
ศักดิ์ศรีสตรี : พระสังฆราชบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์ |
![]() |
Wednesday, 29 December 2010 | ||||
ศักดิ์ศรีสตรี พระสังฆราชบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์
ความคิดของการแบ่งแยกเพศนี้ ได้รับอิทธิพลจากทางโลกและมีอยู่ในพระคัมภีร์ในสมัยโบราณ ซึ่งศึกษาได้จากพระธรรมเก่าที่มีการแบ่งแยกหญิงชายออกจากกัน ยิ่งกว่านั้น เมื่อกล่าวถึงผู้หญิงก็มักจะได้รับการดูถูก แต่ทั้งๆ ที่มนุษย์แต่โบราณมีความคิดและทัศนคติต่อผู้หญิงในลักษณะดังกล่าว สำหรับพระเป็นเจ้าแล้วพระองค์ไม่ได้มองเช่นนั้น
ในแผนการแห่งความรอดของพระองค์ พระองค์มอบให้ สตรีสาว ผู้หนึ่ง มาเป็นแม่ของพระบุตร เป็นแผนการที่มีมาแต่ครั้งสร้างโลก ที่จะช่วยมนุษย์ให้พ้นบาป สิ่งสร้างทั้งหลายกลับมีชีวิตใหม่ และมนุษย์คนแรกที่พระองค์นำมาร่วมในแผนการยิ่งใหญ่ก็คือ ลูกสาวคนหนึ่งของพระองค์ และแผนการนี้สำเร็จเมื่อพระบุตรมาเกิดจากสาวบริสุทธิ์ - พระนางมารีย์ นักบุญเปาโลสอนว่า "ให้เรามาทำความเข้าใจใหม่ถึงเกียรติ และศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าหญิงชาย" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจำเป็นต้องพูดถึงเกียรติและศักดิ์ศรีของผู้หญิง ก็เพราะในทัศนคติของสังคมโลกทั่วไป ดูถูกผู้หญิง ไม่ให้เกียรติ และไม่เข้าใจศักดิ์ศรีของผู้หญิงเท่าที่เป็นจริง ในเอกสาร พระศาสนจักรในเอเชีย พูดไว้อย่างชัดเจนว่าในสังคมเอเชียนั้น เรามีแนวคิดในการพิจารณาสิ่งต่างๆ หรือวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ แบบองค์รวม ไม่มีการแบ่งแยกหญิง-ชาย ดำ-ขาว แต่ดูเป็นองค์รวม การทำงาน การแก้ไขปัญหา จึงเป็นแบบบูรณาการไม่มีการแบ่งแยก แต่ในเวลาเดียวกัน บรรดาพระสงฆ์ในเอเชียที่มาร่วมประชุมที่บ้านผู้หว่าน อ.สามพราน จ.นครปฐม ระหว่างเดือนมกราคมที่แล้ว ได้สารภาพว่า ในความเป็นจริงแล้ว สังคมเอเชียและสังคมไทยยังมีการแบ่งแยก หญิง-ชาย ดำ-ขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพูดถึง "ผู้หญิง" ก็ยังคงมีการดูถูกดูหมิ่นไม่ยอมรับบทบาท และความสามารถของผู้หญิงเท่าที่ควร ไม่เหมือนกับพระเป็นเจ้า พระบิดาของเรา หลายครั้ง พระศาสนจักรก็ตกเป็นทาสของความคิดและทัศนคติเดียวกับสังคม ที่ยังเป็นทาสของบาปอยู่ นั่นคือ ไม่ยอมรับเกียรติและศักดิ์ศรีของลูกสาวของพระเป็นเจ้าของเรา บรรดาพระสังฆราชในเอเชียต่างก็ยอมรับความเป็นจริงข้อนี้ที่ว่า ในพระศาสนจักรเรา มีความประพฤติ การกระทำในลักษณะที่ไม่ให้เกียรติและศักดิ์ศรีของสตรีจริง ในการนี้เราต้องเอามือทุบอก ก้มศีรษะ แล้วสารภาพว่า "ข้าพเจ้าผิดไปแล้ว" และต้องไม่เพียงแต่สารภาพอย่างเดียว แต่ต้องตั้งใจและเสนอแนวทางว่า "เราต้องเริ่มเข้าใจชีวิตมนุษย์ในแบบชาวเอเชีย" นั่นคือ ดูความสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ในครอบครัว เช่น เรามีแม่ มีพ่อ ลูกสาว และลูกชาย หลานสาวและหลานชาย ทุกคนแม้จะต่างเพศกัน แต่เราไม่เคยแบ่งแยก บทบาทที่ต่างกัน ต้องสนับสนุนและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และ "เรายังมีพระวาจาของพระเป็นเจ้า เป็นหลักสำคัญในการทำความเข้าใจถึงเกียรติและศักดิ์ศรีของลูกสาวของพระเป็นเจ้า" บรรดาพระสังฆราชซึ่งเป็นลูกชายของพระองค์ จึงจำเป็นต้องพยายามสอนสัจธรรมข้อนี้ให้กับบรรดาสัตบุรุษ ไม่ใช่สอนด้วยปากเท่านั้น แต่ต้องประพฤติและกระทำให้เห็นเป็นแบบอย่างดังเช่นพระเยซู พระเยซูคริสตเจ้ามีทัศนคติเช่นไรต่อสตรีเพศ พระองค์ได้ประพฤติและกระทำเช่นไรต่อสตรีเพศ พระบิดามีแผนการแห่งความรอดที่ให้ผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วม นั่นคือ "แม่พระ" สำหรับพระเยซูนั้น ชีวิตของพระองค์ แม้จะอยู่ร่วมกับบรรดาอัครสาวกผู้ชายเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่พระองค์ก็มีสตรีใจศรัทธาเข้ามาสนทนาวิสาสะอยู่เสมอ • มาร์ธากับมารีอา น้องสาวของลาซารัส ซึ่งพระเยซูมักไปพักอาศัยอยู่ด้วย และพระองค์ก็ชอบที่จะได้สนทนากับน้องสาวทั้งสองคน
• ความประพฤติต่อหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำ พระองค์ทราบดีว่า เธอผู้นี้มีชีวิตอย่างไร แต่พระองค์มิได้ชี้หน้าว่ากล่าว พระองค์ค่อยๆ เจาะลึกเข้าไปในมโนธรรมและชีวิตของนาง โดยเคารพและนับถือ ไม่ต้องการให้นางบอบช้ำไปมากกว่าที่เป็นอยู่ นับถือน้ำใจของนางที่อุตส่าห์มานั่งวิสาสะกับพระองค์ และพระองค์ก็แสดงพระทัยดีเปิดชีวิตของนาง ที่สุดก็ฉายแสงแห่งพระบิดาเจ้าแก่นาง จนกระทั่งหญิงชาวสะมาเรียผู้นั้น กลายเป็นผู้ประกาศข่าวดีให้กับชาวเมืองในละแวกนั้น • เมื่อถึงเวลาที่พระองค์ถูกฝังไว้ในคูหา เช้าตรู่วันอาทิตย์ ผู้หญิงนางหนึ่งตั้งใจจะเอาน้ำหอมไปชโลมพระศพพระองค์ ผู้หญิงนางนี้จึงได้รับพระพรจากพระเป็นเจ้าผ่านทางพระเยซู และพระเยซูก็ได้ให้รางวัลแก่นางว่า "ให้ไปแจ้งข่าวดีกับทุกคนว่า เรากลับเป็นขึ้นมาแล้ว"
พระองค์ได้เลือกผู้หญิงที่เป็นคนบาป และได้ทรงช่วยให้รอดพ้นจากบาป เลือกผู้หญิงให้เป็นผู้ประกาศข่าวดีเป็นคนแรกแก่อัครสาวก พระเยซูเจ้ามีพระทัยดี เคารพให้เกียรติลูกสาวของพระบิดา เพื่อแสดงว่า พระองค์ทรงยอมรับในบทบาทที่แตกต่างกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย แต่บทบาทที่แตกต่างกันนี้ ไม่ใช่การแสดงออกถึงความแตกแยกหรือขัดแย้ง แต่เป็นการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน สนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อพระพันธกิจที่พระองค์ทรงมอบให้กับเราต่อไป พันธกิจนั้นก็คือ "การประกาศข่าวดีร่วมกันตามบทบาทที่มี ซึ่งพระเป็นเจ้าประทานให้ และต้องประกาศข่าวดีถึงชีวิตใหม่ในองค์พระเยซูเจ้า ที่ได้กลับเป็นขึ้นมา เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้แก่เรา โดยทางศีลล้างบาป ซึ่งทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่แบ่งแยกหญิงชายอีกต่อไป" เราจึงต้องช่วยกันประกาศข่าวดี เพื่อเสริมสร้างอาณาจักรของพระองค์บนโลกนี้ อาณาจักรนี้ก็คือ "ครอบครัวใหญ่" ของพระบิดาเจ้า สุดท้ายสภาพระสังฆราชเอเชียแนะนำว่า เพื่อจะเทิดทูนและทำให้เกิดความเข้าใจและเห็นความสำคัญของผู้หญิงในโลกนี้ พระศาสนจักรต้องปลุกจิตสำนึกของทุกคน ให้มองเห็นเกียรติและศักดิ์ศรีของลูกของพระองค์ ต้องปลุกจิตสำนึกของลูกผู้ชายให้มองเห็นเกียรติและศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิง ในเวลาเดียวกัน ก็ต้องให้ลูกผู้หญิงทั้งหลายสำนึกในเกียรติและศักดิ์ศรีของตน ให้สำนึกถึงความสามารถพิเศษ ตามบทบาทที่พระเป็นเจ้ามอบให้แก่เธอ ความสามารถพิเศษนี้ เราต้องใช้เพื่อสนับสนุนเกื้อกูลกัน ในการประกาศข่าวดีของพระองค์ ประเทศไทยกำลังมีเรื่องใหญ่ที่บ้านเมตตาและบ้านกรุณา ซึ่งมีมูลเหตุใหญ่ๆ มาจากผู้ชายไม่เคารพผู้หญิง และผู้หญิงไม่สำนึกในเกียรติและศักดิ์ศรีของตน จึงเกิดความแตกแยก และผลก็คือลูกๆ ไม่ได้รับความรัก ความอบอุ่นของพระเป็นเจ้าโดยทางพ่อแม่ของเขา ปัจจุบันพวกเขาจึงอยู่ในบ้านเหล่านั้น ซึ่งไม่ทราบว่าได้รับการดูแลเช่นไร ปัญหาเหล่านี้น่าจะเป็นปัญหาที่ผู้หญิงควรจะพิจารณาว่า เราควรมีบทบาทในปัญหาเหล่านี้อย่างไร ทั้งนี้ ไม่ใช่ต้องการปลุกระดม แต่ต้องการให้การเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นที่บ้าน เพราะมูลเหตุของปัญหาอยู่ที่บ้านของเราและของเพื่อนบ้าน จึงต้องเริ่มที่การปลุกจิตสำนึกของผู้หญิง และผู้ชายให้เคารพ นับถือ รัก และรู้จักบทบาทที่จะต้องเกื้อหนุนแก่ครอบครัวและสังคมโดยรวม ขอขอบพระคุณพระเจ้าที่มีน้ำพระทัยดี สร้างแผนการแห่งความรอด โดยเชิญเราทุกคน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในแผนการนั้น และได้เชิญผู้หญิงให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงบทบาทของเธอ ขอพระเจ้าอวยพรน้ำใจดี อวยพรสังคมซึ่งยังต้องการความรัก ความเป็นหนึ่งเดียวในพระองค์ ในการเป็นลูกที่ดีของพระองค์ต่อไป
************************** ที่มา : บทเทศน์เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2000 เนื่องในโอกาส "ฉลองวันศักดิ์ศรีสตรี ปีปีติมหาการุญ ค.ศ.2000"
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|