บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
จงลืมตา ลุกขึ้นเถิด คริสตชน : พระสังฆราชบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์ |
Monday, 17 January 2011 | ||||
จงลืมตา ลุกขึ้นเถิด คริสตชน
พระสังฆราชบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์
คริสตชนคนใดเอาพระศาสนจักร ไปผูกมัดอยู่กับฝ่ายการเมือง
หรือลัทธิการเมืองใดลัทธิหนึ่ง
นำเอาพระศาสนาไปเป็นเครื่องมือให้ฝ่ายนั้นแล้ว
ผู้นั้นไม่น่าจะเรียกตนเองว่า "คริสตชน" อีกต่อไป
ระยะปีกว่านี้ผมไม่ค่อยได้อยู่เมืองไทย แต่ได้พยายามติดตามข่าวคราวบ้านเมืองไทยที่รักของเราอยู่เรื่อยมา ทุกครั้งที่มีโอกาสผ่านมากรุงเทพฯ ก็ได้พยายามสืบถามความเป็นไป และความเคลื่อนไหวอยู่เสมอ รู้สึกดีและภูมิใจที่ได้เห็นว่า พวกเรามีความสำนึกในหน้าที่ต่อสังคมรอบข้าง และต่อบ้านเมืองของเรายิ่งขึ้น พวกเราเป็นคนไทยสมบูรณ์ยิ่งขึ้นว่างั้นเถอะ แต่ระยะหลังๆ นี้ เป็นต้นหลังจากสภาพการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านของเราเปลี่ยนแปลงไป ทุกครั้งที่ผมผ่านมาเมืองไทยได้สังเกตเห็นเหตุการณ์อย่างหนึ่งซึ่งทำให้ใจพลอยเป็นห่วงกังวลไปด้วย ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง เหตุการณ์นั้นก็คือ การยุแหย่และยุยงให้เกิดแตกสามัคคีกัน เกิดความหวาดระแวงไม่ไว้ใจกันขึ้นในระหว่างคนไทยด้วยกัน มีการประณามคนไทยด้วยกันที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับตนว่า เป็นศัตรูของชาติบ้านเมืองที่ต้องคอยดูแลสอดส่อง เพื่อปราบปรามแบบจองล้างจองผลาญกัน บุญหนักหนาที่เรายังมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่คอยทรงเตือนสติพวกเราในเรื่องนี้ ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า "เราต้องช่วยกัน สร้างพลังสามัคคี เวลานี้มีแต่คนพูด คนบ่นกันมากเหลือเกิน จงช่วยกันคิดไตร่ตรองด้วยความรอบคอบ แล้วมองดูรอบๆ ตัวเรา รอบบ้านเรา ดูซิว่า เขากำลังเป็นอย่างไรกัน แล้วเลิกพูดมาก พูดไม่รู้เรื่องกันสักที ช่วยกันคนละไม้คนละมือ อย่างเอาจริงเอาจังโดยไม่หยุดยั้งลงมือทำกันเสียที" พระราชดำรัสตอนนี้ ทำให้ผมหวนมาคิดว่า แล้วพวกเราคริสตชนในฐานะที่เป็นคนไทย เราจะช่วยกันสร้างพลังสามัคคี ช่วยกันคนละไม้คนละมือได้อย่างไร ในยามที่บ้านเมืองกำลังต้องการความร่วมมืออย่างจริงจัง จากคนไทยทุกคนและทุกฝ่ายเช่นนี้ ช่วยกันประกาศข่าวดี เป็นแนวสร้างสรรค์สู่สังคมใหม่ คริสตชนทุกคนทราบดีว่า พระศาสนจักรมีหน้าที่ต้องประกาศข่าวดีให้กับมนุษย์ทุกคน (ลก 4:43 และ มก 16:15) พระศาสนจักร หมายถึง ประชากรของพระเจ้า หมายถึง คริสตชนทุกคน ไม่ว่าหญิงชาย ฆราวาส นักบวช หรือพระสงฆ์ พระสังฆราช ประกาศข่าวดีตามหน้าที่และฐานะของตน มิใช่เพียงด้วยวาจา แต่ด้วยการดำเนินชีวิตและทำกิจกรรมอันเนื่องมาจากความเชื่อมั่นในศาสนา