บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
ประชาธิปไตย ในมือน้อย : ปานใจ ปิ่นจินดา |
Wednesday, 08 June 2011 | ||||
Life Style วันที่ 26 พฤษภาคม 2554 ประชาธิปไตย ในมือน้อย โดย : ปานใจ ปิ่นจินดา
เกาะกระแสเลือกตั้งที่ปลูกฝังกันตั้งแต่หน้าเสาธง เรียนรู้ประชาธิปไตยในห้องเรียนผ่านสภากระดานดำ และ คณะรัฐมนตรีจิ๋ว(แต่ตัว) ดูเหมือนว่าภาระบนบ่าน้อยจะใหญ่หลวงนัก เพราะอะไรๆ ก็ฝากไว้กับเด็กรุ่นนี้ อย่างที่ภาษิตโบราณว่าไว้ "ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก" เลยทำให้คนโต พ.ศ.นี้ เริ่มหันมามองความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมให้เจ้าตัวเล็กทั้งหลาย ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ เป็น "พลเมือง" ที่ทำหน้าที่อันสมควรกระทำ ในฐานะพลเมืองของประเทศได้อย่างแท้จริง ที่เห็นชัดๆ คือการนำเอา "วิชาหน้าที่พลเมือง" มาปัดฝุ่นเสียใหม่และบรรจุเข้าไว้ในกลุ่มสาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามแนวนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 ซึ่งวางเป้าหมายพัฒนาระบบการศึกษาไทยในหลายๆ มิติ โดยหนึ่งในนั้นคือต้องการพัฒนาเด็กไทยให้ "เก่ง-ดี-มีสุข" ซึ่งการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ และ ของโลก จัดอยู่ในกรอบการพัฒนาคุณภาพเด็กไทยตามแนวดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน
จากยุทธศาสตร์พัฒนาการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง พ.ศ.2553-2561 โดยกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (กนป.) ซึ่งวางแนวทางสาระสำคัญกำหนดคุณสมบัติของความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ไว้ทั้งสิ้น 6 อย่างด้วยกัน ประกอบด้วย 1.ต้องมีอิสรภาพควบคู่ความรับผิดชอบ 2.เคารพสิทธิผู้อื่น 3.เคารพความแตกต่าง 4.เคารพความเสมอภาค 5.เคารพกติกา กฎหมาย ไม่ใช้กำลังแก้ปัญหาและยอมรับผลของการละเมิดกติกา และ 6.มีส่วนร่วมแก้ปัญหาโดยเริ่มต้นที่ตนเอง เมื่อโร้ดแม็ปการศึกษาดังกล่าวเดินมาถึงหน่วยงานในภาคปฏิบัติอย่างสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งต้องทำหน้าที่ออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนนั้น ก็รับช่วงต่อโดยออกคู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประชาธิปไตย ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการ การเลือกตั้ง(กกต.)จัดทำ "คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประชาธิปไตย" ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 ทั้ง 4 ช่วงชั้น สำหรับครูอาจารย์ฉบับใหม่ขึ้น "การจัดทำคู่มือครั้งนี้ เราหารือกันว่า เนื้อแท้ของประชาธิปไตยมันต้องอยู่ในวิถีชีวิต การพัฒนาประชาธิปไตยถึงจะมีความยั่งยืน จึงทำออกมาในรูปของกิจกรรมที่ครูสามารถหยิบไปใช้สอนนักเรียน หรือจัดเป็นกิจกรรมสอดแทรกในวิชาอื่นๆ ได้ โดยเน้นไปที่การปลูกฝังประชาธิปไตยในวิถีชีวิตตั้งแต่เด็กเล็กระดับประถมศึกษา ไปถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย" วันเพ็ญ สุทธากาศ นักวิชาการศึกษา 8 ว.สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. ซึ่งรับผิดชอบดูแลเนื้อหาคู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประชาธิปไตยฯ เอ่ย
