บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
ชีวิตใหม่ ในเส้นทางเดิม : ลักษิกา ไกรลาสสุวรรณ |
Wednesday, 25 November 2009 | ||||
ชีวิตใหม่ ในเส้นทางเดิม โดย : ลักษิกา ไกรลาสสุวรรณ ลักษิกา ไกรลาสสุวรรณ นักเรียนมัธยมปลายจากโรงเรียนปัญโญทัย เขียนเล่าประสบการณ์การเรียนรู้ หลังฝึกงานกับองค์กรเอกชนช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส ท่ามกลางความขวักไขว่ของผู้คน ทั้งนักท่องเที่ยว และเจ้าของธุรกิจปลีกย่อยในแม่สาย เด็กขอทานตัวน้อยๆ หลายคน เดินเร่หาความหวังในรูปของเศษเงิน หากศูนย์พักพิงแห่งหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น เพื่อให้พวกเขาได้มีทางเดินใหม่ในชีวิต มากกว่าแค่ชะตาชีวิตที่ไม่มีทางเลือก "เฮ้อ ...." นั่นคือเสียงถอนหายใจของฉัน ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะถูกยกขึ้นมาใช้กล่าวถึง เป็นการเปิดฉากการเล่าเรื่องราวครั้งนี้เลย อย่างไรก็ดีฉันเห็นว่านี้เป็นเสียงอันเหมาะสมที่สุดแล้ว ในการบรรยายความรู้สึกที่ฉันมีต่อการไปฝึกงานครั้งนี้ ซึ่งฉันก็ไม่รู้หรอกว่าตนเองถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วขณะนั่งอยู่บนรถทัวร์ ทั้งไม่มีคนจะช่วยฉันนับด้วย เพราะบนรถทัวร์นี้ไม่มีใครเลยซักคนเดียวที่ฉันรู้จัก
ใช่แล้ว การไปฝึกงานครั้งนี้นักเรียนชั้น ม.5 จะต้องฉายเดี่ยวครับท่าน! เพราะฉะนั้นเสียง "เฮ้อ" ข้างต้นจึงหมายถึง "ในที่สุดเราก็ต้องไป.....เฮ้อ" "แล้วจะต้องไปทำอะไรนะนี่..." "เราจะอยู่ได้มั้ย?! ฯลฯ ในใจฉันมีคำถามตามมาอีกเป็นพรวน จนลืมสังเกตว่าผู้โดยสารข้างๆ เอาเข็มขัดมาคาดแล้ว ฉันจึงปฏิบัติตามอย่างไม่รอช้า เพื่อเริ่มต้นการเดินทางสู่จุดเหนือสุดในแดนสยาม ในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ... ตัดตอนมาที่สถานีขนส่งแม่สาย ณ วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2551 หากคุณบังเอิญผ่าน คุณจะเห็น เด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกับกระเป๋าหนึ่งใบ สายตาของเธอคอยสอดส่องมองหาบุคคลที่ดูเข้าข่ายว่าน่าจะใช่คนที่จะมารับเธอ สลับไปกับการหาป้ายที่เขียนว่า Tesco Lotus ไม่ใช่ว่าฉันผูกพันอะไรเป็นพิเศษกับห้างนี้หรอกนะ แต่เป็นเพราะได้รับการบอกมาว่ามีห้าง Lotus อยู่ใกล้ๆ ขณะที่ฉันหันซ้ายแลขวาอยู่ประมาณ 5 นาที ก็มีรถตู้แล่นเข้ามาจอดเทียบชานชาลา หน้าตาดูเหมือนรถเอาไว้ลักเด็กมากกว่า แต่ว่าสติ๊กเกอร์สีชมพูคิตตี้ที่ติดอยู่หน้ากระจกรถตัวโตกลับเขียนว่า "ศูนย์พัฒนาการศึกษาเพื่อลูกหญิงและชุมชน" ซึ่งก็เป็นเครื่องช่วยยืนยันว่านี่คือยานพาหนะที่ฉันตั้งตารอจริงๆ ฉันนั่งรถผ่านภูมิทัศน์ที่แปลกตาและผ่านอีกหลายสิบคำถามกับเจ้าหน้าที่ที่มารับเช่น "จะมาอยู่กี่เดือน?!" (นึกในใจว่าอาทิตย์เดียวยังไม่แน่ว่าจะรอดเลย) "อยากมาทำอะไรที่ศูนย์ฯ" ฉันก็ตอบไปตามจินตนาการอันเลิศหรูว่าอยากมาอ่านหรือสอนหนังสือภาษาอังกฤษให้เด็กๆ ฟังค่ะ พวกพี่ๆ เจ้าหน้าที่ก็มองหน้ากันยิ้มๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร คงรอให้ฉันตระหนักรู้เอาเองในภายหลัง