บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
ปลดเปลื้องความโกรธ : ปรีดา เรืองวิชาธร |
Wednesday, 30 March 2011 | ||||
ปลดเปลื้องความโกรธ
เขียนโดย ปรีดา เรืองวิชาธร
Post today ฉบับวันที่ 13 มีนาคม 2554 อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดในจิตใจขณะโกรธนั้นมักจะปั่นป่วนแผดเผาด้วยไฟที่ อยากทำร้ายทำลายคนหรือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าที่ทำให้เราโกรธ เราอยากพูดหรือทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้คนนั้นสิ่งนั้นพังพินาศหรือได้รับความ ทุกข์เจ็บปวดอย่างสาสมกับสิ่งที่เขาทำกับเรา เราจึงทั้งโกรธทั้งสะใจหากเขาได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดเป็นการตอบแทนบ้าง แต่หลังจากพายุแห่งความโกรธเคืองจางคลายหายไปแล้ว มันได้ทิ้งซากปรักหักพังทางจิตใจและความสัมพันธ์ไว้เป็นริ้วรอยบาดแผลให้เรา ต้องแก้ไขเยียวยาต่อไปอีกนานเป็นต้นว่า ฝากเป็นร่องลึกแห่งความคุ้นเคยที่จะโกรธอะไรได้ง่าย ฝากเป็นความผูกโกรธที่พอรำลึกนึกถึงหรือเพียงเฉียดกรายเข้าใกล้คนคนนั้น เราก็รู้สึกปวดจี๊ดเข้าไปในทรวงและพร้อมที่จะนึกคิดปรุงแต่งจ้องเอาคืนหรือ สาปแช่งให้เขาพังพินาศไปเลย ฝากเป็นรอยร้าวลึกแห่งความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขารวมถึงเกิดบรรยากาศที่อึมครึมน่ากระอักกระอ่วนใจเวลาที่เรากับเขาต้องอยู่หรือทำงานด้วยกัน ซึ่งทำให้บรรยากาศนั้นส่งผลกระทบไปถึงคนอื่นด้วย หรือบางคราวก็ฝากเป็นความรู้สึกผิดหรือความค้างคาใจเก็บลึกอยู่ในจิตใจ
หากเราเฝ้ามองความโกรธด้วยความตระหนักรู้และใคร่ครวญลงลึกอย่างช้าๆ เราจะเริ่มมองเห็นเหตุแห่งความโกรธที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ คนเรานั้นไม่ได้โกรธตอบเฉพาะกับคนเท่านั้น แต่เราโกรธได้แม้กระทั่งสัตว์ สิ่งของ สภาพแวดล้อมหรือธรรมชาติ หากคนนั้นสิ่งนั้นทำร้ายทำลายเราให้ได้รับความทุกข์เจ็บปวด เป็นเหตุให้เราต้องพลัดพรากสูญเสียสิ่งที่เรารักและหวงแหน ทำให้เราเสียหน้าเสียภาพพจน์ ทำให้โดนขัดใจขัดความคาดหวังความต้องการ ใส่ร้ายป้ายสีเรา ตำหนิวิจารณ์ตัวเราจนภาพตัวตนเราถูกกระทบถูกฉีกขาด เป็นต้น
ที่เราโกรธได้เป็นฟืนเป็นไฟเวลาประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์นั้น ก็เพราะคนนั้นสิ่งนั้นได้เข้ามาขัดขวาง บั่นทอน ทำร้ายทำลายสิ่งที่เราอยากได้อยากเป็นอยากครอบครองด้วยความยึดมั่นถือมั่นอย่างแรงกล้า ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ภาพพจน์ชื่อเสียง ศักดิ์ศรีที่คนอื่นจะดูแคลนไม่ได้ คนที่เรารัก ความก้าวหน้าทางการงาน หรือแม้แต่สิ่งของหรืออะไรบางอย่างที่ให้ความสุขแก่เรา ยิ่งสิ่งที่กล่าวมานี้สร้างความสุขความพึงพอใจให้เรามากเท่าใด ก็จะยิ่งหมายมั่นปั้นมือที่จะได้ที่จะเป็นและพยายามครอบครองมันให้นานที่สุด