เพราะในวัยนี้สถาบันที่มีบทบาทสำคัญที่สุดของเด็กได้แก่ สถาบันครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ดังนั้น กิจกรรมที่ครูจะนำไปสอนจะทำให้เด็กได้เรียนรู้หน้าที่ของตนเองในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของสังคม โดยเฉพาะการปฏิบัติให้อยู่ในกฎระเบียบข้อตกลงร่วมกัน เช่น กฎระเบียบของห้องเรียน ที่สำคัญคือการปลูกฝังให้เด็กยอมรับความแตกต่างของคนในสังคม และการทำงานเป็นทีม หรือการสมมติบทบาทให้นักเรียนเป็นผู้นำ หรือสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว กิจกรรมที่ครูสามารถนำไปใช้กับเด็กนักเรียนในระดับชั้น ป.1-3 แบบง่ายๆ อาทิ สอนให้รู้จักการเข้าคิว ห้ามแซงคิว การจัดเวรทำความสะอาดห้องเรียน หรือการเลือกหัวหน้าชั้น เป็นต้น ส่วนกิจกรรมการเรียนรู้ประชาธิปไตยระดับ ป.4-6 ซึ่งเป็นวัยที่ได้สัมผัสโลกภายนอกมากขึ้น กิจกรรมก็จะเน้นไปที่การสร้างคุณลักษณะบุคลิกประชาธิปไตยให้เกิดกับนักเรียน เพื่อให้เป็นพลเมืองที่ดี และเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ภายใต้วัฒนธรรมอันดีงามของไทย ซึ่งจะมีเรื่องของสิทธิเสรีภาพ หน้าที่ของตนเองเข้ามาด้วย เด็กในระดับชั้น ป.4-6 จะได้เรียนรู้เรื่องสิทธิเด็ก ประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิเด็ก และกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิเด็ก โดยเด็กจะได้เรียนรู้จากสถานการณ์จริง จากข่าว หรือภาพข่าวที่นำเสนอผ่านสื่อมวลชน โดยครูจะหยิบยกมาเป็นกรณีตัวอย่าง ให้เด็กได้คิดวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามีสาเหตุมาจากอะไร จะป้องกันเหตุซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ได้อย่างไร "เจตนาของการเสริมกิจกรรมที่เกี่ยวกับหน้าที่พลเมืองนั้น ก็เพื่อให้เด็กได้รู้จัก เข้าใจการปฏิบัติตนในฐานะการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ และ ของโลก โดยจริงๆ แล้วเรื่องแบบนี้ก็มีสอนในห้องเรียน แต่เนื่องจากเรามองว่าไม่พอ เพราะเรื่องการเป็นพลเมืองดี เข้าใจในประชาธิปไตยได้นั้น มันจะต้องปลูกฝัง ให้ซึมซับเข้าไป ไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง หรือมีสภานักเรียนเท่านั้น" อ.วีณา กล่าว ที่สำคัญ คือ "ความต่อเนื่อง" ของการปลูกฝังที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่รั้วการศึกษาแต่เพียงเท่านั้น เพราะการเป็นพลเมืองที่ดีนั้น เป็นกันทั้งชีวิต ฉะนั้น การศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมืองจะสัมฤทธิ์ผลได้นั้น จะต้องเป็นการศึกษาที่ครอบคลุมพลเมืองทุกวัยของประเทศ ไม่ได้อยู่เฉพาะในหลักสูตรของโรงเรียนแต่เพียงเท่านั้น
