึ่ง มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นตามมามากขึ้นเพื่อตอบสนองลูกค้าที่ต้องการเสพสื่อที่มีความเห็นและจุดยืนสอดคล้องกับตน ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้คนนับวันจะอยู่ในโลกแห่งข่าวสารข้อมูลที่ตนเลือกเฟ้นขึ้นเอง และเหินห่างจากความเป็นจริงมากขึ้น เพราะมองเห็นและยึดติดอยู่แต่ความจริงด้านเดียว (หรือแย่กว่านั้นก็คือยึดติดกับความเท็จความลวง) ขณะเดียวกันก็ปิดกั้นตัวเองจากข่าวสารข้อมูลและความเห็นที่ไม่ถูกใจตน ผลเสียที่ตามมาอีกประการหนึ่งก็คือ เกิดช่องว่างทางความคิดกับคนอื่นๆ มากขึ้น เหมือนกับคนตาบอดที่คลำช้างคนละส่วนแล้วหลงคิดว่าแต่ละส่วนนั้นเป็นความจริงทั้งหมด ผลที่เกิดขึ้นก็คือการทะเลาะเบาะแว้งเพราะต่างยึดมั่นใน "ความจริง"ของตน จนถึงกับเห็นซึ่งกันและกันเป็นศัตรู ปฏิเสธไม่ได้ว่าความขัดแย้งในสังคมปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการยึดติดถือมั่นกับความเชื่อของตน โดยสนใจรับฟังความเห็นที่ต่างจากตนเลย น่าแปลกที่ว่าในยุคข่าวสารข้อมูล ผู้คนแทนที่จะมีความรู้และมุมมองกว้างขวางขึ้น กลับมีทัศนะที่แคบลง ไม่ใช่เพียงเพราะสื่อเลือกข้างกันมากขึ้นเท่านั้น หากยังเป็นเพราะผู้คนเลือกที่จะโฆษณาฝังหัวตนเองด้วย ในแง่นี้จึงไม่ต่างกับการสร้างกรงขังทางด้านสติปัญญาให้แก่ตนเองโดยไม่รู้ตัว วิธีหนึ่งที่จะช่วยทลายกรงขังดังกล่าวก็คือ การพยายามเปิดใจรับรู้ข่าวสารข้อมูลและความเห็นที่หลากหลาย ด้วยการเข้าหาแหล่งข้อมูลที่มีจุดยืนหรือความเห็นไม่ตรงกับตนเองบ้าง ไม่ใช่เพื่อรู้ว่าเขาคิดอะไรเท่านั้น แต่เพื่อรับฟัง ไตร่ตรอง และเทียบเคียงกับข้อมูลที่ตนมี รวมทั้งเพื่อตรวจทานความเห็นของตนด้วย ในเวลาเดียวกันก็ควรขยายแวดวงผู้ที่ตนติดต่อสื่อสารให้กว้างขวางขึ้น ไม่ใช่แค่รับคนที่คิดเหมือนกันเป็นเพื่อนใน Facebook เท่านั้น แต่ควรรวมไปถึงคนที่คิดต่างจากเราด้วย จริงอยู่การเปิดใจรับฟังคนที่คิดต่างจากเราไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในบรรยากาศที่การเมืองแยกขั้วอย่างชัดเจน ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องเจอความเห็นที่สุดโต่งและการด่าทอซึ่งกำลังแพร่ระบาดโดยเฉพาะในสื่ออินเตอร์เน็ตและสื่อประเภท social media แต่นั่นเป็นผลข้างเคียง หากเราพยายามอดทนและรู้จักทำใจ ก็ย่อมได้ประโยชน์จากข่าวสารข้อมูลและความเห็นที่ไม่ถูกใจตน อย่าลืมว่าหากเรารับรู้แต่สิ่งเดิมๆ ที่ตรงกับความคิดความเชื่อของเราอยู่แล้ว สติปัญญาของเราจะงอกเงยได้อย่างไร มีอะไรอีกหรือที่เราจะเรียนรู้เพิ่มเติมหากเราอ่านและฟังแต่สิ่งที่ตรงใจเราหรือยืนยันความเชื่อเดิมๆ ของเรา