ข่าวดีนำมาซึ่งการหลุดพ้น ความรอดและความสุขสันต์มาสู่มนุษย์ทุกคน และทุกสังคม ทั้งในส่วนตัวและส่วนรวม ประกาศข่าวดีให้กับมนุษย์ทุกคนไม่ว่าชาติใด ภาษาใด หรือลัทธิใด ไม่ว่าเป็นเพื่อนหรือศัตรู ทั้งนี้ เพื่อช่วยกันเสริมสร้างสังคมที่สมบูรณ์ขึ้น เป็นการนำไปสู่ "สังคมใหม่" ที่คริสตชนเรียกว่า "อาณาจักรพระเจ้า" หมายถึง สังคมที่ทุกคนเป็นพี่น้องกัน เคารพในเกียรติและในศักดิ์ศรีของกันและกัน ทุกคนสนใจกัน เห็นใจกัน รับใช้กัน เสียสละแบ่งปันกันด้วยใจกว้างตามที่ทุกคนต้องการ ไม่มีใครขัดสน ไม่มีใครมีมากเกินไป ไม่มีใครเป็นศัตรูกันอีกต่อไป (กจ 2:44) สังคมใหม่เช่นนี้ เป็นความเพ้อฝันหรือ? ในสมณสาสน์ Octogesima Adveniens ข้อ 37 ของพระสันตะปาปา ปอล ที่ 6 เราทำอะไรบ้าง พระองค์ได้ทรงเตือนเราไว้แล้วว่า ทุกวันนี้ มีหลายคนชอบคิดสร้างสังคมในอุดมคติ เป็นสังคมแห่งความเพ้อฝัน เป็นการเลี่ยง ไม่ยอมรับผิดชอบต่อสภาพแท้จริงแห่งสังคมปัจจุบัน สังคมเพ้อฝันในอุดมคติเช่นนี้อันตรายมาก เพราะมันตัดเราจากความเป็นจริงแห่งโลกปัจจุบัน และพระองค์ยังทรงเสริมต่อไปว่า ความเชื่อแบบคริสตชน มีคุณลักษณะอันทรงพลังอย่างหนึ่ง ซึ่งจะเอาชนะความนึกคิดแบบเห็นแก่ตัวของมนุษย์ได้ดังนี้ อาศัยอำนาจของพระจิต คริสตชนก็จะลงมือช่วยกันสร้างสังคมใหม่ขึ้นในโลกปัจจุบันนี้ด้วยความหวังว่า สักวันหนึ่งเราจะได้สังคมที่เหมาะกับมนุษย์ ประกอบด้วยสันติสุข ความยุติธรรม และภราดรภาพ ซึ่งเป็นทางนำไปสู่สังคมใหม่ที่สมบูรณ์เพียบพร้อมในบั้นปลาย จะได้นำสังคมใหม่นี้ถวายแด่พระเจ้า (พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 39) ท่านอาจถามว่า แล้วเราจะลงมือทำอะไร ?
พระสันตะปาปาปอลที่ 6 ได้ทรงให้คำตอบดังกล่าวแล้วว่า เราต้องดำเนินชีวิตตามความเชื่อมั่นในพระศาสนา เอาชนะความเห็นแก่ตัวให้ได้
คำภาวนาอธิษฐานก็ดี ต้องออกมาจากดวงใจที่รักพระเจ้า และรักเพื่อนมนุษย์โดยไม่เห็นแก่ตัว มิใช่ภาวนาสาปแช่งผู้ที่คิดไม่ตรงกับเรา หรือผู้ที่เป็นศัตรูของเรา
การรับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ก็ดี ต้องเป็นการเพิ่มชีวิตพระเจ้า อันเป็นชีวิตแห่งความรัก เสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว เช่น พระคริสตเจ้า มิใช่เป็นการประกอบพิธีเพื่อขอพระเจ้าให้อำนวยพรฝ่ายตน พวกของตน หรือขอพระเจ้าปราบปรามฝ่ายตรงข้ามที่คิดและปฏิบัติไม่เหมือนฝ่ายตน กิจกรรมต่างๆ ที่ต้องกระทำต่อเพื่อนมนุษย์ ก็ต้องออกมาจากดวงใจที่เปี่ยมด้วยความรักเช่นพระเจ้า อันเป็นความรักที่พุ่งเข้าหาเพื่อนมนุษย์ทุกคน มิใช่มุ่งเข้าหาตนเอง พวกของตน ฝ่ายของตน ที่มีความคิดเห็นเหมือนตนเท่านั้น
พระคริสตเจ้าตรัสบัญชาให้คริสตชนทุกคนเป็นแสงสว่างส่องโลก และเป็นเกลือดองแผ่นดิน (มธ 5: 13-14) เป็นแสงสว่าง ที่รักษาความรุ่งโรจน์ และความร้อนไว้ในตนเสมอ เป็นเกลือที่รักษาความเค็มไว้มิได้ขาด และกล้าที่จะสาดส่องเข้าไปในความมืด กล้าคลุกเคล้าอยู่กับทุกสิ่ง ทุกคน ทุกสังคม แม้ที่ตนเห็นว่าน่ารังเกียจ
