บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
รักวัวให้ผูก รักลูกให้บีบี : ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ |
Wednesday, 16 March 2011 | ||||
รักวัวให้ผูก รักลูกให้บีบี
โดย : ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ
ภาพโดย : ฐานิส สุดโต
บทสรุปของซีรีส์ด้วยรักและไม้เรียว
ชวนมองแบบใกล้ตัวว่าพ่อแม่ก็ร่วม"หวด"ลูกหนักไม่น้อย ถ้ายอมรับความจริง
ไม่เที่ยวโยนความผิดให้ไม้เรียวและครู
ก.คิดอยู่นาน กับการตีลูกสักครั้ง ข.กลัวลูกจำไปจนโต กลายเป็นบาดแผลของทั้งพ่อแม่ และ ลูก ค.ตีเสร็จ รู้สึกผิดบาป ลงโทษตัวเองที่ใช้ความรุนแรงกับสายเลือดในอก ใจก็พร่ำบ่นว่า "สมัยนี้เขาไม่ตีกันแล้ว พูดจากันดีๆ ด้วยเหตุผลก็รู้เรื่อง"
ง.ทราบข่าวว่าลูกโดนครูตี โกรธมาก เดือดดาลเอาเรื่องถึงขนาดเอาเรื่องเอาราว ฟ้องร้อง และ เอาคลิปมาประจานผ่านโลกออนไลน์
ไม่ใช่ข้อสอบปรนัย และไม่จำเป็นต้องเลือกข้อใดข้อหนึ่งหรือทุกข้อ แต่นี่คือการประมวลผลทัศนคติและพฤติกรรมของพ่อแม่ในปัจจุบัน ต่อประเด็นการลงโทษเด็กอย่างรุนแรงของครูและโรงเรียน
อย่าลืมว่า "ไม้เรียว" เป็นวัตถุไม่มีชีวิต จะใช้การได้ก็ต่อเมื่อ มีคนตี มีคนถูกตี และเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ก็เพราะคนที่ไม่ได้ถูกตีแต่เจ็บ(และแค้น) กว่า ออกโรงมาปกป้องลูกจากความรุนแรง
โดยอาจไม่ทันคิดเลยว่า "ตัวเอง" คือต้นเหตุแห่งความรุนแรงทั้งหมด
หวดด้วยความรัก "เป็นเด็กดีนะลูก รักนะ จุ๊บ จุ๊บ" ข้อความสั้นผ่านระบบโทรศัพท์มือถือที่เรียกสั้นๆ ว่า "บีบี" สุภาวดี หาญเมธี ประธานกรรมการบริหารบริษัท รักลูกกรุ๊ป จำกัด บอกว่า ตัวอย่างที่ได้ยินเข้ามาหูมานี้ คือ "สัญลักษณ์" การเลี้ยงดูของพ่อแม่ในปัจจุบัน ฟังดูอาจตีขลุมและด่วนตัดสินจนเกินไป แต่จากประสบการณ์ในนิตยสารแนวครอบครัวมาเกือบ 30ปี ประธานบริษัทควบบทบาทคุณแม่ลูกสองคนนี้ มักมีเหตุผลมารองรับคำพูดที่หนักแน่นเสมอ โดยเฉพาะวิธีการเลี้ยงลูกแบบแตะๆ ผิวๆ ที่แตกต่างจากพ่อแม่รุ่นก่อน "พ่อแม่เจนวาย หรือปลายเจนเอ็กซ์ เกิดมาในยุคสบาย วัตถุซื้อหามาได้ง่าย ชีวิตสำเร็จรูปมากขึ้น ใช้เงินจัดการทุกอย่างได้ และ ต้องการเร็วๆ แต่การดูแลเด็ก ต้องใช้เวลา เร็วไม่ได้ ไม่ทันใจพ่อแม่ใจร้อนที่ชอบจานด่วน" สุภาวดีบอกว่า ไม่สามารถโทษว่าเป็นความผิดของพ่อแม่ เพราะเวลาผลิตประชากรออกมาคนละประเภท เบบี้บูมผลิตคนอดทน อยู่รอดให้ได้ในความยากลำบาก ลูกที่เกิดมาเป็นเจนเอ็กซ์คือส่วนผสมของขนบโบราณกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ รุ่นหลานอย่างเจนวายจึงเติบโตมาพร้อมๆ กับ ความสบายและสำเร็จรูปในทุกๆ ด้าน ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการรอ
"ความเร็วทำให้หลายอย่างเป็นไปอย่างผิวๆ ฉาบฉวย เช่น เรื่องติว ติวไปเถอะแต่ไม่ได้คอนเซปท์ พ่อแม่หลายคนยอมจำนนกับการกวดวิชา เพราะเขาไม่มีเวลามาสอนเอง การหล่อหลอมเด็กต้องใช้ความลึก ไม่ใช่ความกว้าง อีกเรื่องคือ ภาพลักษณ์ เน้นดูดีแต่ไม่ได้สนใจสาระ เช่น คุณค่า อยากเห็นลูกเป็นยังไง แทบไม่มีเวลาคิดด้วยซ้ำ เพราะต้องออกไปทำงานหาเงิน คุณค่าก็จะมีแค่ว่า ทำการบ้าน ตื่นนอน ไปโรงเรียน เล่นเกม 2 ชม. แค่นี้เราคิดว่าพอแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่ เด็กรุ่นหลังๆ คงหนักกว่านี้อีก ปัญหาจะรุนแรงมากขึ้น เพราะความรุนแรงมักจะมากับความเร็ว" ความเร็วที่มาพร้อมกับความรุนแรง สุภาวดีหมายรวมถึง การลงโทษที่ไม่ผ่านกระบวนการคิด ไตร่ตรอง ส่งตรงมาจากอารมณ์ล้วนๆ ไม้เรียวจากมือพ่อแม่จึงอาจ "แรง" กว่าไม้เรียวจากมือคนอื่น เพียงแต่ไม่เป็นเรื่องราวหรืออื้อฉาวเพราะถูกขีดเส้นใต้ด้วยความรักและหวังดี เช่นนั้นแล้วในสายตาคนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม้เรียวจากมือคนอื่น จึงแรงกว่า เพราะไม่มีสายเลือดและความรักมาตีตรา ความแรงของไม้เรียวจึงกลายเป็นความรุนแรงในที่สุด ข่าวประเภท "ครูโหดเฆี่ยนเด็กเลือดไหลซิบ" หรือ ครูโหดฟาดนักเรียนไม่ยั้ง" มีมาไม่ขาดสาย ล่าสุดเกิดการรวมตัวของผู้ปกครองกลุ่มหนึ่งต่อต้านการใช้ไม้เรียวและความรุนแรงกับเด็ก โดยการจัดทำเว็บไซต์เผยแพร่คลิปตีเด็กของครูจากโรงเรียนต่างๆ พร้อมระบุชื่อ-นามสกุลและสถานศึกษาสังกัด อย่างครบถ้วน แต่เว็บไซต์ดังกล่าวก็ถูกปิดไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว "เป็นปัญหาซับซ้อน หลักการคือ ต้องรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในโรงเรียน เราต้องให้เกียรติครู เราไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ที่เขาเจอตอนนั้นเป็นอย่างไร ฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไปถามเค้าก่อนว่าเป็นอย่างไร ไม่ใช่อยู่ๆ เอาไปประจาน ประนาม สถานะครูทุกวันนี้ทรุดต่ำลง เรื่องวุฒิการศึกษาน้อยอาจเป็นแค่ปัจจัยเล็กๆ แต่ใหญ่กว่าคือ เราไม่ให้ความเคารพ เมื่อเราไม่เคารพเด็กก็จะไม่เคารพ" ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า ตีโดยเหตุอันสมควรหรือไม่ แต่การทำให้เรื่องราวในโรงเรียนไปสู่ "ศาลเตี้ย"ในโลกออนไลน์ ไม่เรียกว่า "ความรุนแรง" แล้วจะเรียกว่าอะไร "แรงใส่กัน เพิ่มความรุนแรงเข้าไปอีก พ่อแม่ปากก็บอกว่าต่อต้านความรุนแรง พ่อแม่เองแหละที่สร้างความรุนแรงให้เพิ่มมากขึ้น" สุภาวดีชี้ประเด็นสำคัญ
