บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
จดหมายจากเจแปน : ทีมข่าวจุดประกาย |
Wednesday, 23 March 2011 | ||||
จดหมายจากเจแปน โดย : ทีมข่าวจุดประกาย
คลื่นยักษ์ครั้งใหญ่ยังคงถาโถมและเขย่าหัวใจคนในเหตุการณ์ หนึ่งในนั้นคือสาวไทย
ที่เอาความสั่นสะเทือนหลายริกเตอร์ในใจมาเขียน จม.เล่าสู่กันฟัง ปิ่นแก้ว อิโนอูเอะ เป็นสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมา 5 ปีแล้ว และเมื่อเกิดเหตุการณ์สึนามิและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เธออยู่บนชั้น 8 ของตึกสูงในเมืองนาโกย่า แม้ห่างไกลจากเมืองมินางิ แต่แรงสั่นสะเทือนก็เคลื่อนมาถึงเธอทั้งร่างกายและจิตใจ ในฐานะคนเกาะฮอนชูเหมือนๆ กัน บ้านดิฉันอยู่แถวๆ นาโกย่า (เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ริมฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ในภูมิภาคจูบุ ตอนกลางของเกาะฮอนชู) ค่ะ วันนั้นออกมาทำธุระแล้วก็แวะไปเดินชอปปิงที่ห้าง Takashimaya ซึ่งเป็นตึกสูงใจกลางเมือง ตอนนั้นเกือบบ่ายสามโมงได้ ขณะที่ดิฉันกำลังเดินดูของอย่างเพลิดเพลินบนชั้น 8 ของห้างดังกล่าว จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะหน้ามืด ตัวเริ่มเอนไปข้างหน้าทำท่าเหมือนจะล้ม ตอนนั้นพยายามทรงตัวกลับมาไม่ให้ตัวเองล้มลงไปกับพื้น ในใจก็สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกัน นี่เราเป็นอะไร จู่ๆ จะมาวูบทั้งๆ ที่ร่างกายก็แข็งแรงดี หลังจากที่พยายามยื้อร่างเพื่อจะกลับมายืนให้ได้เป็นปกติ ก็ปรากฎว่า ยังทรงตัวไม่ได้ ตอนนี้ตัวเริ่มเอนไปข้างหลังและโยกไปมา วินาทีนั้น ก็คิดได้ว่าคงต้องบอกคนใกล้ตัวสักคนแล้วว่า ฉันกำลังจะเป็นลม ช่วยฉันที ปรากฎว่าพอหันไปมองคนรอบตัว ก็เห็นทุกคนโยกไปโยกมากันหมด จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนญี่ปุ่นในห้างส่งเสียงกันระงมว่า "จิชิน" (แปลว่า แผ่นดินไหว) ตอนนั้นทุกคนในห้าง พร้อมใจกันหยุดเดินและพยายามทรงตัวอยู่กับที่ บางคนก็หาที่เกาะ ทุกคน "หน้าเสีย" กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีดิฉันที่ตกใจไปเองนึกว่าตัวเองหน้ามืด พอรู้ว่านี่คือแผ่นดินไหวที่ทำให้ตึกโยกยิ่งตกใจไปกว่าเดิมอีก ถึงแม้จะพอรู้มาบ้างว่าตึกรามบ้านช่องในญี่ปุ่นจะออกแบบมาให้รองรับแผ่นดินไหวได้ดีแค่ไหนก็ตาม แต่พอได้มาอยู่ในเหตการณ์จริงๆ เราก็ไม่อยากจะไว้ใจอะไรทั้งนั้น กลัวที่สุดคือตึกถล่มแล้วจะต้องมาตายอยู่ที่นี่ แถมดันต้องมาตายในห้างใหญ่อีก คิดไปไกลว่ากว่าญาติพี่น้องจะหาศพเราเจอ คงต้องข้ามศพไปไม่รู้กี่ร้อยศพ พอตึกเริ่มสั่นน้อยลงแล้ว ดิฉันก็รีบโทรหาทุกคนที่รู้จักทันที ที่โทรหาก็หวังจะฝากผีฝากไข้และช่วยบอกคนที่ตามหาว่าดิฉันอยู่ที่นี่ แต่อนิจจาโทรหาใครก็ไม่ติดเลย มาทราบทีหลังว่าสัญญาณโทรศัพท์ขัดข้องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวทั่วประเทศ พอเหตุการณ์สงบดิฉันก็รีบจ้ำอ้าวไปยังสถานีรถไฟเพื่อเดินทางกลับบ้านทันที คนญี่ปุ่นในเหตุการณ์เค้าดูตกใจกันไปหมด บางคนน้ำตาคลอ(รวมถึงดิฉันด้วย) แต่บางคนพอเหตุการณ์สงบก็เดินช้อปปิงต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...ก็มี แต่ที่น่าสงสารที่สุดคือคนที่อยู่ชายฝั่งทะเลที่โดนสึนามิมากกว่า ดิฉันได้เห็นภาพบ้านเรือนข้าวของที่โดนสึนามิซัดเข้าไปแบบเต็มๆ แล้วสงสารเค้าจับใจ ก็หวังว่าญี่ปุ่นหรือที่ใดๆ ในโลกอย่าได้มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกเลย
ปิ่นแก้ว อิโนอูเอะ , นาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น
17.14 น.(ตามเวลาประเทศไทย) 11 มีนาคม 2554