ในที่สุดรถตู้ก็เลี้ยวผ่านโค้งสุดท้ายของถนนเข้ามา พวกฉันก็มาถึงจุดหมายปลายทางอันร่มครึ้มแกมออกจะแห้งแล้งอยู่หน่อยๆ ขณะที่ฉันกำลังลากกระเป๋าเดินทางถูลู่ถูกังอยู่นั้น สายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นเด็กชายหน้าตามอมแมมคนหนึ่ง ซึ่งสวมเสื้อผ้าที่ดูแล้วคงจะมีอายุเกินเจ้าของและไม่ใส่รองเท้า กำลังรีบวิ่งไปทางตัวอาคารเรียน แต่เมื่อเขาหันมาเห็นฉัน เขาก็ส่งยิ้มให้พร้อมพนมมือไหว้ กล่าวคำสวัสดี ทำเอาฉันรับไหว้แทบไม่ทัน ในใจก็คิดว่าก็อายุเราเองก็ไม่มากเท่าไรและไม่ค่อยจะเคยมีเด็กมาไหว้ ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ประทับใจฉันจริงๆ กลับเป็นกิริยาอันดูเป็นธรรมชาติที่แสดงออกมาภายใต้เสื้อผ้าปอนๆ และหน้าตามอมแมมของเขา
หลังจากรับฟังข้อมูลอันมากมายชวนงุนงงเกี่ยวกับการทำงานของทั้ง 4 องค์กรภายในศูนย์แล้ว ฉันก็ขออนุญาตเดินสำรวจห้องเรียนของแต่ละชั้น ซึ่งแต่ละย่างก้าวล้วนทำให้ฉันอดที่จะนึกถึงโรงเรียนของตัวเองไม่ได้ ถ้าหากว่าการเรียนในห้องรับแขกและโรงรถของโรงเรียนปัญโญทัยเก่า อย่างที่ฉันเคยเรียนจะเป็นสิ่งที่สังคมมองว่าอัตคัดขาดแคลนแล้ว อย่างไรก็คงเทียบไม่ติดกับการต้องมานั่งเรียนบนพื้นปูนอันเย็นเยียบ และใช้โต๊ะเรียนเตี้ยๆ รวมกันสี่ห้าคนต่อหนึ่งตัว สภาพภายในห้องไม่มีสิ่งที่จะสร้างความบันเทิง อาทิ หนังสืออ่านเล่นหรือของเล่นสักชิ้นเลย แม้กระทั่งฝาผนังที่กั้นแต่ละห้องก็ยังหนาไม่เพียงพอที่จะตอกตะปูแขวนนาฬิกาสักเรือน... นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกอับอายที่ตัวเองได้ใส่เสื้อผ้าที่ดี ทั้งๆ ที่ถ้าจะว่าไปก็เป็นเพียงเสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดาๆ แต่มันกลับทำให้ฉันอดโกรธไม่ได้ ที่ทำไมพวกเขาช่างดูแตกต่างอย่างไม่ยุติธรรมเหลือเกิน... ... เช้าวันต่อมาฉันถูกปลุกขึ้นมาด้วยเสียงแหลมประหลาด แต่เมื่อหายงัวเงียตื่นเต็มที่และลองเงี่ยหูฟังดูอีกที ฉันจึงได้รู้ว่าที่แท้ก็คือเสียงไก่ขันนี่เอง เพียงแต่ฉันไม่ค่อยจะได้ยินเสียงไก่ขันที่กรุงเทพฯ จึงทำให้รู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง หลังจากทำกิจวัตรประจำวันเสร็จแล้ว ฉันจึงรีบรุดไปยังห้องเรียนของกลุ่มเยาวชน MYN (Mekong Youth Net) เพื่อร่วมกิจกรรมตามตารางที่ได้รับมอบหมายไว้ ซึ่งฉันอยากสารภาพตามตรงว่า เมื่อฉันคิดทบทวนถึงสิ่งที่ได้ทำกับ MYN ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมเหมือนที่โรงเรียนของฉัน และการนำเสนอเกี่ยวกับความใฝ่ฝันของตัวเอง สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะไร้สาระ แต่มันก็ทำให้ฉันได้มีโอกาสมองเห็นความเท่าเทียมและสามัคคีในหมู่เยาวชนจากทั้ง 6 ประเทศนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมีประวัติศาสตร์อันน่าเจ็บปวดของบรรพบุรุษที่เข่นฆ่ากันและกัน แต่ ณ ที่นั้นพวกเขาคือเพื่อนและพี่น้อง ที่มีเจตจำนงจะพัฒนาชุมชนของตัวเองให้มีความเท่าเทียมกัน ด้วยแรงแห่งรัก วันต่อมาฉันได้เรียนรู้มากขึ้นถึงต้นเหตุแห่งปัญหาเหล่านี้จากการรับฟังการทำงานของ CHL(Child