บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
ทำสังคมไทยให้เป็นมิตรกับความดี : พระไพศาล วิสาโล |
Wednesday, 19 May 2010 | ||||
ทำสังคมไทยให้เป็น มิตรกับความดี คนไทยในอดีตได้ชื่อว่ามีมาตรฐานทางศีลธรรมค่อนข้างสูง เป็นที่ประทับใจของชาวต่างชาติมาก ดังสังฆราชปาลเลกัวซ์ได้พูดถึงชาวสยามในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่า "ชาวประชาชาตินี้มีที่น่าสังเกตตรงอัธยาศัยอันอ่อนโยนและมีมนุษยธรรม ในพระนครซึ่งมีพลเมืองค่อนข้างคับคั่ง ไม่ค่อยปรากฏว่ามีการทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง ส่วนฆาตกรรมนั้นเห็นกันว่าเป็นกรณีพิเศษมากทีเดียว บางทีตลอดทั้งปีไม่มีการฆ่ากันตายเลย....ไม่เพียงแต่ต่อมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น ที่คนไทยมีมนุษยธรรม ยังเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์เดียรัจฉานอีกด้วย" ในสมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อคาร์ล ซิมเมอร์แมน มาสำรวจสภาพเศรษฐกิจไทย เขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมว่า "พลเมืองของประเทศสยามมีนิสัยใจคอดี และไม่มีความโลภในการสะสมโภคทรัพย์ไว้เป็นมาตรฐานแห่งการครองชีวิต การละทิ้งเด็ก การขายเด็ก การสมรสในวัยเยาว์ และความประพฤติชั่วร้ายต่างๆ ซึ่งอนารยชนชอบประพฤติกัน ไม่ปรากฏในหมู่คนไทยเลย" คำบรรยายดังกล่าวเกือบจะเรียกได้ว่าตรงข้ามกับสภาพในปัจจุบัน ทุกวันนี้ประเทศไทยมีอาชญากรรมในอัตราที่สูงมาก มีคนถูกฆ่าตายวันละเกือบ 20 คนหรือตายเกือบทุกชั่วโมง มีผู้หญิงถูกกระทำชำเราไม่ต่ำกว่า 14 คนต่อวัน ในขณะที่เด็กถูกละเมิดทางเพศทุก 2 ชั่วโมง ความรุนแรงยังระบาดไปยังครอบครัวและโรงเรียน ขณะที่ตามท้องถนนมีเด็กถูกทิ้งปีละกว่า 6,000 คน ไม่นับการทำแท้งปีละ 3 แสนราย ในด้านการลักขโมยก็เป็นที่รู้กันดีว่ากำลังแพร่ระบาดไปทั่ว เมื่อ 3 ปีที่แล้วบริษัทประกันภัยระดับโลกแห่งหนึ่ง(AVIVA)ได้ทำการสำรวจความเห็นของ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษจำนวน 60,000 คนเกี่ยวกับอันตรายในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ปรากฏว่าเมืองไทยติดอันดับหนึ่งในเรื่องการลักขโมย และติดอันดับสองในด้านการชิงทรัพย์โดยใช้ความรุนแรง ในด้านการคดโกงหรือคอร์รัปชั่น ประเทศไทยก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก เพราะแพร่หลายไปทุกวงการและทุกระดับ เมื่อต้นปีนี้บริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ (เพิร์ค) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นของนักธุรกิจต่างชาติ พบว่าประเทศไทยมีคอร์รัปชั่นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย รองจากฟิลิปปินส์ ทั้งหมดนี้ชี้ว่าศีลธรรมของคนไทยตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย สาเหตุมิใช่เป็นเพราะเราสอนศีลธรรมกันน้อยลง หรือเป็นเพราะคนไทยเหินห่างจากวัด ไม่ฟังเทศน์วันพระ หรือรู้จักวันวาเลนไทน์มากกว่าวันมาฆบูชา (คนญี่ปุ่นเข้าวัดน้อยกว่าคนไทยมากแถมไม่รู้จักศีล 5 แต่มีการละเมิดศีล 5 น้อยกว่าคนไทยมาก) การเรียกร้องให้เพิ่มชั่วโมงศีลธรรมในโรงเรียนให้มากขึ้น รวมทั้งเรียกร้องให้พ่อแม่พาลูกหลานเข้าวัดมากขึ้น และนิมนต์พระมาเทศน์ตามหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งในสภาให้มากขึ้น ล้วนมีพื้นฐานมาจากการมองปัญหาจริยธรรมในระดับบุคคลทั้งสิ้น คือมองว่าจริยธรรมเสื่อมเพราะผู้คนไม่รักดีหรือเพราะไม่รู้ผิดรู้ชอบ แต่สิ่งขาดหายไปก็คือการมองปัญหาจริยธรรมในระดับสังคม คือตระหนักว่าปัจจัยทางสังคมเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้จริยธรรมของ ผู้คนเสื่อมโทรมลง การมองข้ามปัจจัยดังกล่าวทำให้การแก้ปัญหาจริยธรรมมักหนีไม่พ้นการ "สอน" หรือ "เทศน์" หรือ "รณรงค์" คนไทยมีศีลธรรมตกต่ำไม่ใช่เพียงเพราะว่าไม่รู้จับบาปบุญคุณโทษ หรือไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะสังคมไทยทุกวันนี้เป็นปฏิปักษ์กับความดี กล่าวคือไม่ส่งเสริมคนดี (แต่นิยมคนมีเงินหรือมีชื่อเสียงมากกว่า) กระตุ้นและบีบคั้นให้ผู้คนเห็นแก่ตัว เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุให้หลงใหลในอบายมุข หวังลาภลอยคอยโชคและนิยมทางลัด(ซึ่งรวมถึงการคอร์รัปชั่น) และที่สำคัญคือบั่นทอนสถาบันทางศีลธรรมจนอ่อนแรง ทำให้ไม่สามารถเสริมสร้างศีลธรรมให้แก่ผู้คนได้ดังแต่ก่อน ปัจจัยทางสังคมที่เป็นสาเหตุแห่งความเสื่อมทางจริยธรรมในปัจจุบัน ได้แก่
1. การครอบงำของวัตถุนิยมและอำนาจนิยม สังคมไทยยังเป็นสังคมที่นิยมใช้อำนาจในการแก้ปัญหา รัฐบาลและระบบราชการเป็นแบบอย่างของการใช้อำนาจมากกว่าคุณธรรมหรือความรู้ ทำให้เกิดวัฒนธรรมแบบอำนาจนิยมในทุกระดับและทุกสถาบัน รวมทั้งครอบครัว โรงเรียนและวัด ยิ่งใช้อำนาจมากเท่าไร จริยธรรมก็ถูกละเลยมากเท่านั้น จนเกิดค่านิยมแสวงหาอำนาจโดยไม่สนใจว่าถูกต้องชอบธรรมหรือไม่
2. ความล้มเหลวของสถาบันทางศีลธรรม การทำมาหากินตามวิถีเศรษฐกิจอย่างใหม่โดยเฉพาะในเมือง ทำให้พ่อแม่ห่างเหินจากลูก ผลก็คือครอบครัวลดบทบาทในการให้การศึกษาแก่เด็ก ปล่อยให้โรงเรียนและสื่อมวลชนเข้ามามีบทบาทแทน ความอ่อนแอของสถาบันครอบครัวเห็นได้จากสถิติการหย่าร้าง ปัจจุบันในประเทศไทย 1 ใน 4 ของพ่อแม่แยกทางกัน ทำให้เด็กถูกทอดทิ้งหรือขาดความอบอุ่นมากขึ้น ส่วนชุมชนก็ลดบทบาทที่แต่เดิมเคยเป็นตัวควบคุมและเสริมสร้างจริยธรรมของ ผู้คน เนื่องจากเศรษฐกิจและวิถีชีวิตแบบใหม่ทำให้ผู้คนอยู่กันแบบตัวใครตัวมันมาก ขึ้น ประกอบกับผู้คนหันไปพึ่งหน่วยงานของรัฐมากขึ้น เช่น โรงเรียน โรงพยาบาลทำให้ความจำเป็นที่จะต้องพึ่งชุมชนดังแต่ก่อนลดน้อยลง ในทำนองเดียวกัน ความเหินห่างระหว่างฆราวาสกับพระ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้วัดมีบทบาทน้อยลง แต่ก็ยังไม่ทำให้วัดอ่อนแอมากเท่ากับอิทธิพลของเงิน ซึ่งทำให้พระสงฆ์ย่อหย่อนในวัตรปฏิบัติและไม่สามารถเป็นแบบอย่างในทาง ศีลธรรมได้ ในขณะที่วัดกลายเป็นแห่งไสยพาณิชย์และตลาดค้าบุญไป