"เหตุการณ์นี้ก็คล้ายๆ สึนามิเมื่อปี 2547 ที่บ้านเรานั่นแหละค่ะ เป็นผลมาจากการที่แผ่นเปลือกโลกมุดตัวเข้าหากัน ซึ่งในกรณีนี้ แผ่นเปลือกโลกแปซิฟิกมุดลงใต้แผ่นเปลือกโลกของญี่ปุ่น ทำให้เกิดการสะสมพลังงานในบริเวณจุดที่แผ่นเปลือกโลกทั้ง 2 มุดเข้าหากัน นานเข้า พลังงานที่สะสมไว้ก็ทำให้เกิดแผ่นดินไหวตามมา และเมื่อเกิดแผ่นดินไหวบริเวณชายฝั่ง สึนามิก็จะเกิดตามมา สำหรับเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่นนั้นในทางธรณีวิทยาถือว่าเป็นสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้" "อย่างที่ชิลี หรือเมืองไครเชิร์ซ นิวซีแลนด์ ก็เป็นผลมาจากอาฟเตอร์ช็อกทั้งนั้น หรือกรณีการเกิดแผ่นดินไหวที่จีนก่อน แล้วค่อยมาเกิดที่ญี่ปุ่นในวันต่อมา นั่นถือเป็นความบังเอิญมากกว่า" สำหรับประเทศไทยเองที่ค่าความรุนแรงของแผ่นดินไหวสุงสุดอยู่ที่ 7.0 ริกเตอร์ และมีเพียงรอยเลื่อนบริเวณด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี ที่ควรจะระวัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะนอนใจได้ ในทางกลับกัน นี่ถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญ ถึงการดูแลระบบเตือนภัย หรือระบบการจัดการภัยพิบัติภายในประเทศให้มีประสิทธิภาพ และใช้งานได้ดีอยู่เสมอ แน่นอน "กัน" ไว้ย่อมดีกว่า "แก้" อยู่แล้ว
สู้สึนามิด้วยต้นไม้ แม้ญี่ปุ่นจะสร้างกำแพงป้องกันสึนามิ ที่สูงถึง 4.5 เมตร (15 ฟุต) ที่ป้องกันพื้นที่อยู่อาศัยบริเวณชายฝั่ง ส่วนในพื้นที่อื่นๆ ก็สร้างประตูกั้นน้ำท่วมและอุโมงค์ เพื่อเปลี่ยนทิศทางน้ำทะลักเข้ามาพร้อมสึนามิ อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของเครื่องมืออุปกรณ์อันทันสมัยเหล่านี้ก็ถูกตั้งคำถามทุกครั้งที่สึนามิถาโถมข้ามปราการเหล่านี้มาได้ ยกตัวอย่าง คราวที่สึนามิเข้าถล่มเกาะโอคุชิริ , ฮอกไกโด ภายในเวลา 2-5 นาที จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในวันที่ 12 กรกฎาคม 1993 ที่มาพร้อมคลื่นยักษ์สูงถึง 30 เมตร (100 ฟุต) เทียบเท่ากับตึก 10 ชั้น เมืองท่าของโอนาเอะ ถูกล้อมรอบด้วยกำแพง(ป้องกัน)สึนามิ แต่คลื่นยักษ์ก็พัดข้ามกำแพงและเข้าทำลายโครงสร้างที่ทำจากไม้จนไม่เหลือชิ้นดี จนได้ข้อสรุปว่า กำแพงอันทันสมัยอาจช่วยเรื่องชะลอความเร็ว และ ลดความสูงของคลื่น แต่มันไม่สามารถป้องกัน พลังอันถาโถม และ ชีวิตที่สูญเสียไป ในอีกด้าน ปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น แนวต้นไม้ตามชายฝัง สามารถลดความรุนแรงลงได้ ยกตัวอย่าง คราวเกิดสึนามิในมหาสมุทรอินเดียในปี 2004 บางพื้นที่รอดพ้นจากความบาดเจ็บและสูญเสียมาได้ เพราะปราการธรรมชาติอย่างต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็น ต้นมะพร้าว ต้นโกงกาง ที่ช่วยดูดซับแรงของสึนามิไว้ให้เบาบางลง หนึ่งในนั้นคือ หมู่บ้าน Naluvedapathy ของชนเผ่าทมิฬ นาดู ในประเทศอินเดีย ที่ได้รับความเสียหายและมีผู้เสียชีวิตเพียงเล็กน้อย เพราะคลื่นยักษ์ท่าถาโถมเข้ามา ไปปะเข้ากับป่าผืนใหญ่ติดชายฝั่ง ที่ข้างในจุต้นไม้ไว้ถึง 80,244 ต้น
นักสิ่งแวดล้อมแนะนำให้ ปลูกต้นไม้ตลอดชายฝั่ง แม้ไม้เหล่านี้ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเติบโตและได้ขนาด พอที่จะช่วยดูดซับพลังอันรุนแรงได้ แต่ก็นับว่าคุ้ม เพราะทั้งราคาถูกและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากกว่าสิ่งปลูกสร้างอันแข็งแกร่งและแสนแพงของมนุษย์
----------------------
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : http://www.bangkokbiznews.com
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|