บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
พระศาสนจักรกับสิทธิมนุษยชน : พระสังฆราชบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์ |
Sunday, 26 December 2010 | ||||
พระศาสนจักรกับสิทธิมนุษยชน
พระสังฆราชบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์ การที่จะศึกษาถึง "สัจธรรม" ที่เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะเรื่องเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ใน ทัศนะของศาสนาคริสต์นั้น ก่อนอื่นควรที่จะทำความเข้าใจความหมายของคำว่า "พระศาสนจักร" และ "สิทธิมนุษยชน" ว่า "พระศาสนจักรคืออะไรและเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนอย่างไร"
"พระศาสนจักร" หมายถึงกลุ่มชนที่มีความเชื่อ ความศรัทธาในพระเจ้ารวมกันเป็นหนึ่ง เพื่อทำพันธกิจในการเป็นเกลือ เชื้อแป้งและแสงสว่างของโลก หรืออธิบายได้ว่าพระศาสนจักรเป็นกลุ่มชุมชน หรือเป็นประชาคมที่รวมกันอย่างมีเอกภาพด้วยความเชื่อ ความศรัทธา และความรักต่อองค์พระคริสตเจ้า และทำพันธกิจที่พระเจ้าได้ทรงมอบหมายไว้ให้นั่นคือ "เป็นเกลือ เชื้อแป้ง และแสงสว่างของสังคมโลก"
เกลือ หมายถึง ทำให้มีรส ทำให้ประชาคมโลกมีรสและเกลือยังมีคุณภาพที่จะรักษา เชื้อแป้ง หมายถึง มีคุณภาพที่จะทำให้แป้งเป็นผงฟูขึ้นมาได้ แสงสว่าง หมายถึง นำความสว่างแห่งสัจธรรมมาสู่โลก นำความร้อนที่จำเป็นต่อชีวิตในโลก จาก 3 คุณลักษณะดังกล่าว จึงทำให้โลกรสดีขึ้น ฟูขึ้นและสว่างไสวยิ่งขึ้น ซึ่งการทำให้โลกดีขึ้น ก็ถือว่าเป็นภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบบัญชาให้ลูกศิษย์ของพระองค์ทำต่อไป "สิทธิมนุษยชน" ตามทัศนคติของศาสนาคริสต์ถือว่าเป็นพระคุณตามธรรมชาติที่มนุษย์มีมาแต่กำเนิด พระคุณอันนี้จะถ่ายโอนให้แก่ใครมิได้ และทำให้มนุษย์เจริญชีวิตอยู่อย่างสมศักดิ์ศรีที่เป็นมนุษย์ พระคุณนี้มีลักษณะเป็นสากลคือเมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้ว มีพระคุณที่เรียกว่าสิทธิมนุษยชนนี้
ความเข้าใจพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนในมิติทางศาสนาคือ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ได้รับการยืนยันจากพระธรรมคำสอน ดังพระคัมภีร์ปฐมกาล บทที่ 1 : 26 "พระเป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์" ในที่นี้ "ฉายา" ตามความหมายของคริสต์ศาสนา คือ มนุษย์มีปัญญารู้ คิดเช่นเดียวกับพระเป็นเจ้า มีอิสระ มีความรัก แบบที่ออกจากตัวเอง ฉายาของพระเจ้า ยังหมายถึง มนุษย์ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลรักษาสิ่งสร้าง เพื่อจะได้เสริมสร้างสิ่งที่พระเป็นเจ้าสร้างมาให้พัฒนาดำรงอยู่ พระฉายาตามความหมายของพระศาสนจักรเป็นพระคุณที่พระผู้สร้างมอบให้กับมนุษย์ทุกคน ทุกคนเกิดมาจะได้พระคุณนี้ที่ทำให้เรามีศักดิ์ศรีเป็นลูกของพระเป็นเจ้า ส่วนในทางเทววิทยาได้อธิบายว่า มนุษย์เรามีศักดิ์ศรียิ่งใหญ่เพราะว่า พระบุตรของพระเจ้าคือองค์พระเยซูเจ้าทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ (ภาษาเทววิทยา เรียกว่า รับเอาธรรมชาติมนุษย์มาอยู่กับพระองค์) หรือรับเอาสภาพความเป็นมนุษย์ จากความจริงข้อนี้เราเข้าใจว่า หลังจากที่ได้ทำบาปตกต่ำไป มนุษย์ก็ถูกยกขึ้นให้สูงส่ง