4 คำย่ำยีครู ชนิดา จิรรุ่งโรจน์ หรือ เอ แม่บ้านวัย 40 ปี คุณแม่ของลูกชายสองคน 9 ขวบกับ 7 ขวบตามลำดับ
นอกจากหลักสูตรการเรียนการสอนจะแตกต่างแล้ว เอยังสังเกตเห็นว่า "ครู" ก็ยังไม่เหมือนกันด้วย "โรงเรียนสาธิต ครูจะยืนรอรับอยู่หน้าโรงเรียน รอรับไหว้นักเรียนและพ่อแม่ที่มาส่ง ส่วนครูโรงเรียนอินเตอร์ จะเป็นฝ่ายยกมือไหว้เราก่อนทุกครั้ง" เอไม่เห็นด้วยกับอย่างหลัง ลูกทหารอย่างเธอยังเห็นว่า อย่างไรพ่อแม่ก็ต้องยกมือไหว้ครูก่อนเสมอ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องรอจนกว่าครูจะยกมือไหว้ เพราะครั้งหนึ่งตอนไปรับลูกคนเล็กที่โรงเรียน เธอเคยหงุดหงิดกับบทสนทนาที่ผู้ปกครองอื่นๆ คุยกันว่า ทำไมวันนี้ครูไม่ยกมือไหว้ "กลายเป็นว่าพ่อแม่มีบทบาทมาก จนครูต้องรอเพื่อยกมือไหว้เหรอ" คุณแม่ตั้งคำถาม คำตอบสำหรับเรื่องนี้น่าจะลงลึกไปถึงระบบการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไปในทางธุรกิจมากขึ้น ที่อาจจะเริ่มต้นพร้อมๆ กับช่วงที่สังคมไทยได้ทำความรู้จักกับคำว่า "ปฏิรูปการศึกษา" ราวปี พ.ศ.2521 "มันมาพร้อมกับคำว่า พัฒนามนุษย์ เสรีภาพไม่ใช่การตามใจเด็ก เด็กไม่ได้แก้ปัญหาด้วยไม้เรียว พูดถึงคุณค่าของความเป็นคน มีทฤษฎีใหม่ๆ เข้ามา สวนกับค่านิยมเดิมๆ แต่สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์ขั้นพื้นฐาน เช่น การไม่ใช้ความรุนแรง เลยเป็นที่ยอมรับมากพอสมควร" ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น พ่อแม่ออกจากบ้านไปทำงานมากขึ้น ก็ฝากความหวังไว้กับครูและโรงเรียนมากขึ้น มากพอๆ กับเม็ดเงินที่จ่ายไป "เด็กที่ถูกเลี้ยงอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ พอมาอยู่โรงเรียนก็เกิดปัญหา ทุบตีเพื่อน ด่าครู ขโมยของ เราก็เข้าใจว่าครูหนัก แต่ก็ต้องสะกดใจ ครูทุกคนก็เรียนทฤษฎีการศึกษามาหมดว่า ความรุนแรงไม่ใช่การแก้ปัญหา เขารู้แต่อาจจะช่วยยับยั้งได้แค่ชั่วคราว" ประกอบกับระบบการศึกษาที่เปลี่ยนไป ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ จำนวนโรงเรียนที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีให้เลือกแบบหลายภาษา ไปจนถึงโรงเรียนทางเลือกต่างๆ ที่มากจนเลือกไม่ถูก ในโลกธุรกิจการศึกษา ผู้ปกครองคือลูกค้า และลูกค้าคือพระเจ้า จากจุดนี้ "พระคุณที่สาม" อย่างครูจึงถูกลดขั้นลงเรื่อยๆ "ส่งผลมากๆๆ ค่ะ เคยไปร่วมสัมมนากับครู ครูหลายคนเขียนบรรยายความรู้สึกว่า ถูกผู้ปกครอง ลบหลู่ ดูหมิ่น ย่ำยีศักดิ์ศรี" สุภาวดีถามกลับว่า ถ้าคนเป็นครูรู้สึกอย่างนี้ เขาจะมีใจต่ออาชีพนี้ไหม ในเมื่อมนุษย์ทุกคนต้องการความเคารพนับถือในวิชาชีพตัวเอง แน่นอน ครูก็ต้องมีโจทย์ว่าต้องทำหน้าที่ให้ดี ผู้ปกครองเองก็ต้องเคารพครู