อนุบาลประชาธิปไตย หนึ่งสัปดาห์ของการหาเสียงเลือกตั้งอย่างสนุกสนาน และนำมาสู่ตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรีนักเรียน" ประจำปีการศึกษา 2553 ของ "ปลากริม" ด.ญ.อภิชญา ธานีรัตน์ นักเรียนชั้นประถม 6 แห่งโรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช ณ นครอุทิศ โรงเรียนประชาธิปไตยต้นแบบ จ.นครศรีธรรมราช "ไอคิวดี อีคิวเด่น อนุบาลเก่ง เน้นคุณธรรม นำประชาธิปไตย" คือ สโลแกน ซึ่งปลากริม และเพื่อนๆ ร่วมพรรค "อนุบาลประชาธิปไตย" ใช้ในการหาเสียง พร้อมชูนโยบายโรงเรียนสะอาด นักเรียนมีวินัย อนุบาลพัฒนา เป็นหัวใจสำคัญในการเรียกคะแนนจากเด็กๆ โรงเรียนอนุบาลนครศรีฯ โดยนอกจากนโยบายของปลากริมจะเป็นที่ถูกอกถูกใจแล้ว นายกฯ เด็กหญิงคนนี้ยังมีอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการหาเสียงที่ได้ใจชาวอนุบาลนครศรีฯ ไปเต็มๆ คือ ลีลาบรรเลงดนตรีไทยของเธอ ทำเอาปลากริม และ พรรคอนุบาลประชาธิปไตย กวาดเอาคะแนนโหวตจากเด็กๆ มาได้ 655 คะแนน ทิ้งห่างพรรคลำดับสองอยู่ 100 คะแนนพอดิบพอดี โดยปลากริม ถือเป็นนายกรัฐมนตรีนักเรียนคนแรกไปโดยปริยาย เพราะนั่นเป็นครั้งแรกของการเลือกตั้งที่จำลองจากสนามจริงทุกประการ ของ โรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช ณ นครอุทิศ "ตอนหนูอยู่ป.4 หนูก็ทำหน้าที่เป็นอาสาคณะกรรมการนักเรียน แล้วพอขึ้นป.5 คุณครูบอกว่า โรงเรียนจะจัดระบบคณะกรรมการนักเรียนใหม่ โดยจะทำเหมือนกันกับสภาจริงๆ หนูก็สนใจอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรี เลยเอาใบสมัครมากรอก แล้วก็รวบรวมสมาชิกพรรคได้มา 35 คนก็เอาไปส่งคุณครู" ปลากริมเล่าย้อนหลังไปถึงจุดเริ่มต้นสนามเลือกตั้งของเธอเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2553 จำนวนสมาชิกพรรคทั้งสิ้น 35 คนของปลากริมนั้น มีที่มาที่ไป เพราะการเลือกตั้งครั้งนั้น ต้องการ ส.ส. เข้ามาทำหน้าที่ในสภาทั้งสิ้น 35 คน เป็นส.ส.ระบบเขต 24 คน เป็นตัวแทนจากชั้นประถม 1-6 ชั้นละ 4 คน บวกเข้ากับ ส.ส.ระบบพรรค 11 คน ซึ่งไม่ต่างจากปาร์ตี้ลิสท์ที่หลังจากชนะการเลือกตั้ง ก็จะเข้ารับตำแหน่งฝ่ายบริหารงาน อาทิ นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีด้านการแต่งกาย รัฐมนตรีด้านการเข้าแถว รัฐมนตรีด้านความสะอาดและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีด้านมารยาทไทย รัฐมนตรีการเงินและเศรษฐกิจ รัฐมนตรีด้านอาคารเรียนและการเข้าห้องประชุม เลขานุการคณะรัฐมนตรีนักเรียน และโฆษกรัฐบาลนักเรียน รวมทั้งที่ปรึกษาสภา (จากหัวหน้าพรรคการเมืองที่ลงสมัครทั้งหมด) นอกจากรูปแบบของสภาตลอดจนการวางตำแหน่งของฝ่ายบริหารแทบจะไม่ได้ต่างไปจากสภาจริงๆ ของผู้ใหญ่แล้วนั้น ที่เหมือนกันยิ่งกว่าคือระบบการลงคะแนนเลือกตั้งอิเล็กทรอนิกส์ ที่กกต.