เพราะเราเป็นฉายาของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้การเป็นฉายานั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นลูกของพระเป็นเจ้านั่นเอง ซึ่งในทางเทววิทยาถือว่าพระบุตรของพระเป็นเจ้ามิได้มารับสภาพมนุษย์เท่านั้น แต่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับมนุษยชาติและในองค์พระบุตร มนุษย์จึงมีศักดิ์ศรีสูงส่งเป็นลูกของพระเป็นเจ้า ความคิดในขั้นต่อไปคือ การที่มนุษย์มีศักดิ์ศรีสูงส่งเช่นนี้ ถือว่าเป็นพระคุณที่พระผู้สร้างได้ให้ จึงควรอย่างยิ่งที่มนุษย์ทุกคน จะได้สำนึกในพระคุณ เกียรติและศักดิ์ศรีเหล่านี้ และในเวลาเดียวกันแต่ละคนก็ต้องสำนึกด้วยว่า คนอื่นที่เป็นมนุษย์เขาก็เป็นลูกของพระเจ้าเหมือนกัน เขาก็ได้รับพระคุณแห่งการมีเกียรติและศักดิ์ศรีเช่นเดียวกัน ฉะนั้นก็เรียกร้องว่า เราจะต้องเคารพและให้เกียรติแก่กันและกัน เมื่อเราประพฤติหรือกระทำอย่างเคารพและให้เกียรติแก่ผู้อื่น เขาก็จะกระทำเช่นเดียวกับเรา โดยการเคารพและให้เกียรติแก่เราเช่นเดียวกับที่พระเป็นเจ้าพระบิดาเคารพเราซึ่งเป็นลูกพระองค์ ไม่ทำลายอิสรภาพและเสรีภาพของเรา ไม่ทำลายพระคุณที่พระองค์ประทานแก่เรา นั่นคือเกียรติและศักดิ์ศรีสูงส่งที่ทำให้เราเป็นลูกของพระองค์ ฉะนั้น เราจะต้องเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีสิทธิที่จะให้คนอื่นเคารพเรา เราก็มีหน้าที่ต้องเคารพและรักผู้อื่นเช่นกัน เพราะว่าในศาสนาคริสต์ เราเน้นเรื่องความรักเป็นพื้นฐานของความเข้าใจในเรื่องพระศาสนจักรกับสิทธิมนุษยชน
สิทธิมนุษยชนไม่ได้มาจากการที่มนุษย์เรียกร้อง มิได้มาจากรัฐ มิได้มาจากการมีเงินซื้อสิทธิมนุษยชน แต่มาจากพระคุณของพระเป็นเจ้า เป็นของประทาน เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด จะถ่ายโอนให้ใครไม่ได้ และเป็นสิ่งสากล ซึ่งศาสนาบอกว่าเป็นพระคุณอันประเสริฐของพระผู้สร้างที่ให้แก่เรา เราจะซื้อขายกันไม่ได้ รัฐจะมาเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เราต้องเข้าใจว่า พระศาสนจักรเอง ก็มีวิวัฒนาการความเข้าใจต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนมาโดยลำดับ ไม่ใช่มีความเข้าใจชัดเจนมาตั้งแต่อดีต อย่างไรก็ตาม พื้นฐานคำสอนก็ได้อธิบายอยู่แล้ว พระศาสนจักรประกอบไปด้วยมนุษย์ เพราะฉะนั้น หากเราศึกษาถึงประวัติศาสตร์ก็มีบางยุคบางสมัยที่พระศาสนจักรเมินเฉยต่อสิทธิมนุษยชนและบางครั้งก็ได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย ที่น่าสนใจคือ แม้ว่าประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรจะมีจุดด่างเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่โดยทั่วไปแล้วพระศาสนจักรสอนและปฏิบัติการเคารพต่อมนุษย์หรือต่อสิทธิมนุษยชน ในรูปแบบของความรักและมีกิจกรรมที่กระทำและสนับสนุนตลอดเวลา 2000 ปีมานี้ ในเรื่องความรักและความเมตตาต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก ต่อคนป่วย ต่อคนที่ไม่มีใครดูแลเอาใจใส่ ต่อทาสและผู้ต้อยต่ำ พระศาสนจักรหันมาสนใจเรื่องสิทธิมนุษยชนแบบที่เราเข้าใจในสมัยใหม่นี้ เมื่อปลายศตวรรษที่ 19 โดยมีเอกสาร "RERUM NOVARUM" ของพระสันตะปาปา เลโอ ที่ 13 ซึ่งได้สอนและยืนยันถึงสิทธิของผู้ใช้แรงงาน