บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
สัญญาณแห่งกาลเวลา : พระสังฆราชบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์ |
Wednesday, 19 January 2011 | ||||
สัญญาณแห่งกาลเวลา : แผนการของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อชีวิตที่ครบครันของมนุษย์
พระสังฆราชบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์
ตลอดระยะเวลาของลัทธิบริโภคนิยมที่แผ่ขยายไปทั่วโลกนี้
ผู้คนได้รู้จักกับความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
การรณรงค์ต่างๆ ที่มุ่งรักษาความสะอาดของสิ่งแวดล้อม
หรือเพื่อทำความสะอาดสิ่งแวดล้อม และเพื่อประหยัดพลังงาน
ได้ถูกจัดทำขึ้นเพราะมีจิตสำนึกมากขึ้นว่า
ทรัพยากรธรรมชาตินั้นมีขีดจำกัดในขณะที่ความต้องการของมนุษย์กลับไร้ขีดจำกัด
ขอขอบพระคุณพระเป็นเจ้าที่จิตสำนึกเกิดขึ้นแก่เรา พระจิตเจ้ายังคงทำงานในโลกและในท่ามกลางมนุษยชาติของเรา ทั้งๆ ที่เต็มไปด้วยบาป พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้เรา "เป็นนายของฝูงปลาในทะเลและฝูงนกทั้งหมดในอากาศกับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน" (ปฐก 1:28) ถูกต้อง...เราเป็นนาย หาใช่ผู้ฉกฉวยเอาแต่ผลประโยชน์จากพระพรที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้ "พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด...เราให้พืชที่มีเมล็ดทั้งหมดซึ่งมีอยู่ทั่วพื้นแผ่นดิน และต้นไม้ทุกชนิดที่มีเมล็ดในผลของมันแก่เจ้า เป็นอาหารของเจ้า" (ปฐก 1:29) ถูกต้องแล้ว...พระองค์มอบผลไม้ของโลกนี้เพื่อเป็นอาหารยังชีพของเรา หาใช่เพื่อทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์
และตลอดระยะเวลาของยุคใหม่ โครงการพัฒนาส่วนมากในประเทศที่กำลังพัฒนาของเราล้วนมุ่งสู่ระบบสังคมเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรม โดยแลกกับความเสียหายของภาคเกษตรกรรมดังนั้น เกษตรกรจึงยากจนยิ่งขึ้นเนื่องจากราคาผลผลิตของพวกเขาตกต่ำ พวกเขาขาดเงินทุนและเริ่มมีหนี้สินครั้งใหญ่ หลายคนเสียที่ดินทำกิน และจึงกลายเป็นผู้ที่ตกขอบสังคม สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่แผนการของพระผู้เป็นเจ้า ที่ทรงวางไว้เพื่อลูกของพระองค์อย่างแน่นอน
คำว่า เกษตรกรรม มาจากภาษาละตินว่า "Agri/Agra" ซึ่งมีความหมายว่า "ท้องทุ่ง" และคำว่า "Cultura" ซึ่งหมายถึง "การเพาะปลูก" "การปลูกและการขุด" ดังนั้น เมื่อให้ความหมายตามตัวอักษร คำว่า "Agriculture" (เกษตรกรรม) จึงหมายถึงการเพาะปลูกบนท้องทุ่ง การขุดดิน และการปลูกต้นไม้ในท้องทุ่ง คำว่า "เกษตรกรรม" ในความหมายนี้ ทำให้เราเข้าใจแผนการของพระผู้สร้างที่กำหนดให้มนุษย์ร่วมมือกับพระองค์ในการสร้างและอนุรักษ์ชีวิต และโดยผ่านทางเกษตรกรรมนี้เอง ที่เราถูกเรียกให้เป็นผู้สร้างร่วมกับพระองค์ และเผยแสดงความรักของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์และสิ่งสร้าง เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าต้องการสื่อสารเรื่องความลึกลับของพระอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งความรัก พระองค์ได้สื่อสารด้วยนิทานเปรียบเทียบซึ่งจับใจผู้ฟังยิ่งนัก เพราะเป็นนิทานที่เป็นความจริงในชีวิต และบ่อยครั้งพระองค์ก็ได้แนวคิดจากประสบการณ์ด้านเกษตรกรรมของพระองค์เอง นั่นคือ นิทานเปรียบเทียบเรื่องผู้หว่าน "กาลครั้งหนึ่งมีชายผู้หนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพันธุ์ของตน...บางเมล็ดตกลงตามหนทาง...บางเมล็ดตกลงบนหิน...บางเมล็ดตกกลางต้นหนาม...บางเมล็ดตกบนดินดี" (ลก 8:5-8) นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้กล่าวถึงดินสี่ชนิดที่แตกต่างกันและให้ผลต่างกัน