3. การเมืองที่ไม่โปร่งใส
4. ระเบียบสังคมที่ให้รางวัล ส่งเสริม หรือบีบคั้นให้คนเห็นแก่ตัว
ทำสังคมไทยให้เป็นมิตรกับความดี
1. เสริมสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัว
2. ฟื้นฟูชุมชนให้เข้มแข็ง แน่นอนว่าชุมชนเหล่านี้มาร่วมมือกันได้ มิใช่เพราะมีพระหรือข้าราชการมาเทศน์มาสอนให้สามัคคีกัน แต่เกิดจากการมีส่วนร่วมในกระบวนการกลุ่ม ซึ่งมีหลายลักษณะ เช่น การทำโครงการสัจจะสะสมทรัพย์ การทำแผนแม่บทชุมชน การอนุรักษ์ป่าชุมชน การได้ทำงานร่วมกันและเห็นผลสำเร็จที่มิอาจทำได้ด้วยตัวคนเดียว ทำให้ชาวบ้านเห็นคุณค่าของการร่วมมือกัน และเกิดความไว้วางใจกันมากขึ้น กระบวนการกลุ่มบางครั้งก็มาในลักษณะของการจัดเวทีชุมชน โดยมีแกนนำชาวบ้านเป็นผู้ดำเนินการ ทำให้มีการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความเห็นร่วมกัน
3. ฟื้นฟูบทบาทของวัดและคณะสงฆ์ การจะส่งเสริมให้คณะสงฆ์เปี่ยมด้วยพลังทางปัญญา ศีลธรรม และศาสนธรรม นั้นจะต้องมีการปฏิรูปการปกครองและการศึกษาของคณะสงฆ์อย่างจริงจัง อย่างน้อยก็ควรมีการกระจายอำนาจเพื่อให้การปกครองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้อำนาจน้อยลง แต่ใช้ปัญญาและคุณธรรมมากขึ้น เพื่อส่งเสริมพระดีอย่างจริงจัง มีการศึกษาทางธรรมและทางโลกอย่างสมสมัย ชนิดที่ช่วยให้พระสงฆ์รู้จักคิด มิใช่ถนัดท่องจำ สามารถสื่อและประยุกต์ธรรมได้อย่างมีพลัง ทั้งโดยการประพฤติเป็นแบบอย่าง การสอน และการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ไม่ว่าโดยผ่านการฟัง การคิด หรือการปฏิบัติ นอกจากนั้นควรมีการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชนให้แน่นแฟ้นขึ้น เพื่อพลังทางศีลธรรมของวัดจะสามารถถ่ายทอดไปยังชุมชน และส่งอิทธิพลต่อผู้คนได้มากขึ้น ความสัมพันธ์ดังกล่าวสามารถฟื้นฟูขึ้นได้ด้วยการส่งเสริมให้ชุมชนเข้ามามี ส่วนร่วมในกิจการของวัดมากขึ้น ตามคติแต่โบราณที่ถือว่าวัดเป็นของชุมชน เช่น มีส่วนร่วมในการส่งเสริมการศึกษาและสนับสนุนวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์สามเณร รวมทั้งร่วมในการปฏิบัติธรรมที่วัดจัดขึ้น ในอีกด้านหนึ่งพระสงฆ์ก็เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจการของชุมชนมากขึ้น เช่น ร่วมแก้ปัญหาอบายมุข ปัญหาวัยรุ่น การอนุรักษ์สภาพแวดล้อม ส่งเสริมการออมทรัพย์เพื่อแก้ปัญหาหนี้สิน
4. ปฏิรูปการศึกษา ปัญหาของโรงเรียนจึงไม่ได้อยู่เพียงแค่สอนวิชาศีลธรรมหรือพุทธศาสนาน้อย เกินไป แต่อยู่ที่กระบวนการสอนและการส่งเสริมการเรียนรู้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง บรรยากาศภายในโรงเรียนนั้นกล่าวได้ว่าไม่ส่งเสริมให้เกิดการใฝ่รู้เลย ดังเห็นได้ว่านักเรียนร้อยละ 57 เคยยอมรับว่าตนหนีเรียน นอกจากนั้นยังพบว่าคนไทยใช้เวลาอ่านหนังสือน้อยมาก คือเฉลี่ยวันละ 3 