โดยมีสาระสำคัญที่กล่าวถึง - มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะมีทรัพย์สินส่วนตัว - สิทธิของผู้ใช้แรงงานที่จะต้องได้รับค่าจ้างที่ยุติธรรม เพื่อสามารถจะเจริญชีวิตได้สมศักดิ์ศรีที่เป็นมนุษย์ และมีสิทธิในการรวมกลุ่มกันเป็นสหพันธ์ เพื่อเป็นพลังต่อรองกับนายจ้าง เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 เกิดมีลัทธิต่างๆ ขึ้นในสังคมโลก ที่กดขี่และริดรอนสิทธิของมนุษย์ เช่น ลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธินาซี ลัทธิเผด็จการ ผู้นำศาสนจักรในสมัยนั้น ได้ออกเอกสารต่างๆ ที่แสดงความไม่เห็นด้วย คัดค้าน ประณาม และต่อต้านลัทธิที่ริดรอนสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ ต่อมาในปี ค.ศ.1945 (หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง) มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ - โดยการสนับสนุนจากสันตะสำนัก - ซึ่งเป็นองค์การที่รวมความพยายามของชาติทั้งหลายในการช่วยมนุษย์ให้เจริญชีวิตอย่างสมเกียรติและศักดิ์ศรี และมีองค์กรย่อยๆ เกิดขึ้น เพื่อดำเนินงานที่มุ่งพัฒนาชีวิตมนุษย์ ในด้านการศึกษา อนามัย การเมือง และการค้า เป็นต้น ในปี ค.ศ.1958 สมัยของพระสันตะปาปา ยอห์น ที่ 23 พระศาสนจักรได้เข้าสู่ยุคใหม่แห่งความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยออกเอกสาร 2 ฉบับคือสมณสาสน์แม่และครู (MATER ET MAGISTRA) ปี ค.ศ.1961 เป็นสมณสาสน์ที่กล่าวถึงบทบาทและหน้าที่ของพระศาสนจักรในเรื่องการพัฒนาสังคมโลก และสมณสาสน์สันติสุขในโลก (PACEM IN TERRIS) ปี ค.ศ.1963 ซึ่งกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของพระศาสนจักรในการสรรสร้างสันติสุขในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลุกจิตสำนึกต่อเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการเคารพในเกียรติและสิทธิมนุษยชน ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ และบทบาทของพระศาสนจักรที่จะต้องปลุกจิตสำนึกและอบรมประชาคมโลก โดยเฉพาะสมาชิกในพระศาสนจักรให้รับรู้ เข้าใจและประพฤติตนให้เหมาะสมกับคำสอนนั้น
ต่อมาในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1962 - 1965 ห้วงเวลาแห่งสังคายนาวาติกันที่ 2 เป็นโอกาสที่พระศาสนจักรได้ทบทวนและเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของตนเองต่อโลกสมัยใหม่มากขึ้น มีเอกสารที่น่าสนใจหลายฉบับ แต่จะขอกล่าวถึง 2 ฉบับ คือ ธรรมนูญเรื่องพระศาสนจักร ( LUMEN GENTIUM ปี ค.ศ.1964) กล่าวถึงธรรมชาติและลักษณะของพระศาสนจักร ซึ่งสรุปคือพระศาสนจักรเป็นประชาคม เป็นกลุ่มของผู้มีความเชื่อ เป็นประชากรของพระเจ้า ซึ่งสืบทอดพันธกิจของพระเป็นเจ้า นั่นคือ เป็นเกลือ เชื้อแป้ง และแสงสว่าง สมณสาสน์เรื่องพระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ (GAUDIUM ET SPES ปี ค.ศ.1965) หรือกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของพระศาสนจักรต่อสังคมโลกในเรื่องสิทธิมนุษยชน วัฒนธรรม ครอบครัว สังคม และการเมือง