และจะยิ่งโกรธและผูกโกรธลึกซึ้งรุนแรงขึ้นหากเราถูกขัดขวางจนไม่ได้สิ่งนั้นตามต้องการ ดังนั้นยิ่งเรายึดติดสิ่งใดก็จะยิ่งโกรธได้ง่ายและรุนแรง ดังคนดีที่ดีเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างแต่กลับถือโกรธได้ง่ายหากมีใครวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นคนดีของเขา ก็เพราะด้านหนึ่งเขาติดดีจึงถูกความดีขบกัดเข้าแล้ว ด้วยเหตุดังกล่าวหากมองในมุมกว้างแล้ว ชีวิตในแต่ละขณะที่เรากำลังได้รับความสุขสบายความเพลิดเพลินหรือรู้สึกผูกพันหวงแหนเป็นเจ้าเข้าเจ้าของสิ่งใดก็ตามด้วยความไม่รู้เท่าทันจิตใจภายใน ไม่รู้เท่าทันอำนาจยั่วยวนใจของสิ่งนั้นว่ามันทรงอิทธิพลกับเราอย่างไร เราก็กำลังเดินเข้าไปสู่ดินแดนแห่งความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งจะเป็นเหตุแห่งความโกรธที่กำลังรอวันปะทุขึ้นมา ดังนั้นสิ่งที่ทำให้เราเกิดสุขเวทนาในด้านหนึ่งมันเป็นสิ่งที่น่ารักน่าพอใจ แต่หากเราสัมผัสสัมพันธ์อย่างไม่รู้เท่าทันในอีกด้านหนึ่งมันจึงเป็นชนวนแห่งความโกรธไปในตัวด้วย อย่างไรก็ตามความโกรธก็ตามติดตัวเราทุกคนมาช้านานจนเป็นเสมือนเพื่อนเก่าสหายเก่า ครั้นจะผลักไสไล่ส่ง บังคับเก็บกดไม่ให้มันปรากฏก็ดูจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ยิ่งทำแบบนี้รังแต่จะรู้สึกเครียดกดดัน หรือบางคราวความโกรธก็แปลงร่างไปเป็นกิเลสวาสนาตัวอื่นที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ เปรียบไปความโกรธก็เป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ที่หยั่งรากลงลึกในตัวเรา ก็เพราะเรารดน้ำพรวนดินจนมันเติบโตงอกงามมีอิทธิพลเหนือชีวิตจิตใจเรา เราจะเอาชนะความโกรธได้อย่างยั่งยืนแท้จริงก็ต่อเมื่อเราเข้าใจและยอมรับเมล็ดพันธุ์แห่งความโกรธที่มีอยู่ในตัวเราเสียก่อน ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธด้วยการรบกับมันอย่างเอาเป็นเอาตาย หากเราเอาแต่บังคับใจไม่ให้โกรธท่าเดียว ไม่เพียงแต่จะทำให้เราเครียดกดดันภายในเท่านั้น แต่มันจะยังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหนและกลับมางอกงามใหม่ทันทีที่มีปัจจัยเอื้ออำนวย ดังนั้นจะดีกว่านี้ไหม หากความโกรธเกิดขึ้นมาในขณะใด ขอเพียงน้อมสติหรือความรู้สึกตัวเข้ามาลูบไล้สัมผัสจิตใจภายในจนมองเห็นความโกรธที่กำลังเคลื่อนไหวปรวนแปรไปตามธรรมชาติของมัน เฝ้าดูจิตอย่างใส่ใจโดยไม่จำเป็นต้องพยายามบังคับหรือผลักไสความโกรธ ไม่ต้องประณามหรือตัดสินตัวเองว่าชั่วร้ายที่เป็นคนมักโกรธ การหมั่นมองเห็นความโกรธภายในด้วยความรู้สึกตัวบ่อยๆความโกรธก็จะค่อยๆจางคลายลง และหากหมั่นเฝ้าดูเรื่อยๆก็จะยิ่งเข้าใจธรรมชาติของความโกรธได้ดีและจะปล่อยวางมันได้ในที่สุด เพราะความโกรธก็เป็นสังขารอย่างหนึ่งที่มีความผันผวนปรวนแปรอยู่ตลอดเวลา ไม่มีแก่นสารแท้จริงอะไรให้เรายึดติดเหมือนกับสังขารอื่นๆ จะดีขึ้นไหมหากเรารู้ชัดเจนว่า