Hotline) และ CVR(Child Voice Radio) ว่าที่จริงแล้วการค้าแรงงานต่างด้าวและการค้าประเวณีนั้น มีสาเหตุใหญ่ๆ มาจากการไม่รู้คุณค่าของคำว่า 'เพียงพอ และ พอเพียง' นั่นเอง เพราะชาวบ้านที่ทำสวนทำไร่ไถนานั้น เมื่อโดนสื่อโฆษณาไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม รุกรานเข้ามาในชีวิตอันเงียบสงบของพวกเข้ามากขึ้น ก็ย่อมที่จะมีความคิดเปลี่ยนไป โดยในเฉพาะเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งจะเริ่มประสบการณ์ชีวิต
รายได้อันน้อยนิดที่เคย 'พอเพียง' ต่อชีวิตอันสมถะของพวกเขานั้น ก็กลายเป็นหาเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น และทางออกในการหารายได้เพิ่มที่พวกเขาพอจะรู้ก็มีอยู่ไม่กี่ทาง หากด้วยความรู้ที่มีพอจะอ่านออกเขียนได้เท่านั้น (ซึ่งฉันก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องที่ผิดแต่อย่างใด เพราะชีวิตของพวกเขาแวดล้อมด้วยธรรมชาติอยู่แล้ว) ทำให้พวกเขาถูกหลอกลวงจากคนบางกลุ่มบางพวก ที่ไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คนเหล่านั้นใช้ช่องโหว่อันนี้กอบโกยหารายได้ให้แก่ตัวเองอย่างไร้มนุษยธรรม โดยไม่ตระหนักรู้เลยว่า 'เรา' ล้วนเกิดมาและปรารถนาที่จะมีความสุขด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด หรือมีความรู้มากเพียงไรก็ตาม เรื่องราวเหล่านี้ดูเหมือนจะกัดกร่อนให้ฉันรู้สึกหนักอึ้งราวกับถูกกดเอาไว้ใต้น้ำ เนื่องจากฉันก็เคยมาเที่ยวที่ตลาดแม่สายบ้างครั้งเมื่อเยาว์วัย แต่ไม่เคยที่จะรู้เลยว่า ณ สถานที่อันดูสวยงาม เต็มไปด้วยสินค้ามากมาย มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาไม่ขาดสายนี้ ฉันกลับไม่เคยสังเกตเห็นเด็กตัวเล็กๆ ที่หาบของเกินกำลังมาขายให้กับนักท่องเที่ยว หรือขอทานตัวน้อยๆ ที่เดินเร่อยู่แถวนั้นบ้างเลย และไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังสถานที่เที่ยวที่จับจ่ายใช้สอยเดียวกันนี้ จะเป็นที่อยู่อาศัยของเด็กไร้สัญชาติและด้อยโอกาสอีกหลายพันคน... ... ลำพังเพียงแค่ศูนย์ลูกหญิงฯ คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดนี้ได้ แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าการไม่ทำอะไรซะเลยจะดีกว่า เพราะระหว่างที่ฉันเดินทางกลับกรุงเทพนั้น ฉันรู้สึกว่ายังไม่อยากกลับมาจากที่นั้น ฉันอยากเป็นส่วนหนึ่งของดวงดาวเหล่านี้ที่คอยประดับม่านฟ้าสังคม
ถึงแม้จะมีแสงไม่มากเท่าดวงจันทร์ แต่แสงอันเล็กน้อยเหล่านี้ก็ได้ส่องลงไปในมุมมืดของสังคมที่แสงจันทร์ส่องไปไม่ถึง เพื่อเปิดเผยมุมมืดบางมุมที่ผู้คนอาจมองข้ามไป จึงถือได้ว่าพลังอันน้อยนิดแต่ทรงอานุภาพนี้ เป็นสิ่งที่ควรได้รับการยกย่องและสานต่อไปยังโลก อนาคตใบใหม่ ณ ที่ซึ่งความหวังและศรัทธาส่องประกาย เจิดจรัสท้าทายกระแสสังคม หมายเหตุ : ศูนย์พัฒนาการเพื่อลูกหญิงและชุมชน 186 หมู่ 4 ต. เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย 57130 โทร. 053 - 733 186, 053 - 732 168 ที่มา www.bangkokbiznews.com - กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|