พ่อแม่หลายคน พอไม่พอใจการทำงานของครู ก็ตรงดิ่งเข้าไปต่อว่าแบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ผลที่ตามมาคือ ลูกที่อยู่ข้างหลังก็จะบันทึกไว้ในสมอง ว่า ครูคนนี้ไม่มีคุณค่าและความสำคัญใดๆ
เปรียบไปก็อาจคล้ายกับความขัดแย้งของผู้ป่วยและหมอ ในกรณีพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายทางการแพทย์ ที่ยังยืดเยื้อ โดยฝ่ายหมออ้างเหตุผลว่า จะทำให้ไม่กล้ารักษาผู้ป่วยเพราะกลัวโดนฟ้องร้อง ขณะที่ผู้ป่วยก็มีความเสียหายมายืนยัน "คล้ายๆ กันค่ะ จริงอยู่ มันมีเรื่องธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องแต่มันเป็นธุรกิจพิเศษ เป็นธุรกิจที่ดูแลชีวิต กระบวนการทำงานต้องประณีตทั้ง 2 ฝ่าย โรงเรียนไม่ใช่แค่เดลิเวอรี่ความรู้แต่กำลังสร้างคน ผู้ปกครองเองก็ต้องเรียนรู้ เหมือนตีลูกปิงปอง ชิ่งได้ แต่ถึงที่สุด ลูกตกโต๊ะไปแล้วก็ต้องมีคนหยิบแล้วเก็บขึ้นมาใหม่" สำคัญคือ พ่อแม่ต้องไม่คิดว่าครูเป็นผู้ให้บริการ ถ้าคิดเช่นนั้น ครูเองก็จะทำตัวอย่างผู้ให้บริการจริงๆ ในทางกลับกันถ้าคิดว่าครูคือหุ้นส่วนชีวิต ผลก็จะออกมาอีกอย่าง "พ่อแม่มีสิทธิเรียกร้องคุณภาพของการพัฒนาเด็ก แต่เงินที่เสียลงไปไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่ามองว่าเงินมีค่าเกินกว่าเหตุ"
เจ็บกว่าตี ยังมีอีก ตอนเด็กๆ เอง "เอ" ก็เคยโดนตีทั้งจากพ่อและครู โดยเฉพาะพ่อที่เป็นทหาร มักตีลูกโดยไม่ถาม ไม่รอฟังเหตุผล และจะตีลูกทุกคนเท่ากัน อุปกรณ์มีแค่มือกับไม้บรรทัด
ส่วน "ไม้เรียว" จริงๆ มาจากครู เอจำได้ว่า ตอนนั้นอยากสวยเลยไว้ผมยาว แต่ขัดกับกฎเหล็กโรงเรียนที่อนุญาตให้ไว้ยาวแค่ติ่งหู ผลก็คือ โดนตีรวดพร้อมเพื่อนอีกหลายสิบ "ถามว่าเจ็บไหม ก็เจ็บนะแต่มันมีความสนุกอยู่ด้วย เพื่อนก็โดน ตอนนั้นเรารู้สึกว่ายังไงเขาก็เป็นครู เขามีเหตุผลของเขา แต่ถ้าทำทัณฑ์บนจะกลัวมากกว่า" โดยส่วนตัวเอเห็นว่า การตีเป็นเรื่องดีถ้ามีเหตุผล แต่ถ้าตีบ่อย เด็กจะไม่หลาบจำ นำไปสู่การทำซ้ำและไม่กลัวครู "ยิ่งตอนนี้ครูไม่กล้าตีเด็กเลย พ่อแม่ก็เลี้ยงแบบตามใจลูก ถามว่าเด็กยังจะกลัวและเคารพครูอยู่ไหม" พูดอย่างคนที่เคยตีลูกมาก่อน เอยังเห็นด้วยกับการใช้ไม้เรียวแต่นั่นต้องเป็นในกรณีผิดซ้ำซาก ประมาณครั้งที่ 3 ขึ้นไป