นาที(นับรวมผู้ที่ไม่อ่านหนังสือด้วย) ปัญหาสำคัญจึงอยู่ที่การส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศและกระบวนการเรียนรู้ที่ ถูกต้อง ซึ่งหากทำได้ดี ก็จะส่งเสริมสติปัญญาและศีลธรรมไปได้ควบคู่กัน เพราะสำนึกและพฤติกรรมทางศีลธรรมนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการเรียนวิชาศีลธรรม เท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเกิดจากการมีวิธีคิดที่ถูกต้อง มีเหตุผล และมีแบบอย่างที่ดี ปัจจัยเหล่านี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความสำคัญต่อการเรียนรู้ในทางวิชาการด้วย เช่นกัน แต่วิธีคิดที่ถูกต้องและมีเหตุผลนั้นจะเกิดขึ้นได้ครูต้องส่งเสริมให้เกิด กระบวนการเรียนรู้และความใฝ่รู้ โดยครูเป็นแบบอย่างไปด้วยในเวลาเดียวกัน ด้วยเหตุนี้การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ในโรงเรียนจึงมีความสำคัญมาก ทั้งนี้จะต้องทำควบคู่กับการปฏิรูปการผลิตครูเพื่อให้สามารถจัดกระบวนการ เรียนรู้ที่เหมาะกับนักเรียน นั่นหมายความว่าครูต้องรู้จักคิด ใจกว้าง ใช้อำนาจกับเด็กน้อยลง และพร้อมจะเรียนรู้ไปกับนักเรียน ที่สำคัญคือมีเวลาให้แก่เด็กมากขึ้น การปฏิรูปดังกล่าวจะทำให้การสร้างเสริมศีลธรรมและสติปัญญาของเด็กเป็นไป อย่างสอดคล้องกัน โดยไม่เกิดปัญหาว่าการเพิ่มวิชาศีลธรรมจะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้วิชาอื่นๆ ของเด็กแต่อย่างใด นอกจากนั้นควรส่งเสริมให้โรงเรียนที่มีกระบวนการเรียนรู้ในลักษณะข้างต้น มาเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และกระบวนการ และเพื่อส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูปกระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียนต่างๆ อย่างกว้างขวาง โดยโรงเรียนที่ให้ความสำคัญกับศีลธรรมของนักเรียน อาทิ โรงเรียนวิถีพุทธ ควรเข้าไปมีส่วนร่วมในเครือข่ายดังกล่าวด้วย
5. เสริมสร้างองค์กรประชาสังคม องค์กรประชาสังคม มีหลายลักษณะ อาจเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีสมาชิกไม่ถึงสิบคน ไปจนถึงองค์กรประเภทเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกนับพันนับหมื่น อาจเป็นองค์กรที่ผู้คนมาร่วมกิจกรรมกันเป็นครั้งคราว หรือทำงานอย่างเป็นกิจจะลักษณะจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นองค์กรประเภทนี้ยังสามารถพัฒนาจนเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงครอบ ครัว ชุมชน วัด โรงเรียน รวมทั้งสื่อมวลชน ให้กลายเป็นขบวนการหรือชุมชนทางศีลธรรมขนาดใหญ่ที่สามารถมีอิทธิพลต่อสังคม บริโภคนิยมและอำนาจนิยมได้
