บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
ทะยาน "วีลแชร์" สู่มหา'ลัยชีวิต : ขวัญดาว จิตรพนา |
Thursday, 03 February 2011 | ||||
ทะยาน "วีลแชร์" สู่มหา'ลัยชีวิต โดย : ขวัญดาว จิตรพนา
"สด" "เยล" และ "จอย" สามเกลอคนเล็กหัวใจใหญ่ กับความตั้งใจจนได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย จุดประกายการสู้ชีวิตให้ใครต่อใครหลายคนสู้ต่อไป "สด" "เยล" และ "จอย" สามเกลอคนเล็กหัวใจใหญ่เด็กพิการที่กำลังโด่งดังจากการได้รับรางวัล "คนเล็กหัวใจใหญ่" ในงาน "คนค้นฅน อวอร์ด ครั้งที่ 2" จุดประกายการสู้ชีวิตให้ใครต่อใครหลายคน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนรุ่นน้องที่เป็นผู้พิการทางร่างกายของประเทศไทย ซึ่งความตั้งใจจริงและไม่ย่อท้อต่อชะตากรรม เป็นอีกแง่มุมที่สังคมควรได้เรียนรู้ เพื่อนำไปใช้รับมือกับสังคมที่นับวัน "ความเอื้ออาทร" เริ่มหดหาย
สด หรือ คมกริช เทพา นักศึกษาหลักสูตรแอนนิเมชั่น วิทยาลัยศิลปะสื่อและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พิการด้วยโรคกล้ามเนื้อเกร็งตั้งแต่กำเนิด ทำให้ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ แม้เขาจะเดินเหินได้ไม่คล่องแคล่วนัก แต่ก็พอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง
ส่วน เยล หรือ สุริยา แสงแก้วฝั้น นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีความพิการด้วยโรคเดียวกันกับสด แต่มีระดับค่อนข้างรุนแรงสูงกว่า ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเดินแบบมีล้อพยุงตัวเคลื่อนไหว มือข้างหนึ่งหยิบจับไม่ได้ กิจวัตรประจำวันอย่างการกินข้าวหรือดื่มน้ำทำได้ลำบาก ด้าน จอย หรือ วาสนา เผ่าปัญญา นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ป่วยด้วยโรคพันธุกรรม ทำให้ร่างกายหยุดการเจริญเติบโต แม้จะอายุ 19 ปีแต่มีความสูงเทียบเท่ากับเด็กอายุ 6 ขวบเท่านั้น และยังมีโรคประจำตัวคือลิ้นหัวใจรั่ว และสายตาสั้นมากกว่าปกติ ทั้งสามเป็นผู้เปิดประเด็นให้สังคมได้หันมาสนใจเด็กพิการที่เรียนดี ถ้าสังคมเปิดโอกาส ทว่า เส้นทางการก้าวสู่รั้วอุดมศึกษาไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ ซึ่งนอกจากสามเกลอคน เล็กหัวใจใหญ่นี้แล้ว ยังมีรุ่นน้องเยาวชนผู้พิการจากทั่วประเทศอีกหลายคน ที่จะตบเท้าเดินตามรอยรุ่นพี่คนดัง เพื่อก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยชีวิตที่สังคมเปิดทางไว้กว้างขึ้น พวงทอง ศรีวิลัย ผู้อำนวยการโรงเรียนศรีสังวาลย์ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงเรียนต้นสังกัดของทั้งสาม เล่าว่า ในประเทศไทยมีโรงเรียนที่จัดการศึกษาให้แก่เด็กที่บกพร่องทางร่างกายทั้ง ด้านการเดิน การหยิบจับและการพูดเพียง 3 แห่ง คือ โรงเรียนศรีสังวาลย์ จ.เชียงใหม่ โรงเรียนศรีสังวาลย์ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นของรัฐ ส่วนอีกแห่งเป็นเอกชน คือ โรงเรียนมูลนิธิของสมเด็จย่าที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี "ในส่วนของโรงเรียนศรีสังวาลย์ฯ เชียงใหม่ ก่อตั้งมาเพียง 9 ปี วัตถุประสงค์ให้บริการเฉพาะเด็กพิการในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือเท่านั้น แต่ด้วยมนุษยธรรม ปัจจุบันเรามีเด็กที่อยู่ในความดูแลมากถึง 20 จังหวัด ตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเด็กที่จะเข้ามาเรียนเราจะมีการคัดกรองจากกลุ่มที่ร่างกายหรือสุขภาพ บกพร่อง ยกเว้นกลุ่มหูหนวก ตาบอดและปัญญาอ่อน จะต้องไปเรียนที่ศูนย์การศึกษาพิเศษแทน" นอกจากนี้ทางโรงเรียนจะต้องประเมินความสามารถในการเรียนรู้ของเด็ก ถ้าพร้อมก็จะส่งเสริมตามความชอบหรือความถนัด อย่างในกรณีของสามคนเล็กอย่าง สด เยล และจอย ที่ชอบ "คอมพิวเตอร์ธุรกิจ" ก็ถูกส่งให้ไปเรียนในวิทยาลัยสารพัดช่าง "โรงเรียนได้วิเคราะห์แล้วจัดครูทั้งในและนอกสถาบันโดยจ้างมาติวให้ ช่วงเย็นและเสาร์อาทิตย์ จากนั้นพาไปสอบตรงแข่งกับเด็กปกติทั่วไป ซึ่งเป็นการสอบที่มีขึ้นก่อนการสอบโควตาและเอนทรานซ์ ผลการสอบตรงนี้วัดจากทั้งเกรดเฉลี่ยซึ่งเด็กทั้งสามคนมีผลการเรียนได้เกรดเฉลี่ยสูงคือ 3 กว่าขึ้นไปทั้งหมด ประกอบกับการทำคะแนนสอบได้ดีจึงสอบติดเข้าไปเรียนใน มช. ตามคณะที่ตัวเองต้องการ และได้ออกไปเรียนรู้ต่อสู้กับตัวเองในรั้วมหาวิทยาลัยตามความฝัน แลกกับการต้องออกไปเผชิญกับโลกกว้างที่ต้องพึ่งตัวเองมากขึ้น" ล่าสุดมีเด็กพิการรุ่นน้องจากโรงเรียนศรีสังวาลย์ฯ เชียงใหม่ สอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันได้อีก 4 คน เกือบทั้งหมดยังต้องนั่งวีลแชร์ไปเรียน "ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กพิการที่ใฝ่เรียนได้ก้าวเข้าสู่สถาบันอุดมศึกษาได้ สิ่งสำคัญนอกจากครูและโรงเรียนแล้ว คือผู้ปกครอง ต้องให้ความสนใจในการพาเด็กไปสอบ เพราะหลายคนผู้ปกครองละเลยไม่เอาใจใส่เท่าที่ควร อีกอย่างทางมหาวิทยาลัยและสังคมต้องให้โอกาส เพราะปัญหาที่เด็กของเราเจอคือเข้าไปเรียนแล้วรับสภาพตัวเองและสิ่งแวดล้อมรอบข้างไม่ไหว...ที่เด็กไปเจอมา ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เด็กพิการแต่อยู่ที่คนปกติทั่วไปไม่เข้าใจ เพราะมักมองว่าคนพิการทำอะไรไม่ได้ แต่ความจริงแล้วหากเราสามารถดึงศักยภาพของเขาที่มีออกมาได้ เขาก็จะสามารถเรียนรู้และยืนหยัดทำให้เขาสามารถเลี้ยงชีพได้เช่นคนปกติทั่วไป" ด้าน รศ.นพ.อำนาจ อยู่สุข รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพนักศึกษาและกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) บอกว่า ขณะนี้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีนักศึกษาผู้พิการจำนวน 28 คน ส่วนมากเป็นผู้พิการทางหู ตา และกาย กระจายอยู่ตามคณะต่างๆ ซึ่งสิ่งที่มหาวิทยาลัยพยายามปลูกฝังคือเรื่องความมุ่งมั่นให้ประสบผลสำเร็จ "อย่างเยลที่มีความพิการทางสมองและทำให้แขนขาเกร็งนั้น ช่วงสอบสัมภาษณ์เราถามเขาว่า ทำไมเรียนนิติศาสตร์ เพราะการเป็นทนายความหรือผู้พิพากษา การมีบุคลิกแบบนี้คงเป็นไม่ได้ แต่เขาตอบว่า ต้องการนำความรู้นิติศาสตร์ไปช่วยคนพิการด้วยกัน นี่เป็นสิ่งที่เรารับเขาเข้ามา เพราะเห็นความตั้งใจเรียน ตั้งใจจริงจึงได้คุยกับทางคณะให้ทำทางลาดชันให้เขาสามารถเข้าไปสู่ห้องเรียนได้โดยไม่ลำบาก และจัดให้มีชมรมเพื่อนคนพิการเป็นอาสาสมัครเข้ามาช่วยดูแลเป็นรายตัว" ด้วยตัวอย่างของความมุ่งมั่น รองอธิการบดีฯ บอก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะจัดโครงการพิเศษเพื่อให้โอกาสกับเด็กเหล่านี้มากขึ้น โดยมีนโยบายให้ทุกคณะเตรียมการรองรับทั้งเรื่องทางกายภาพ สิ่งอำนวยความสะดวกก่อนการเข้าเรียน มอบหมายให้อาจารย์ดูแลแบบรายบุคคล เพราะตั้งใจให้ผู้พิการทางกายแต่มีความตั้งใจได้อยู่ในสังคม โดยจะได้รับการพัฒนาจนเป็นกำลังสำคัญของสังคม ไม่ใช่อยู่ในฐานะภาระของสังคมอีกต่อไป "แต่เราก็ห่วงกระแสความโด่งดังของเด็กสามคนที่เกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน เพราะช่วงที่เรียนตามปกติเด็กก็ต้องใช้เวลาในการเรียนมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เช่น ต้องบันทึกเสียงอาจารย์กลับไปถอดเทปฟัง เพราะใช้มือจดไม่ได้ จึงต้องใช้เวลาทบทวนบทเรียนมากกว่าคนปกติหลายเท่า และต้องดูแลกันเป็นพิเศษ การที่พวกเขาใช้เวลาไปออกรายการออกอากาศโดยต้องเดินทางไปที่กรุงเทพฯ มากเกินไปก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะเข้ามาอยู่ปี 1 ก็อยากจะให้เรียนหนังสือกันอย่างเต็มที่ การที่ไปผลักดันให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังมาก เรากลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดและหลงทางไป เพราะหน้าที่หลักยังต้องเป็นเรื่องเรียน" อย่างไรก็ตาม ด้วยเรื่องราวความมุ่งมั่นของเด็กสามคนนี้ก็ช่วยจุดประกายฝันให้กับน้องๆ ผู้พิการคนอื่นๆ ได้พยายามทำตามฝันของตัวเอง ขอเพียงแค่พยายามและมุ่งมั่น ความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่ๆ
จากเว็บ http://www.bangkokbiznews.com
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|