บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
สันติขึ้นอยู่กับตัวท่านด้วย : พระคุณเจ้าบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์ |
Thursday, 13 January 2011 | ||||
สันติขึ้นอยู่กับตัวท่านด้วย จะมีสันติขึ้นได้ ก็ต้องแล้วแต่สภาพคนดี มีศีลและจิตใจสูง พระคุณเจ้าบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์
แต่สันตินั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้องมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง พระสันตะปาปา ปอล ที่ 6 ได้ทรงตอบไปแล้วโดยตั้งเป็นคำขวัญวันสันติสากล ปี 1974 ไว้ดังนี้ว่า "สันติขึ้นอยู่กับตัวท่านด้วย" 1. สันติขึ้นอยู่กับมนุษย์
สันติเกิดขึ้นได้ถ้ามนุษย์สนใจ พยายามสร้างสรรค์มันขึ้นมา และมีไว้ในตัวตนเอง
ทั้งนี้หมายความว่า สันติมิได้มาจากวัตถุภายนอกแต่อย่างเดียว สันติต้องเกิดมาจากเสรีภาพของมนุษย์ สันติขึ้นอยู่กับมนุษย์ แต่ก็มิได้หมายความว่า สันติไม่ต้องการสภาพสิ่งแวดล้อมภายนอกด้วย เพราะชีวิตมนุษย์ขึ้นอยู่กับการรู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติทุกอย่าง ทั้งในดิน ในน้ำ และในท้องฟ้า อย่างดีและถูกต้อง ชีวิตมนุษย์ยังขึ้นอยู่กับการรู้จักแบ่งปันทรัพยากรเหล่านี้ให้ทั่วถึงกันทุกคนอย่างยุติธรรม ฯลฯ มิฉะนั้นแล้ว จะเกิดปัญหาน่าวิตก ดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้คือ ปัญหาสภาพแวดล้อมเป็นพิษ ปัญหาประชากร ปัญหาสลัม ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบกันในการค้า ฯลฯ เป็นต้น (สมณสาสน์ Populorum Progressio 26 และ Octogesima Adveniens 37) ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะดิน น้ำอากาศก็จริง แต่มันมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ทั้งในส่วนตัว และส่วนรวมอย่างใกล้ชิด มีอิทธิพลเหนือความเป็นอยู่ของมนุษยชาติ จึงนับว่าปัญหาเหล่านี้มีส่วนสำคัญเกี่ยวกับสันติด้วย อนึ่ง ความสามัคคีปรองดองกันระหว่างมนุษย์ทุกคน ทุกชาติ จะยั่งยืนอยู่ได้ก็ต้องอาศัยองค์การอันเป็นเสมือนกลไก ให้มีการติดต่อสัมพันธ์กันในทุกเรื่องทุกระดับ เช่น การไปมาหาสู่ การทำสัญญากัน ตลอดจนความสัมพันธ์ทางการทูต ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม การศึกษา การเผยแพร่ข่าวสาร ฯลฯ ซึ่งถ้าเอาหน่วยงานและองค์การต่างๆ นี้มารวมกันแล้วก็เปรียบได้เสมือนเครื่องจักรมหึมา ที่ต้องทำงานทั้งวันทั้งคืน เพื่อบริการมนุษย์ทุกฝ่ายในทุกระดับ องค์การต่างๆ เหล่านี้ เป็นประดุจเครื่องกลไกที่ทำงานแทนตัวมนุษย์ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า องค์การเหล่านี้มักทำงานไม่ได้ผล หรือมักจะก่อให้เกิดผลร้ายด้วยซ้ำไป เพราะนานเข้าองค์การเหล่านี้มักจะล้าสมัย ขาดความกระตือรือร้น จนเข้าขั้นชอบอยู่กับที่ ไม่สามารถก้าวหน้าออกไปสู่ความต้องการใหม่ๆ และในที่สุด ก็ก่อให้เกิดการกดขี่และความอยุติธรรมเกิดขึ้น ถือมนุษย์เป็นสิ่งของ คนจนและคนอ่อนแอกลับตกเป็นหุ่นยนต์ ทำให้เมืองมนุษย์เป็นจอมปลวกไปเสีย ฉะนั้น เพื่อป้องกันมิให้องค์การเหล่านั้นมาเป็นนายเหนือมนุษย์ มนุษย์จึงต้องพยายามเป็นผู้สร้างสรรค์ เป็นนายให้ได้ มิใช่เป็นทาสของสิ่งที่ตนทำขึ้นมา ดังนี้ มนุษย์จะต้องใช้มันให้ถูกวัตถุประสงค์ และสร้างมันขึ้นมาได้อีกถ้าจำเป็น หากมนุษย์มัวแต่ใช้วัตถุปัจจัยเพื่อให้เกิดสันติ ก็เท่ากับว่า สร้างตึกระฟ้าด้วยเครื่องจักรแต่อย่างเดียว ไม่ใช้นายช่าง และถ้าจะให้นายช่างสร้างตึกโดยไม่หาเครื่องมือเครื่องจักรที่ทันสมัยให้ใช้ นายช่างก็ทำไม่ได้ การที่มนุษย์รู้จักใช้ความสามารถในตัวสร้างสันติ และรู้จักใช้เครื่องมือและวัตถุปัจจัยในการสร้างสันตินั้นด้วยแล้วไซร้ จึงนับว่าครบถ้วน
ปัจจุบัน สันติมีความหมายกว้างมาก คือ หมายถึงสังคมที่พัฒนาได้ผลสำเร็จ มิได้หมายเพียงว่าปลอดสงคราม แต่หมายถึงสังคมที่สามัคคีปรองดองกัน มีความยุติธรรม และเจริญครบครัน เมื่อวัตถุประสงค์ของสันติมีความหมายกว้างคลุมไปทั่วโลกเช่นนี้ ก็จำเป็นอยู่เองที่ผู้สร้างสันติต้องกินความถึงมนุษย์ทุกคน สันติเกิดขึ้นได้อย่างยากเย็น มีงานสลับซับซ้อน จึงจำเป็นอยู่เองที่ต้องใช้นักวิชาการที่รู้จักเทคนิคสมัยใหม่ (สมณสาสน์ Pacem in Terris 55) สันติจะเกิดขึ้นได้ จะอยู่ยืนนานหรือไม่ โดยมากก็แล้วแต่อำนาจในทุกระดับ ไม่ว่าด้านสังคม การเมือง ด้านคนงาน หรือสื่อสารมวลชน การสร้างสันติมิใช่งานอดิเรก หรือเป็นงานของบางคนที่มีความรู้ความสามารถ แต่เป็นภาระหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน และของแต่ละคน
สันติไม่ขึ้นอยู่กับท่านแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับท่านด้วยอย่างแท้จริง จะเปรียบให้เห็นได้จากการจราจร หากคนใช้รถใช้ถนนไม่ระวังตัว ก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุไปชนคนอื่น หรือคนอื่นมาชนเอาได้ฉันใด ในเรื่องการสร้างสันติก็เช่นกัน หากเราแต่ละคนไม่ยอมรับผิดชอบ คิดเสียว่าเป็นเรื่องของคนอื่น ก็น่าตำหนิติเตียนยิ่งนัก ไม่มีทางแก้ตัวได้เลย พระสันตะปาปา ปอล ที่ 6 ทรงเรียกร้องพวกเราแต่ละคน ให้ทำภาระหน้าที่ของแต่ละคนด้วยความสำนึกรับผิดชอบ และยินดีช่วยกันตอบสนองเต็มความสามารถ
ระดับปัญญา
ระดับใจ และน้ำใจ ความก้าวหน้าทางวิชาการ ทำให้มนุษย์มีความหวัง รู้จักตนเองมากขึ้น และถ้าเอาวิธีการ เทคนิคเข้าช่วยด้วยแล้ว ก็ยังจะช่วยให้มนุษย์มีอิทธิพลโดยตรงเหนือชีวิตของสังคมต่างๆ ได้
ระดับมโนธรรม ขั้นแรกที่สำคัญคือ ชีวิตภายในจิตใจ การที่จะเป็นผู้สร้างสันติที่รู้สำนึกผิดชอบได้นั้น จำต้องรู้จักรำพึงวิปัสสนา เพราะสันติย่อมเป็นผลของจิตใจที่สามารถหยั่งรู้เข้าใจตัวมนุษย์ ชีวิตมนุษย์ วิถีทางแห่งประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และจุดหมายปลายทางของมนุษย์ในแนวใหม่ได้
ก. สันติภายในตัวท่าน
แท้จริง ความคิดเช่นนี้ มีคนสมัยใหม่มากมายหลายคน ไม่ยอมรับแม้ที่เป็นคริสตชนด้วยกัน ฉะนั้น หากเราตั้งใจเป็นผู้สร้างสันติแล้วไซร้ ก็จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องพูดถึงแก่นสำคัญอันนี้ให้ชัดเจน ต้องยอมรับกันว่า ปัจจุบัน อันเป็นสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว มีการต่อสู้กันอยู่ในชีวิตสังคมทั่วไป แม้ที่ประชุมพระสังฆราชทั่วโลกก็ยอมรับว่า ระบบสังคมต่างๆ มักจะก่อให้เกิดความอยุติธรรม และการกดขี่ข่มเหงกัน