พระศาสนจักร ในช่วงหลังสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 ได้มีวิวัฒนาการเกี่ยวกับเรื่องความเข้าใจในบทบาทของตนเองต่อสังคมโลก และเกี่ยวกับเหตุการณ์ สถานการณ์ในสังคมโลก โดยอาศัยทฤษฎีอ่านสัญญาณแห่งกาลเวลา (Read the signs of the time) เป็นทฤษฎีเก่าที่พระสันตะปาปา ยอห์น ที่ 23 ได้นำมาใช้เพื่อปลุกจิตสำนึกสมาชิกของพระศาสนจักร ให้รู้และเข้าใจบทบาทของตนเองต่อสังคมโลก และปฏิบัติหน้าที่ที่ถือว่าเป็นการสนองต่อเสียงเรียกร้องของพระเป็นเจ้า เพื่อให้สังคมโลกดีขึ้น และได้รับความรอด นั่นคือมีความสุขสันติของพระผู้สร้าง ได้ช่วยเสริมสร้างสันติภาพและสนับสนุนความเข้าใจถึงศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชน และทำการปกป้องสิทธิมนุษยชนมากขึ้น ต่อมาพระสันตะปาปา ปอล ที่ 6 ได้กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ของทุกปี (โดยเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1968) เป็นวันสันติภาพสากล คือวันที่ศาสนิกชนต้องสวดภาวนาและศึกษาเรื่องยุติธรรมและสันติในโลก ความคิดนี้สืบเนื่องมาจากสมณสาสน์พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ (GAUDIUM ET SPES) และตั้งแต่นั้นมาถือเป็นภาระหน้าที่ว่าต้องมีสารวันสันติสากลออกมาเป็นประจำทุกปี เพื่อกระตุ้นเตือน คริสตชน ศาสนิกชน ให้รู้ว่าเหตุการณ์ที่ทำลายศักดิ์ศรีและเกียรติความเป็นมนุษย์ ที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสันติสุขในสังคมโลกมีเหตุการณ์อะไรบ้าง และคริสตศาสนิกชนต้องทำอะไรเพื่อให้โลกมีสันติบนพื้นฐานของความยุติธรรม นั่นคือเคารพเกียรติศักดิ์ศรี และสิทธิมนุษยชนทุกคน ในสมณสาสน์ พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ (GAUDIUM ET SPES) ข้อ 73 บอกว่า ประชาชนสมัยใหม่ที่มีสำนึกในเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Awareness of human dignity) ได้พยายามจัดให้มีองค์กรต่างๆ เพื่อสนับสนุนและปกป้องเกียรติและสิทธิมนุษยชน ซึ่งถือว่าเป็นความพยายามที่จะให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองนั่นคือประชาธิปไตย ให้ประชาชนได้ตรวจสอบอำนาจของรัฐเพื่อให้เกิดความดีของส่วนรวม (Common Good) สมณสาสน์ดังกล่าวยังเน้นว่า เพื่อบรรลุถึงวัตถุประสงค์ ต้องให้ประชาชนมีความตระหนักในเรื่องเกียรติและสิทธิของมนุษย์ และร่วมมือกันมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นพระศาสนจักรต้องพยายามปลุกจิตสำนึกแห่งเมตตาธรรม และการบริการเพื่อความดีส่วนรวม ทั้งยังสนับสนุนให้เชื่อในธรรมชาติแท้จริงของชีวิตการเมือง ขอบเขตอำนาจทางการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะธรรมชาติแท้จริงของชีวิตการเมือง คือ การเมืองมีไว้เพื่อความดีส่วนรวมเพื่อระเบียบและความสงบสุขของบ้านเมือง ในข้อ 76 กล่าวว่าศาสนาคาทอลิกยอมรับว่าศาสนาและการเมืองต่างก็มีบทบาทต่างกัน เปรียบได้เหมือนเหรียญที่มี 2 ด้านแต่ต่างทำงานเพื่อความดีและความสมบูรณ์ของมนุษย์ และสังคมมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของเหรียญทั้ง 2 ด้านที่เรียกว่า เป็นฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม หรือเรียกว่าโลกียะและโลกุตระ มนุษย์จะต้องส่งเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกัน การเมืองมีบทบาททำให้มนุษย์อยู่ในสังคมได้อย่างมีสุข มีศักดิ์ศรี