ยุคข่าวสารข้อมูลไม่ได้ช่วยให้เราเข้าถึงความจริงได้ง่ายขึ้นเท่านั้น หากยังช่วยให้ความเท็จและข่าวลือแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วเท่าๆ กับความเร็วแสง ดังนั้นจึงไม่มีหลักประกันว่าข้อมูลที่เรามีนั้นเป็นความจริงจนกว่าจะได้สอบทานเทียบเคียงกับหลายๆ แหล่ง การเปิดหูเปิดตาและเปิดใจรับฟังข้อมูลที่หลากหลายจึงเป็นสิ่งสำคัญ ขณะเดียวกันก็จำต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ แม้จะถูกใจเราหรือตรงกับความเห็นของเราก็ตาม ในข้อนี้พระพุทธองค์ได้ให้ข้อคิดที่เตือนใจเราได้ดีมาก นั่นคือ หลักกาลามสูตร ซึ่งมีตอนหนึ่งกล่าวว่า "อย่าปลงใจเชื่อเพียงเพราะฟังตามกันมา หรือเพราะเข้าได้กับความเชื่อความเห็นของตน หรือเพราะมองเห็นรูปลักษณะว่าน่าจะเป็นไปได้" แต่ควรเชื่อต่อเมื่อได้ไตร่ตรองด้วยเหตุผลและด้วยสติปัญญาของตน แม้กระนั้นตราบใดที่ยังไม่รู้ชัดหรือเห็นกับตา ก็ควรตระหนักว่านั่นยังเป็นแค่ความเชื่อ ยังสรุปว่าเป็นความจริงไม่ได้ ดังนั้นใครที่เชื่อต่างจากเราหรือมีความเห็นต่างจากเรา ก็อย่าเพิ่งสรุปว่าเขาผิด เราถูก ในเรื่องนี้พระพุทธองค์ได้ให้หลักอีกข้อหนึ่งคือ "สัจจานุรักษ์" หรือการคุ้มครองความจริง หมายถึงการที่บุคคลมีความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง แม้คิดตรองด้วยเหตุผลอย่างดีแล้ว ก็ไม่ลงความเห็นเด็ดขาดหรือ "ฟันธง" ว่า ความเชื่อของตนเท่านั้นที่จริงหรือถูกต้อง อย่างอื่นนั้นเหลวไหล ไม่ถูกต้อง หากจะกล่าวก็กล่าวเพียงว่า ฉันมีความเชื่ออย่างนี้ๆ ไม่ก้าวล่วงไปสู่การตัดสินหรือปรามาสความเชื่อของคนอื่น ยุคข่าวสารข้อมูลให้เสรีภาพมากมายแก่เราอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งนี้รวมถึงเสรีภาพและสมรรถภาพในการสร้างกรงขังปิดล้อมสติปัญญาของเราเองด้วย หากเราไม่มีสติรู้เท่าทันความยึดติดถือมั่นในความคิดความเชื่อของตน เราก็จะติดอยู่ในกรงขังดังกล่าวอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งแม้จะทำให้เราสบายใจเพราะหลงเพลินในความถูกต้องของตน แต่แท้จริงใจหาได้เป็นอิสระไม่ ต่อเมื่อเราตระหนักถึงข้อจำกัดของความคิดความเชื่อของตน และกล้าเปิดใจรับข่าวสารข้อมูลที่แม้จะไม่ถูกใจเรา เราก็จะสามารถเป็นนายเหนือความคิดความเชื่อของตนได้ แทนที่จะปล่อยให้มันครอบงำเรา เราก็ปรับปรุงแปรเปลี่ยนให้มันสอดคล้องกับความจริง หรือใช้มันเป็นพาหะพาเราเข้าถึงความจริง ด้วยวิธีนี้เท่านั้นเราจึงจะเป็นอิสระจากกรงขังดังกล่าวได้ หากปราศจากอิสรภาพดังกล่าวแล้วไซร้ ข้อมูลข่าวสารที่ได้มามากมายก็หาเป็นประโยชน์ไม่
------------------------------
จาก เว็บ
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|