6. ปฏิรูปสื่อเพื่อมวลชน ในอีกด้านหนึ่งควรมีการพัฒนาสื่อที่ส่งเสริมศีลธรรม ที่สามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ เช่น การจัดตั้งสถานีโทรทัศน์หรือช่องรายการสำหรับครอบครัว ที่ทุกครอบครัวสามารถเข้าถึงได้ง่าย (ปัจจุบันมีรายการสาระสำหรับนักเรียน หรือ E-TV ซึ่งเผยแพร่เฉพาะโรงเรียนทั่วประเทศเท่านั้น) ทั้งนี้โดยอาจอาศัยงบประมาณจากสัดส่วนรายได้หรือค่าสัมปทานที่ได้จากสถานี โทรทัศน์กระแสหลักทั้งหลาย) มาตรการดังกล่าวจะได้ผลต้องมีการพัฒนาศักยภาพของผู้ผลิตสื่อ โดยมีการตั้งศูนย์อบรมผู้เกี่ยวข้องกับการผลิตสื่อในทุกกระบวนการ และเปิดโอกาสให้คนจากชุมชนได้เข้ามามีส่วนเรียนรู้ เพื่อนำไปผลิตสื่อให้กับท้องถิ่นของตน นั่นหมายความว่าจะต้องมีการส่งเสริมวิทยุหรือโทรทัศน์ชุมชนอย่างจริงจัง ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยอาจอาศัยงบประมาณจากองค์กรท้องถิ่น ที่มองข้ามไม่ได้อีกประการหนึ่ง คือการทำให้สถานีวิทยุโทรทัศน์กระแสหลักในปัจจุบันมีเนื้อหาที่ส่งเสริม ศีลธรรมและสติปัญญามากขึ้น มิใช่มุ่งแต่ความบันเทิงและส่งเสริมบริโภคนิยมเป็นหลัก ดังนั้นจึงควรผลักดันให้ คณะกรรมการกิจการสื่อสารมวลชนแห่งชาติ (กสช.) มีมาตรการส่งเสริมเนื้อหาดังกล่าวอย่างจริงจัง เช่น มีการกำหนดสัดส่วนเนื้อหาดังกล่าวอย่างชัดเจน ทั้งนี้โดยถือว่าคลื่นวิทยุโทรทัศน์เป็นสมบัติของชาติ จึงจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
7. ลดอิทธิพลของบริโภคนิยมและอำนาจนิยม เราจำเป็นต้องทัดทานการขยายตัวของทุนนิยมและอำนาจเงิน ด้วยการคัดค้านนโยบายเปิดเสรีทางเศรษฐกิจอย่างไร้ขีดจำกัด โดยเฉพาะการเปิดเสรีทางการค้า การลงทุน และการเงินที่คำนึงแต่ผลประโยชน์ที่เป็นเม็ดเงิน แต่ส่งผลเสียต่อชีวิตความเป็นอยู่และศีลธรรมของผู้คนทั่วทั้งสังคม ควรมีการควบคุมป้องกันมิให้อำนาจเงินเข้าไปมีอิทธิพลในการเมืองมากเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้นักการเมืองกระทำการทุจริตหรือ "ถูกซื้อ"ด้วยเงินได้ง่ายแล้ว ยังจะทำให้ฝ่ายการเมืองเป็นเครื่องมือของระบบทุนนิยม เช่น ผลักดันกฎหมายและนโยบายที่กระตุ้นบริโภคนิยมและบั่นทอนสังคมและศีลธรรมของ ผู้คนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูปการเมืองอย่างต่อเนื่อง เช่น ทำให้ระบบการเมืองมีความโปร่งใสมากขึ้น ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ง่าย รวมทั้งปรับปรุงกระบวนการถอดถอนนักการเมืองที่(มีพฤติกรรมอันควรเชื่อได้ว่า)คอร์รัปชั่น ให้สะดวกและมีประสิทธิภาพกว่าที่เป็นอยู่ อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่าปัญหาพื้นฐานคืออิทธิพลของทุนนิยมที่แพร่ซึม เข้าไปในระบบและสถาบันต่าง ๆ ของสังคม จนทำให้ความโลภหรือความเห็นแก่ตัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบและสถาบันทางการ ศึกษา สื่อมวลชน เศรษฐกิจ ทำให้เกิดโลกทัศน์ ค่านิยม วิถีชีวิต และความสัมพันธ์ที่ถือเอาเงินหรือวัตถุเป็นเป้าหมายชีวิต ใฝ่เสพใฝ่บริโภค และมุ่งแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวให้มากที่สุด การจะลดทอนอิทธิพลของทุนนิยมและบริโภคนิยม จึงนอกจากจะต้องคัดค้านทัดทานนโยบายทางการศึกษา สื่อมวลชน เศรษฐกิจ การพัฒนาที่ส่งเสริมวัตถุนิยมและบริโภคนิยมแล้ว ยังจำเป็นต้องสร้างทางเลือกในเชิงระบบหรือสถาบันขึ้นมาด้วย ที่ส่งเสริมโลกทัศน์ ค่านิยม วิถีชีวิต และความสัมพันธ์ในทางเอื้อเฟื้อเกื้อกูล เห็นคุณค่าของชีวิต และตระหนักถึงความสุขที่ไม่อิงวัตถุ ใฝ่ทำใฝ่สร้างสรรค์ ทั้งเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน โดยนอกจากจะทำขึ้นมาเป็นตัวอย่างแล้ว ยังมีการผลักดันให้เกิดนโยบายหรือกลไก (เช่น กฎหมาย องค์กรอิสระ สถาบัน) ที่ส่งเสริมระบบหรือสถาบันทางเลือกดังกล่าวให้เข้มแข็งและแพร่หลายได้ เช่น นโยบายและกลไกที่ส่งเสริมการศึกษาทางเลือกแบบต่างๆ อาทิ โฮมสคูล เครือข่ายการศึกษานอกระบบ จิตปัญญาศึกษา หรือนโยบายและกลไกที่ส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง เงินตราชุมชน หรือนโยบายและกลไกที่ส่งเสริมสื่อมวลชนสำหรับครอบครัวและองค์กรประชาสังคม เป็นต้น สำหรับอำนาจนิยมนั้น ควรลดทอนมิให้ขยายตัวด้วยการส่งเสริมให้รัฐกระจายอำนาจออกจากส่วนกลางให้มาก ขึ้น มิใช่สู่องค์กรปกครองท้องถิ่นเท่านั้น ที่สำคัญคือกระจายอำนาจให้องค์กรชุมชนมีบทบาทในการจัดการดูแลกิจการที่มีผล กระทบต่อชุมชนโดยตรง เช่น มีอำนาจในการจัดการป่าชุมชน แม่น้ำลำคลองในท้องถิ่น เป็นต้น ขณะเดียวกันการใช้อำนาจของรัฐจะต้องได้รับการกำกับตรวจสอบและถ่วงดุล อย่างจริงจัง การกำกับตรวจสอบและถ่วงดุลนั้น นอกจากจะทำโดยผ่านสถาบันนิติบัญญัติและตุลาการ ตลอดจนองค์กรอิสระที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและสื่อมวลชนได้มีบทบาทด้วย ทั้งโดยตรงและโดยผ่านสถาบันนิติบัญญัติ ตุลาการและองค์กรอิสระ มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้รัฐคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมโดยใช้ความรู้และ คุณธรรมเป็นหลัก มีความละเอียดรอบคอบในการดำเนินงาน แทนที่จะใช้อำนาจตามอำเภอใจดังแต่ก่อน สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันคือการปฏิรูประบบราชการ เพื่อลดอำนาจนิยมภายในระบบให้น้อยลง และเป็นระบบที่อาศัยความรู้และคุณธรรมมากขึ้น โดยมีการปรึกษาหารือและส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากข้าราชการในทุกระดับให้มาก ขึ้น เปิดโอกาสให้มีการสื่อสารจากล่างขึ้นบน แทนที่จะเป็นการสั่งการจากบนลงล่างอย่างเดียว ในทำนองเดียวกัน เมื่อออกไปสัมพันธ์กับประชาชน ควรมีการร่วมมือและปรึกษาหารือกับประชาชนมากขึ้น มิใช่สั่งการให้ประชาชนทำตามในทุกเรื่องเพราะถือว่าข้าราชการเป็นใหญ่เหนือ ประชาชน การลดอำนาจนิยมดังกล่าวจะต้องทำในหน่วยราชการทุกระดับ รวมทั้งในระดับโรงเรียน กล่าวในภาพรวมแล้ว นอกจากการลดอิทธิพลของอำนาจเงินและอำนาจนิยมในเชิงระบบแล้ว จำเป็นจะต้องมีระบบหรือโครงสร้างที่ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ลดการเอารัดเอาเปรียบกัน และก่อให้เกิดสุขภาวะอย่างเป็นองค์รวม ทั้งในทางกาย ความสัมพันธ์ จิต และ ปัญญา โครงสร้างอันสันติดังกล่าว ย่อมเป็นโครงสร้างที่ส่งเสริมศีลธรรมในตัวเอง โครงสร้างดังกล่าว ประกอบด้วย ระบบเศรษฐกิจ ที่ส่งเสริมให้เกิดการกระจายรายได้อย่างยุติธรรม