นครศรีธรรมราช นำมาให้เด็กๆ ได้ใช้เหมือนจริงทุกประการไม่ต่างจากการเลือกตั้งในระบบรัฐสภาของผู้ใหญ่เลย "เดิมเราปลูกฝังประชาธิปไตยผ่านกิจกรรมอย่างสภานักเรียน มีการเลือกตั้งเหมือนกัน แต่เนื่องจากรูปแบบสภาแตกต่างไปจากสภาจริงๆ พอเด็กจบไปก็สับสน ทางโรงเรียนเลยร่วมมือกับ กกต.นครศรีธรรมราช จัดการเลือกตั้งใหม่ให้จำลองเหมือนจริงกับประชาธิปไตยในระดับชาติ โดยเราจะมีทั้งนายกรัฐมนตรี มีรัฐมนตรี มีส.ส. มีส.ว. แล้วก็มี กกต." อ.ศรศักดิ์ หนูรัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช ณ นคร อุทิศ เล่าถึงที่มาที่ไปของการจำลองการเลือกตั้งครั้งนี้ พร้อมอธิบายถึงสาเหตุของการได้รับเลือกให้เป็นโรงเรียนประชาธิปไตยต้นแบบ ของ จ.นครศรีธรรมราชด้วยว่า เนื่องจากความพร้อมของโรงเรียนเอง ซึ่งมีการปลูกฝังและส่งเสริมกิจกรรมเกี่ยวกับประชาธิปไตยอยู่แล้ว บวกเข้ากับความหลากหลายของนักเรียนในโรงเรียน ซึ่งมีตั้งแต่ระดับชั้นก่อนประถมศึกษา จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 2,400 คนเศษ มีทั้งเด็กจน เด็กรวย คละกันไป ไม่ต่างจากสังคมจริงๆ และแน่นอนว่า เป้าหมายของกิจกรรมดังกล่าวย่อมหนีไม่พ้นการปลูกฝังหัวใจประชาธิปไตยให้กับเด็กๆ โดยไม่ต้องรอให้โตเป็นผู้ใหญ่จนได้ใช้สิทธิใช้เสียงเลือกตั้งในฐานะพลเมืองดีเท่านั้น เอาแค่เฉพาะหน้า ถ้าเด็กๆ มีความรู้ความเข้าใจในระบอบเลือกตั้งได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนแล้วนั้น เด็กก็จะสามารถนำความรู้นี้ไปบอกต่อแก่พ่อแม่ผู้ปกครองตลอดจนผู้ใหญ่ทั้งหลาย ที่อาจจะยังไม่เข้าใจระบบการเลือกตั้ง กระทั่งถึงระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงสักเท่าไหร่นัก ว่าแล้ว ก็เลยลองไต่ถามถึงความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยกับ นายกฯนักเรียนหญิง แห่ง รร.อนุบาลนครศรีฯ กันสักหน่อย ว่า "เจ้าประชาธิปไตย" นี่ แท้จริงแล้วคืออะไร "หนูได้ยินคนชอบพูดกันว่า บ้านเรายังไม่มีประชาธิปไตยๆ หนูก็เลยถามกับตัวเองเล่นๆ ว่าประชาธิปไตยมันคืออะไร ซึ่งหนูคิดว่า ประชาธิปไตย คือ การที่คนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ทุกคนมีสิทธิในการเลือกตั้ง แล้วบ้านเมืองก็มีความยุติธรรม" นั่นคือมุมมองของ น้องปลากริม เกี่ยวกับประชาธิปไตย ในความเห็นของเธอ ซึ่งแม้ว่า คำตอบดังกล่าว อาจจะยังไม่ใช่ความเข้าใจในประชาธิปไตยอย่างถ่องแท้เสียทีเดียวก็ตามนั้น แต่เชื่อว่าอย่างน้อยเธอก็ยังเข้าใจคำว่า "ประชาธิปไตย" มากกว่าผู้ใหญ่หลายๆ คน และที่สำคัญหากเราได้เห็นมุมมอง ทัศนคติ เกี่ยวกับประชาธิปไตย ที่มาจากความสนใจจริงๆ ของคนตัวเล็กเหล่านี้มากขึ้นเท่าไหร่ เราก็น่าจะหวังได้ใช่ไหมว่า... สักวันหนึ่ง ข่าวจำพวกนักการเมืองหน้าใหม่เสนอตัวลงสนามการเมือง แต่เรื่องต้องพลิกล็อก ไม่ได้แม้กระทั่งลงสมัคร เพราะคุณสมบัติไม่พร้อม เนื่องจากไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จะหายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์เสียที ที่มา...กรุงเทพธุรกิจ : http://www.bangkokbiznews.com
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|