คำสอนใหม่ที่พระคริสตเจ้าประทานให้แก่เรา คือ ให้เรารักกันและกัน เหมือนที่พระองค์ทรงรักเรา (ยน 13:34) รักมนุษย์ทุกคน ทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกลัทธิ รักมนุษย์ทุกชั้น ทุกสังคม เป็นต้น รักคนยากจน คนตกทุกข์ลำบาก และคนที่ถูกกดขี่เบียดเบียน รักแม้กระทั่งศัตรูหมู่อมิตร รักจนกระทั่งยอมพลีชีวิตเป็นบูชาเพื่อมนุษย์ทุกคน และพระองค์ยังได้ทรงสอนให้เราโต้ตอบความอธรรม ด้วยความดี (มธ 5: 40)
พระองค์ทรงสอนมิให้เบียดเบียนกัน แต่ให้รู้จักอโหสิ ยกโทษให้แก่กันและกัน ยิ่งกว่านั้น ในบทอธิษฐานที่พระองค์ทรงสอนแก่เรานั้นได้วางเงื่อนไขให้พระบิดาเจ้าทรงยกโทษแก่เราเหมือนเรายกโทษให้คนอื่น (มธ 6:12) แล้วพระองค์ทรงปฏิบัติให้เราเห็นเป็นตัวอย่าง จนกระทั่งวาระสุดท้ายที่ทรงถูกตรึงแขวนอยู่บนไม้กางเขน
นี่แหละคำสอนแท้ของพระเยซูเจ้า เราจงช่วยกันประกาศข่าวดีนี้ ทั้งด้วยชีวิต วาจาและกิจการ ให้กับคนไทยทุกคน ไม่ว่าเขาจะอยู่ฝ่ายใดหรือลัทธิใด ทั้งนี้เพื่อช่วยกันสร้างสังคมไทยขึ้นใหม่ เป็นสังคมที่ทุกคนเป็นพี่น้องกัน รู้จักเคารพศักดิ์ศรีของกันและกัน รู้จักฟังความคิดเห็นของกันและกัน เพื่อแสวงหาความจริง ด้วยใจสงบหนักแน่น ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป ไม่ปั้นข่าวลือ สาดโคลนใส่กัน หรือหูเบาเชื่อข่าวลือง่ายๆ รู้จักเมตตา เสียสละแบ่งปันให้แก่กันปฏิบัติตามความยุติธรรม และความรัก รู้จักรับใช้ เห็นใจ และให้อภัยกัน
อย่าเชื่อคำปลุกระดมของฝ่ายที่คอยยุแหย่และยุยงให้เกิดความแตกแยก อย่าเชื่อคำของผู้ที่กำลังนำเอาพระศาสนจักรไปผูกมัดตัวอยู่กับลัทธิใด หรือระบอบการเมืองใดการเมืองหนึ่งจนศาสนากลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อันเป็นการทรยศต่อคริสตชนด้วยกัน (พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 76) คำปลุกระดมใดๆ ก็ดี ที่ทำไปด้วยความอาฆาต ความเกลียดชัง ประณามฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นศัตรูที่ต้องคอยจับผิดให้ได้ เพื่อปราบให้ราบนั้น ไม่ใช่เจตนารมณ์ของพระคริสต์ ไม่สมกับคริสตชนเหตุว่า คริสตชนใดก่อให้เกิดความแตกแยกกันในสังคม ไม่ว่าด้วยลัทธิทางศาสนา หรือลัทธิทางการเมือง เขาผู้นั้นย่อมไม่สมชื่อกับคริสตชน ซ้ำร้าย หากคริสตชนคนใดเอาพระศาสนจักรไปผูกมัดตัวอยู่กับฝ่ายการเมือง หรือลัทธิการเมืองใดการเมืองหนึ่ง นำเอาพระศาสนาไปเป็นเครื่องมือให้ฝ่ายนั้นแล้ว ผู้นั้นย่อมไม่น่าเรียกตนเองว่า "คริสตชน" อีกต่อไป
---------------------------- ที่มา : สารสังคมพัฒนา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม 1976 หน้า 3-6
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|