อีกประการหนึ่ง การเหมาเอาว่าประวัติศาสตร์ล้วนเป็นการต่อสู้นั้น เป็นการดูประวัติศาสตร์อย่างผิวเผิน เพราะถ้าจะพิจารณาความตึงเครียด หรือการต่อสู้ในพวกเดียวกันหรือระหว่างชาติแล้ว จะเห็นว่า ไม่เป็นการยุติธรรมต่อประวัติศาสตร์เลย ในการมองข้ามกฎมูลฐานของสังคมข้อหนึ่งไปเสีย นั่นก็คือ การหันหน้าเข้าหากัน การเกาะกลุ่มกัน และการอยู่ร่วมกันเหล่านี้ล้วนเป็นกำลังผลักดันให้มนุษยชาติทั้งมวลรวมกันเข้าเป็นสังคม ประการสุดท้าย อันเป็นประการสำคัญยิ่ง คือ การปฏิเสธที่จะหันหน้าเข้าหากัน และไม่ยอมรับการเข้าคืนดีกันใหม่เช่นนี้ จะเรียกว่า เป็นการเชื่อฟังพระวรสาร เป็นการปฏิบัติตามบัญญัติใหม่แห่งความรัก ซึ่งให้เรารักทั้งเพื่อน และศัตรูได้ละหรือ "การเข้าคืนดีกันใหม่" นี้ เรายังมีโอกาสพูดกันอีกอย่างละเอียด กว้างขวางในปีศักดิ์สิทธิ์
ส่วนประกอบที่จะนำมาสร้างสันตินั้น ได้แก่
* การรับเอาเป็นภาระหน้าที่ ที่จะรับรู้ และจับจุดแห่งการต่อสู้นั้นๆ
* การรับเอาเป็นภาระหน้าที่ ที่จะแสวงหาการแก้ไขโดยสันติวิธี พยายามแก้ความเชื่อถือที่ว่า การต่อสู้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ (ศึกษาหาวิธีจำกัดหลักเกณฑ์การป้องกันตนเอง)
* การไม่รู้จักเกลียดชังกัน แม้กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน แม้เรามีสิทธิที่จะไม่เห็นพ้องด้วย แต่ไม่ยอมมีสิทธิที่จะเคืองแค้นกัน (เพราะการเคืองแค้นกันไม่ใช่ความรักแท้จริงต่อเพื่อนบ้าน) * เจริญชีวิตอยู่ในสันติธรรม และสัตยธรรม พูดความจริง ทำตามที่ได้พูด * ปฏิบัติตามพระคริสต์ ผู้ทรงรับทรมาน (สลัดความชั่วทิ้งเสีย) สิ้นพระชนม์ (ปฏิเสธตนเอง) และกลับคืนชีพ (ชีวิตใหม่ในองค์พระเยซูคริสต์)
สันติของผู้อื่นต้องการท่าน สันติภายในมิใช่ว่าเป็นการเลี่ยง ไม่สนใจกับสันติในโลก ตรงกันข้ามสันติแห่งดวงใจ ย่อมเป็นหัวใจของสันติ เพราะสันติเช่นนี้ อยู่นิ่งไม่เป็น ต้อง "แพร่ขยาย" ต่อๆ ไปด้วยกิจกรรมดี คนเราสมัยนี้ เป็นต้นเยาวชน จะเชื่อฟังก็ต่อเมื่อพูดแล้วทำให้เขาเห็นด้วย แล้วเขาจึงจะทำตาม นี่เป็นกฎธรรมดาในสังคมทั่วไป มีโอกาสหลายอย่างที่จะให้เราสร้างสันติได้ ช่วยคนอื่นให้เป็นผู้สร้างสันติขึ้นด้วยก็ได้ เช่น
* การที่คนเราชอบความเงียบสงัด เพราะเบื่อหน่ายสังคมอุตสาหกรรมที่อึกทึก หันไปนิยมธรรมชาติ พยายามลดอัตราความเร็วลง ฯลฯ * การเปลี่ยนจากนิยมปริมาณ หันมานิยมคุณภาพแห่งการดำรงชีวิต * การหันมาสนใจภาระหน้าที่ขั้นมูลฐานคือ ใช้ชีวิตในการเรียนรู้เรื่องสันติ ความยุติธรรม และการพัฒนา เป็นต้น โอกาสเหล่านี้ ล้วนทำให้เราแต่ละคนเป็นผู้สร้างสันติได้ แต่มิใช่ทำอยู่แต่เพียงผู้เดียว มนุษย์เราเกิดมาในสังคมและเจริญเติบโตขึ้นในสังคม ฉะนั้น แต่ละคนต้องทำงานและรับผิดชอบในสังคม ความจริงข้อนี้ใช้ได้ทั้งทางสังคมบ้านเมือง และสังคมศาสนา สำหรับคริสตชนแต่ละคน ก็ต้องเป็นผู้สร้างสันติขึ้นในพระศาสนจักรเอง เพราะคริสตชนแต่ละคนเป็นหน่วยหนึ่งของพระวรกายของพระคริสต์ เป็นประชากรพระเจ้า ฉะนั้น ความคิด วาจา กิจการ แม้กระทั่งข้อคำถามต่างๆ จะหันเหเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากจะต้องเข้าสัมพันธ์อยู่กับพระศาสนจักร