หลังจากให้ข้อมูลและคำอธิบายไปอย่างครบถ้วนแล้ว เธอให้เหตุผลว่า สังคมไทยไม่ได้สอนให้เด็กรู้จักคิดตั้งแต่ต้น เด็กเติบโตมาในระบบท่องจำ ต่างจากสังคมตะวันตกที่สอนให้เด็กคิดวิเคราะห์และอยู่กับตัวเอง วิธีการลงโทษอย่าง กักบริเวณอยู่ในห้อง หรือ งดอาหาร จึงสอดคล้องกับตำราพ่อแม่ฝรั่ง "แต่บ้านเราไม่ใช่อย่างนั้น เราเป็นสังคมตะวันออก มีความผูกพันใกล้ชิดมากกว่า โดยส่วนตัวเห็นว่าการสอนด้วยเหตุผลควบคู่ไปกับการตี ที่ต้องไม่ใช่การตีด้วยความโกรธ น่าจะเหมาะกว่า" กรณีโพสต์คลิปเผยแพร่ครูโหดนั้น เอมองว่า ด้วยหน้าจอโทรศัพท์ที่เป็นสี่เหลี่ยมแคบๆ มีส่วนทำให้การตีนั้นดูรุนแรงมากขึ้น เพราะภาพไม่ได้กว้างพอที่จะบันทึกเหตุการณ์รอบข้างว่าเป็นอย่างไร "ตัวเองก็เคยถ่ายคลิปเหมือนกัน กรอบโทรศัพท์แคบๆ ทำให้ดูรุนแรง มันเหมือนเจาะจงตัดสินครูอยู่ฝ่ายเดียว จริงๆ แล้วเราต้องย้อนดูเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ และถามคนในเหตุการณ์ด้วยว่า คนที่โดนตีหรือครูเป็นอย่างไร หรือเพราะอะไรถึงต้องตี" สำหรับสุภาวดี ที่เคยเป็นทั้งคนตีและคนถูกตี และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งโรงเรียนเพลินพัฒนา มองว่า การตัดสินว่าการตีหรือการลงโทษจะดีหรือไม่ดีนั้น อย่ามองแค่ผิวเผิน "ข้อดีของการตี อาจเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นที่ชะงักที่สุด แต่มันก็แค่นั้น อย่างแม่เป็นคนชอบตีลูก แต่ไม่รุนแรง ตอนนั้นไม่ถึงกับโกรธ เพราะสมัยนั้นการตีเป็นมาตรฐานของสังคมไทย และพ่อแม่ไม่มีสิ่งอื่นที่จะมาจูงความสนใจ เรากับพ่อแม่ยังใกล้ชิด เรารู้สึกว่าเขาเป็นห่วง เลยเข้าใจ เชื่อมโยงระหว่างการตีกับความห่วงได้ แต่ปัจจุบันไม่ใช่อย่างนั้น พ่อแม่ไม่ค่อยอยู่ด้วย กลับมาก็ดึกแล้ว ไม่ได้คุยกัน พอถูกห้ามนั่นโน่นนี่ เด็กไม่มีข้อมูลหรือความใกล้ เลยไม่เข้าใจว่าตีทำไม ผลน่ากลัวที่ตามมาคือ เด็กจะใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา สังคมไทยมองว่าความรุนแรงเป็นเรื่องธรรรมดา คนต่อยกันเราก็ไม่เชียร์ ฉะนั้นพอมีเรื่องอะไรเข้ามาเราก็พร้อมแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงโดยไม่รู้ตัว"
........................................................ ไม้เรียวจะเป็นผู้ร้ายหรือไม่นั้น อาจไม่สำคัญเท่า ความรุนแรงที่เหวี่ยงลงไป บาดแผลถึงจะเลือดซิบแค่ไหนก็มีวันหายได้ แต่ตราบใดที่ตะกอนข้างในของครู เด็ก และพ่อแม่ ยังสะกดด้วยคำว่า "รุนแรง" ...ซากกิ่งไม้เล็กๆ แห้งๆ ก็หวดเจ็บไปถึงหัวใจได้
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|