คนรอบข้างแบบไหน เป็นใคร สถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมแบบใดที่มักชักจูงเราให้เข้าไปสู่ร่องแห่งความโกรธได้ง่าย หรือเรียกได้ว่าเป็นหลุมดำแห่งความโกรธของเรา ก็พึงหลีกเลี่ยงเสียบ้าง แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรตั้งสติเตรียมใจไว้ให้พร้อมก่อนจะเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นคนนั้น และจะดียิ่งขึ้นไปอีกหากเราได้ช่วยกันจัดปรับโครงสร้างหรือบรรยากาศในครอบครัว องค์กรและสังคมให้มีลักษณะเกื้อกูลกันมากกว่าเป็นบรรยากาศที่ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งแข่งขันเผชิญหน้ากันได้ง่าย แต่ละครั้งที่เรากำลังจะเผชิญความโกรธลองคิดใคร่ครวญดูก่อนว่า จริงไหมว่าก่อนจะโกรธตอบใครเราก็สูญเสียอะไรบางอย่างไปมากมายแล้วจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ดังนั้นหากเราโกรธตอบไปอีกเราจะได้อะไรบ้างจากการโกรธตอบ ลองมองให้เห็นประโยชน์และผลเสีย มองให้ลึกถึงผลกระทบในทางจิตใจและความสัมพันธ์รวมถึงกิจการงานด้วย อีกแง่หนึ่งเราอาจคิดใคร่ครวญต่อไปว่า คนที่ทำให้เราโกรธเขาเองมีความอ่อนแอมีกิเลสวาสนาที่เผาลนชีวิตจิตใจให้เป็นทุกข์อยู่แล้ว เราจะไปโกรธตอบซ้ำเติมเขาเพื่ออะไรอีก หรือมองว่าที่เขาทำให้เราโกรธนั้นอาจมีเหตุปัจจัยมากมายหลายชั้นเชื่อมโยงกันทั้งที่เขารู้ตัวและไม่รู้ตัว รวมถึงสถานการณ์ต่างๆที่ผลักดันให้เขากระทำกับเรา เขาจึงไม่ใช่สิ่งๆเดียวที่ทำให้เรารู้สึกแย่ ดังนั้นเราจะลงโทษโกรธคนใดสิ่งใดเป็นการเฉพาะได้ละหรือ ซึ่งเราจะใคร่ครวญมองเห็นได้อย่างลึกซึ้งก็ต่อเมื่อเรามีสติรู้สึกตัวเต็มที่ แต่หากไม่มีสติเพียงพอแล้วโกรธตอบไปแล้ว ตอนจิตว่างๆอยู่ก็ลองใคร่ครวญทำนองนี้ก็นับว่ายังไม่สาย ท้ายที่สุดในแต่ละช่วงแต่ละขณะของชีวิต หากเราต้องสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดก็น้อมใจให้รู้เท่าทันสิ่งนั้นตามที่มันเป็น รู้เท่าทันถึงอำนาจของสิ่งนั้นว่ามันมีอิทธิพลทำให้จิตใจเราขึ้นลงอย่างไร หากสิ่งนั้นทำให้เราเกิดความสุขกายเพลิดเพลินใจก็พึงมีหรือครอบครองมันให้เป็น เป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างไม่ยึดติดจนเป็นทุกข์ อย่าให้มันกัดเจ้าของดังคำท่านอาจารย์พุทธทาสเตือนเสมอ เราควรน้อมนึกอยู่เสมอว่า เราเป็นเจ้าของสิ่งนั้นก็เพียงชั่วคราว อีกไม่นานเจ้าของที่แท้จริงเขาจะต้องมาทวงคืนอยู่ดี ดังนั้นหากเราหมั่นฝึกฝนจิตให้ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดแล้ว ความโกรธเกลียดที่ฝังรากลึกในจิตใจก็จะค่อยจางคลายสลายไปในที่สุด ความโกรธเกลียดที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นก็จะเกิดขึ้นได้ยากเช่นกัน โดย.....ปรีดา เรืองวิชาธร
ที่มา คอลัมน์ มองย้อนศร : http://www.budnet.org/
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|