เริ่มจากแต่ละคน จนถึงทุกคนรวมกัน เป็นการรวมกันสร้างสันติ คำขวัญวันสันติปี 1974 หมายถึง การที่ทุกคนในสังคมคริสตชนต้องรวมกันสร้างสันติ (หมายถึงกิจกรรมทางสังคมการเมืองด้วย) นอกจากนี้ยังหมายถึงสังคมมนุษย์อื่นๆ อีกเป็นอันมาก ซึ่งเป็น "ผู้มีน้ำใจดี" ให้เขาได้รวมกันเป็นผู้สร้างอีกด้วย
พระศาสนจักรทำให้สันติมั่นคงขึ้นได้ โดยการประกาศพระวรสาร (ข่าวดี) ในวันฉลองสันติทุกปี พระสันตะปาปา ทรงย้ำถึงความสัมพันธ์อันนี้ ระหว่างข่าวดีของพระคริสต์กับสันติ เรื่องนี้จะพูดกันอย่างละเอียด กว้างขวางในการประชุมสังคายนาพระสังฆราชทั่วโลกคราวหน้า * จะเป็นผู้สร้างสันติ เป็นธรรมทูต ผู้นำข่าวดี และผู้ประกาศสันติของพระเจ้า ในเวลาเดียวกันได้อย่างไร * ภาระหน้าที่เหล่านี้ จะต้องแบ่งแยกออกจากกันไหม หรือว่าต้องรวมประสานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
* พระศาสนจักร และโลกมนุษย์แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร * มีข่าวดีสองอย่าง อย่างหนึ่งของโลก และอีกอย่างหนึ่งของพระหรือ * ใครเป็นผู้ส่งใคร ส่งไปถึงใคร เพื่อประกาศข่าวดีอะไร * ผู้เป็นพยานถึงพระวาจาที่ได้รับมานั้น ต้องมีบทบาทอย่างไร ต้องทำอะไร * เราต้องทำอย่างไร เพื่อค้นหาความหมายแห่งสันติของพระคริสต์อันจะทำให้เกิดสันติของโลก * เราจะนำเอาทฤษฎี "ผู้มีน้ำใจดี" กับทฤษฎี "เครื่องหมายแห่งกาลเวลา" มาใช้ให้เกิดผลได้อย่างไร * จะทำอย่างไร จึงจะนำเอาปัญหาสันติ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการอภิบาลสัตบุรุษ * จะทำอย่างไร จึงจะทำให้กิจกรรมนี้ เป็นโอกาสส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างศาสนา
เราอาจให้ลักษณะเด่นๆ สำหรับบรรยายแก่นแท้ของผู้สร้างสันติที่ดี มีศีลธรรม และจิตใจสูงได้ดังต่อไปนี้
ผู้รักสันติและสร้างสันติต้องเป็น * ผู้มีใจมั่นคง แน่วแน่ * คนชอบเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าทั้งในส่วนตัว และในสังคมโลก (ปรับปรุงให้ทันสมัย)
* คนสร้างประวัติศาสตร์ ถือว่าตนมีส่วนในการทำให้มนุษยชาติดีขึ้น แม้จะเป็นส่วนเล็กน้อยเท่าใดก็ตาม ฉะนั้นเขารู้จักกาลเวลาทั้งปัจจุบัน (ใช้เวลาเป็น) อนาคต (วางแผนล่วงหน้า) และอดีต (ถือที่แล้วมาเป็นบทเรียน รู้จักดูเหตุการณ์ - นิมิตหมายแห่งกาลเวลา) * ผู้ที่ชอบอุทิศตนเพื่องานในทุกด้าน ไม่ว่าด้านการเมือง สังคม หรือวัฒนธรรม เพื่อนำมาซึ่งสันติ เขารู้จักไว้วางใจ ในพระเจ้าผู้ทรงจัดสรรทุกอย่าง คิดเสียว่าสันติเป็นการที่พระเจ้าทรงสร้างต่อไป พระเจ้าทรงให้คนรับผิดชอบในสันติ และตัวเขาเองก็เป็นผู้จัดสรรทุกสิ่งให้มีสันติ * ผู้รู้สำนึกในความบาป และพระหรรษทาน * ผู้ถือเอาความเชื่อมั่น ความหวัง ความรัก และความเมตตา เป็นบ่อเกิดแห่งกำลังใจ และความยินดี
สันติของพระเจ้า ต้องการสันติของมนุษย์
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|