ควรสังเกตว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงให้เมล็ดพันธุ์เป็นสัญลักษณ์ เป็นสื่อ ที่จะส่งสารแห่งความรักของพระเป็นเจ้าในอันที่จะให้ชีวิตแก่ประชากรของพระองค์ (ลก 8:11) ที่ถูกหว่านลงบนพื้นดิน ซึ่งพื้นดินหมายถึงจิตใจของมนุษย์ และเมล็ดพันธุ์นั้นถูกกำหนดให้ผลิตพืชผลที่ให้ชีวิตแก่โลก
พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นที่รู้จักว่าเป็นบุตรของช่างไม้คนหนึ่ง พระองค์ใช้ประสบการณ์ชีวิตเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของชนบทและเกษตรกรรม เพื่อประกาศข่าวดีแก่ประชากรของพระองค์ "และพระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตน จะเอาอะไรกิน และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม เพราะว่าชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม จงพิจารณาดูอีกา มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว และมิได้มียุ้งหรือฉาง แต่พระเจ้ายังทรงเลี้ยงมันไว้...จงพิจารณาดอกไม้ว่ามันงอกเจริญขึ้นอย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์โซโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้ และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ...ผู้ที่มีความเชื่อน้อย พระองค์จะทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหนา" (ลก 12:22-28) นี่คือบทเรียนที่ดีเกี่ยวกับความเรียบง่ายของการดำรงชีวิตและการไว้ใจในการให้ของพระผู้เป็นเจ้า พระเยซูคริสตเจ้าทรงเล่านิทานเปรียบเทียบอีกครั้งหนึ่งว่า "กาลครั้งหนึ่ง ไร่นาของเศรษฐีคนหนึ่งเกิดผลบริบูรณ์มาก เศรษฐีคนนั้นจึงคิดในใจว่า "เราจะทำอย่างไรดี" เขาจึงคิดว่า "เราจะทำอย่างนี้ คือจะรื้อยุ้งฉางของเราเสีย และจะสร้างใหม่ให้โตขึ้น แล้วเราจะรวบรวมข้าวและสมบัติทั้งหมดของเราไว้ที่นั่น แล้วเราจะว่าแก่จิตใจของเราว่า...ชายที่โชคดีเอ๋ย! เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากเก็บไว้พอหลายปี จงอยู่สบาย กิน ดื่ม และรื่นเริงเถิด!" และพระเจ้าตรัสกับเขาว่า "โอ...คนโง่เอ๋ย! ในคืนวันนี้ ชีวิตของเจ้าจะต้องถูกเรียกคืนไปจากเจ้า และของซึ่งเจ้าได้รวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใครเล่า?" แล้วพระเยซูคริสตเจ้าทรงสรุปว่า "คนที่สั่งสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัว แต่มิได้มั่งมีในสายตาของพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ" (ลก 12:16-21) ข้าวของและทรัพย์สมบัติไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องสะสมเพื่อตัวเราเองอย่างเห็นแก่ตัว แต่เป็นสิ่งที่เราจะต้องแบ่งปันกับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ถูกกีดกัน ชีวิตไม่ได้มั่นคงเพราะสิ่งที่เราเป็นเจ้าของ แต่มั่นคงด้วยมิตรภาพ - สัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อนบ้านและกับพระผู้เป็นเจ้า ยิ่งกว่านั้น ความต้องการที่จะมีวัตถุสิ่งของมากขึ้น และความต้องการที่จะสะสมสิ่งเหล่านั้น ย่อมก่อให้เกิดความต้องการที่จะมีความสนุกสบายมากขึ้น อำนาจมากขึ้น ทรัพย์สมบัติมากขึ้น และเงินมากขึ้น การล่อลวงชนิดนี้ทำลายชีวิต และถูกประณามในพระวรสาร
พระเยซูคริสตเจ้าทรงใช้คำอุปมาที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม เพื่อแสดงความคิดเกี่ยวกับพระอาณาจักรของพระเจ้า "แผ่นดินของพระเจ้าจะเปรียบเสมือนสิ่งใด หรือจะสำแดงด้วยคำอุปมาอย่างไร ก็อุปมาเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่งเวลาเพาะลงในดินนั้นก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วทั้งแผ่นดิน แต่เมื่อเพาะแล้วจึงงอกขึ้น จำเริญโตใหญ่กว่าผักทั้งปวง และแตกกิ่งก้านใหญ่พอให้นกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ในร่มนั้นได้" (มก 4:30-34) การเริ่มต้นของพระอาณาจักรนั้นเล็กและถ่อมตนจนไม่มีผู้ใดสังเกต หรือเชื่อว่าจะกลายเป็นต้นไม้ที่ใหญ่จนเป็นบ้านของนก และแบ่งปันร่มเงาของมันได้ นี่คือบทเรียนหนึ่งของความถ่อมตนและความใจบุญ และพระอาณาจักรนี้ต้องปลูกลงบนพื้นดิน กล่าวคือ ต้องเริ่มต้นบนแผ่นดินนี้