ไม่ทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนเพิ่มมากขึ้น มีสวัสดิการช่วยเหลือคนยากจน รวมทั้งปกป้องผู้ยากไร้จากการเอาเปรียบของผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ ผู้คนมีโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรสาธารณะหรือของรัฐอย่างเท่าเทียมกัน มีปัจจัยในการผลิตและดำรงชีพขั้นพื้นฐาน สามารถเลือกหรือรักษาวิถีการดำรงชีพที่ตนปรารถนาได้ เป็นต้น ระบบการเมือง ที่ไม่ผูกขาดอำนาจไว้ที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่กระจายอำนาจให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจตั้งแต่ระดับ ชุมชนไปถึงระดับชาติ รวมถึงการดูแลจัดการทรัพยากรท้องถิ่น มีกลไกที่สามารถป้องกันการใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือการฉ้อราษฎร์บังหลวงได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ให้หลักประกันทางสิทธิเสรีภาพและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน มีกลไกการแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี เป็นต้น ระบบการศึกษา ที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้และฝึกฝนตนในทุกมิติ ไม่หลงติดอยู่กับระบบบริโภคนิยมหรือถูกครอบงำด้วยลัทธินิยมใดๆ อย่างไร้วิจารณญาณ ผู้คนสามารถพัฒนาและใช้ศักยภาพทั้ง 4 มิติ (คือ กาย ความสัมพันธ์ จิต และปัญญา)ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น นอกจากสามารถแก้ปัญหาของตนได้แล้ว ยังสามารถช่วยเหลือส่วนรวมด้วยวิถีทางที่สันติ เป็นระบบที่เปิดกว้างและมีความหลากหลาย ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย อีกทั้งยังมีเสรีภาพในการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตหรือสภาพแวด ล้อมของตน ระบบสื่อมวลชน ที่ส่งเสริมให้เกิดการบริโภคที่ถูกต้องและมีทัศนคติที่เกื้อกูลต่อการพัฒนา สุขภาวะทั้ง 4 มิติ ไม่ถูกครอบงำด้วยอำนาจทุนหรือกลุ่มผลประโยชน์ใดๆ ประชาชนสามารถเข้าถึงหรือเป็นเจ้าของได้ เป็นสื่อกลางที่ส่งเสริมให้ผู้คนเกิดความเข้าใจกัน ยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม รวมทั้งเคารพในความแตกต่างทางความคิดและอัตลักษณ์
ส่งท้าย ด้วยเหตุนี้ในการเสริมสร้างทางศีลธรรมของผู้คนจึงต้องให้ความสำคัญกับ อิทธิพลของสังคมแวดล้อมด้วย หากเห็นว่าสังคมเป็นปฏิปักษ์กับความดี ก็จำต้องช่วยกันเปลี่ยนแปลงปรับปรุงสังคมให้กลับมาเป็นมิตรกับความดี เราไม่ควรฝากความหวังไว้กับผู้นำที่เป็นคนดี การโยนความรับผิดชอบให้แก่คนอื่นย่อมมิใช่วิสัยของคนดี คนดีจะต้องกล้าแบกรับภาระด้วยตนเอง โดยไม่กลัวว่าจะเปลืองตัว ใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะคนดีในเมืองไทยคิดถึงแต่ตัวเองมากเกินไป สังคมไทยจึงตกต่ำทางศีลธรรมจนถึงขนาดนี้ โดย.....พระไพศาล วิสาโล ที่มา คอลัมน์ ชวนสังคมคิด : http://www.budnet.org/
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|