ศาสนาก็มีบทบาทที่จะฝึกฝนอบรมให้มนุษย์แต่ละคนมีมโนธรรมที่เที่ยงตรงแบบมนุษย์ เพื่อมนุษย์ได้อยู่ร่วมกันในสังคมที่เป็นมนุษย์อย่างสมศักดิ์ศรี ศาสนามีบทบาทหน้าที่ปลูกฝังและส่งเสริมจิตตารมณ์ของมนุษย์ (Human Spirit) คือมนุษย์แต่ละคนซึ่งเป็นสมาชิกของสังคม ควรจะต้องมีจิตตารมณ์สมกับเป็นมนุษย์ เป็นพลเมืองที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ที่จะบริการและรับใช้สังคมให้เจริญก้าวหน้า ศาสนายังต้องมีบทบาทอบรมให้พลเมืองรับฟังและเคารพในทฤษฎีและความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน ทั้งนี้โดยไม่ทำให้ความดีส่วนรวมต้องเสียไป อย่างไรก็ตาม ศาสนาและการเมือง แม้ว่ามีบทบาทต่างกัน แต่ต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน ที่ขอย้ำข้อนี้เพราะเราต้องยอมรับว่า แม้แต่ผู้นำศาสนาเองก็มีความคิดเห็นต่างกัน นั่นก็คือบอกว่าศาสนาไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ศาสนาต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งตามบทบาทหน้าที่ของศาสนานั่นคือ "อบรมให้เกิดมโนธรรมและต้องมีการสนับสนุนความยุติธรรมในสังคม นั่นคือการส่งเสริมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ในปี ค.ศ.2000 พระศาสนจักรในเอเชียมีเอกสารที่สำคัญออกมาชื่อว่า "พระศาสนจักรในเอเชีย" (Ecclesia in Asia) ซึ่งได้กล่าวถึงจุดยืนของศาสนจักรเอเชียต่อเรื่องการเมืองและสิทธิมนุษยชนไว้ดังนี้ 1. พระศาสนจักรต้องถือว่า ในปัจจุบันนี้ได้รับการท้าทายจากนานาชาติ ที่จะให้พระศาสนจักรช่วยสนับสนุน ความสมัครสมานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อผนึกกันต่อสู้กับการด้อยพัฒนาที่ไม่สมกับการเป็นมนุษย์ หรือการพัฒนามากจนเกินไป ทำให้บุคคลกลายเป็นเพียงหน่วยเศรษฐกิจหน่วยหนึ่ง ในเครือข่ายบริโภคนิยมซึ่งกดขี่มนุษย์มากขึ้น (บทที่ 6 ข้อ 32) 2. หลังจาก 50 ปีของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งประกาศเมื่อปี ค.ศ.1945 พระศาสนจักรรู้ว่าสิทธิมนุษยชนยังไม่ได้รับการยกย่องหรือได้รับการเอาใจใส่อย่างเหมาะสม ทั้งนี้เพราะยังมีคนที่มีอำนาจมากกว่ากดขี่คนที่มีอำนาจน้อยกว่า และการตกเป็นทาสของวัตถุนิยมของคนในยุคสมัยนี้ ดังนั้นสิ่งนี้เป็นการท้าทายพระศาสนจักรในอันที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องในการปกป้องสิทธิมนุษยชนและส่งเสริมความยุติธรรมและสันติ (บทที่ 6 ข้อ 32) พระศาสนจักรในเอเชียได้ย้ำเรื่องนี้มาก เพราะต้องการเตือนสติประชาชนในเอเชียว่ามีปัญหาที่ท้าทายเราอยู่ และปัญหาเหล่านี้ยิ่งทำให้เราเห็นว่าเกียรติและศักดิ์ศรีของมนุษย์ ถูกคุกคามอย่างหนัก "และเราควรจะทำอย่างไร" เช่นเดียวกัน ในสารวันสันติสากล ปี ค.ศ. 2000 ได้กล่าวว่า "สันติสุขในโลกแด่ผู้ที่พระเจ้าทรงรัก" พระเจ้าทรงรักลูกของพระองค์ทุกคน มนุษย์ทุกคนเกิดมามีเกียรติ มีศักดิ์ศรีเป็นลูกของพระองค์ แต่ปรากฎว่ามนุษย์ไม่รักกันเอง ทำไมจึงไม่รักกัน เพราะมนุษย์ไม่รู้จักเคารพให้เกียรติในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทำลายสิทธิซึ่งกันและกัน
********************************
ที่มา : บทบรรยาย จากงานสัมมนาผู้บริหารโรงเรียนคาทอลิก เรื่อง "สิทธิมนุษยชนศึกษา"
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|