พระเยซูคริสตเจ้าทรงตรัสกับประชาชน เกี่ยวกับการมาถึงอย่างรุ่งโรจน์ของบุตรมนุษย์ ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการสิ้นสุดที่น่าสะพรึงกลัวของกรุงเยรูซาเล็ม รวมทั้งปัญหาการประหัตประหารและสัญญาณที่น่าพรั่นพรึงทั้งหลายของจักรวาล และพระองค์ทรงเตือนว่า "จงเรียนคำเปรียบเทียบเรื่องต้นมะเดื่อ เมื่อแตกกิ่งแตกใบท่านก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว เช่นนั้นแหละ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น ก็ให้รู้ว่าพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว" (มก13:28-29) พระองค์กำลังกล่าวถึงการประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้าที่รุ่งโรจน์ในยุคสุดท้าย และเตือนเราให้เตรียมพร้อมอยู่เสมอเพื่อเหตุการณ์สุดท้ายนั้น
พระเยซูคริสตเจ้ากล่าวถึงพระองค์เองว่าเป็นเหมือนเถาองุ่นแท้ที่ให้ชีวิตและผลองุ่น ซึ่งเป็นคำเชิญบรรดาสาวกให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เพื่อที่จะให้ผลองุ่น คำพรรณนาถึงการเก็บเกี่ยวผลองุ่นของพระองค์นั้นเหมือนจริงและประเสริฐนัก "เราเป็นเถาองุ่นแท้และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา แขนงทุกแขนงในเราที่ไม่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิดเพื่อให้ออกผลมากขึ้น...จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย ผู้ใดมิได้เข้าสนิทอยู่ในเรา ผู้นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเสมือนแขนง และก็เหี่ยวแห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผาไฟ ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดซึ่งท่านปรารถนา ก็จะได้สิ่งนั้น" (ยน 15:1-7)
นิทานเปรียบเทียบที่น่าจับใจซึ่งพระเยซูเจ้านำมาจากธรรมชาติของเกษตรกรรมนั้น เป็นคำสอนเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ที่ตายและให้ชีวิต นี่คือคำทำนายถึงความตายของพระองค์ที่จะมาถึง ซึ่งให้ชีวิตมหาศาลแก่คนจำนวนมาก พระองค์ตรัสว่า "เราขอบอกความจริงแก่ท่านว่าถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก" (ยน 12:24) ความจริงนี้ยังคงเป็นความจริง และพี่น้องชาวปกาเกอะญอของเรามีการไตร่ตรองในลักษณะเดียวกันนี้ พวกเขาถือว่า ข้าว ก่อนที่จะกลายเป็นข้าวในจานเพื่อเป็นอาหารของเรา ได้ตายถึงสามครั้ง ครั้งแรก เมื่อถูกหว่านลงบนพื้นดิน เปื่อยเน่า เพื่อให้ชีวิตใหม่และเติบโตผลิตข้าวอีกหลายเมล็ด การตายครั้งที่สอง เมื่อถูกเก็บเกี่ยวไป ครั้งที่สาม เมื่อถูกหุงเพื่อเป็นอาหารประจำวันของเรา นี่คือความมหัศจรรย์เชิงแย้งกันของธรรมชาติ ที่พระเยซูคริสตเจ้าใช้เป็นเครื่องแสดงถึงความตายของพระองค์ที่ให้ชีวิตแก่โลก
ที่สุดผลผลิตของเกษตรกรรมเป็นสิ่งที่มีความหมายและอำนาจสูงส่งที่สุด ในพิธีถวายเครื่องบูชา แท้จริง พระสงฆ์ในพิธีมิสซานำปังและเหล้าองุ่นมาถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าโดยกล่าวว่า ข้าแต่พระเป็นเจ้าแห่งสากลโลก ขอถวายพระพร พระองค์มีพระทัยเมตตาประทานปังซึ่งข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังถวายอยู่นี้ อันเป็นผลมาจากแผ่นดินและน้ำพักน้ำแรงของมนุษย์ และจะเปลี่ยนเป็นปังบันดาลให้ข้าพเจ้าทั้งหลายมีชีวิต...พระองค์มีพระทัยเมตตาประทานเหล้าองุ่น ซึ่งข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังถวายอยู่นี้ อันเป็นผลมาจากต้นองุ่นและน้ำพักน้ำแรงของมนุษย์ และจะเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มชุบเลี้ยงจิตใจของข้าพเจ้าทั้งหลาย" พระเยซูคริสตเจ้าทรงสอนให้เราทำดังนี้ เพื่อระลึกถึงพระองค์ ให้ชีวิตของพระองค์เพื่อให้โลกนี้มีชีวิต
-------------------------------
ที่มา : บทความบรรยายเนื่องในโอกาสสัมมนาเกษตรกรระดับภาคพื้นเอเชีย
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|