หน้าหลัก arrow ข่าวย้อนหลัง arrow ศัตรูที่แท้จริง : พระไพศาล วิสาโล
หน้าหลัก
รู้จักยส
อยู่กับปวงประชา
ข่าวย้อนหลัง
เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
ผู้ไถ่ : รายงานสถานการณ์
การศึกษาเพื่อสิทธิ&สันติภาพ
สื่อสิ่งพิมพ์ ยส.
มุมมองสิทธิฯ ในหนัง
กิจกรรม ยส.
คลังภาพ ยส.
เว็บบอร์ด ยส.
เว็บเพื่อนบ้าน
Facebook ยส.

ยส. (ยุติธรรมและสันติ)

จำนวนผู้เข้าชม
ขณะนี้มี 115 บุคคลทั่วไป ออนไลน์

คลิก เขียนสมุดเยี่ยมคลิก เขียนสมุดเยี่ยม
ขอบคุณทุกท่าน
ที่แวะเข้ามาค่ะ

แนะนำสื่อ ฉบับล่าสุด


วารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ 123: ชีวิต การต่อสู้ เพื่อความดีของกันและกัน กำลังใจ ความรัก และความหวัง
 วารสารผู้ไถ่
ฉบับที่ 123


วันสันติสากล 1 มกราคม 2024
 สารวันสันติสากล
1 มกราคม 2024
ปัญญาประดิษฐ์
และสันติภาพ


น้ำแห่งชีวิต (Aqua fons vitae)
 น้ำแห่งชีวิต
(Aqua fons vitae)
สมณกระทรวงเพื่อ
ส่งเสริมการพัฒนา
มนุษย์แบบองค์รวม


สมณลิขิตเตือนใจ...แอมะซอนที่รัก (QUERIDA AMAZONIA)
 แอมะซอนที่รัก
(QUERIDA AMAZONIA)
สมณลิขิตเตือนใจ...
ของสมเด็จ-
พระสันตะปาปาฟรังซิส


จงสรรเสริญพระเจ้า... การก้าวออกไปอย่างต่อเนื่องของเอเชีย
หนังสือแปล
จงสรรเสริญพระเจ้า...
การก้าวออกไป
อย่างต่อเนื่องของเอเชีย


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 2 และ3
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร
ภาคที่ 2 และ3
 


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 1
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร ภาคที่ 1



หนังสือ Jesus CEO :  พระเยซูเจ้า นักบริหารชั้นนำ
หนังสือแปล
Jesus CEO :
พระเยซูเจ้า
นักบริหารชั้นนำ



หนังสือ เส้นทางสู่สิทธิมนุษยชนศึกษา
หนังสือ เส้นทางสู่
สิทธิมนุษยชนศึกษา


พระสมณสาสน์ความรักในความจริง : Caritas in Veritate
หนังสือแปล
Caritas in Veritate :

พระสมณสาสน์
ความรักในความจริง



โปสเตอร์ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ พ.ศ.2532
โปสเตอร์
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
แห่งสหประชาชาติ
พ.ศ.2532


เว็บเพื่อนบ้าน

แวดวงต่างประเทศ

Pax Christi International - PCI

ACPP - Hotline Asia


ดูเว็บอื่นๆ ในหมวด

เว็บน่าสนใจ

เว็บด้านสิทธิฯ

ข่าวสาร/บันเทิง

หน่วยงานองค์กรคาทอลิก

บทความล่าสุด

   อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
และไม่ผูกพันกับคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ

ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
แต่กรุณาระบุชื่อผู้เขียน และแหล่งที่มาด้วย ขอบคุณค่ะ

 

Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน

  • โอนเข้าบัญชี ในนาม
    คณะกรรมการคาทอลิกฯ แผนกยุติธรรมและสันติ 
    ธนาคารกสิกรไทย สาขาห้วยขวาง บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 084-2-07639-2
    (กรุณา
    ส่งสำเนาการโอนเงินทางอีเมล์ ccjpthai@gmail.com)
    (หรือ ส่งสำเนามาที่ LINE:
    https://lin.ee/LdMulwv)

  • ทางธนาณัติ สั่งจ่ายในนาม “ปริญดา วาปีกัง” ตู้ ปณ. สุทธิสาร (10321)
    114 (2492) ถ.ประชาสงเคราะห์ ซอย 24 ดินแดง กรุงเทพฯ 10400

ศัตรูที่แท้จริง : พระไพศาล วิสาโล พิมพ์
Wednesday, 05 August 2009

ศัตรูที่แท้จริง

สารคดี ฉบับเดือน เมษายน 2552

สามีและภรรยาวัย ๒๐ ต้นๆ มีปากเสียงและทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำ บางครั้งสามีถึงกับใช้กำลังกับภรรยา แล้ววันหนึ่งภรรยาได้หนีออกจากบ้าน ทิ้งลูกน้อยวัย ๓ ขวบไว้กับสามี ไม่กี่วันต่อมาสามีตามหาคู่รักของตนจนพบ จึงเจรจาขอร้องให้หญิงสาวกลับไปอยู่ด้วย แต่เธอปฏิเสธ ฝ่ายชายไม่ละความพยายาม คืนต่อมาได้ไปขอร้องหญิงสาวอีก แต่เธอยังยืนกรานที่จะแยกกันอยู่ หลังจากโต้เถียงกันพักใหญ่ หญิงสาวเดินเข้าห้องน้ำ ชายหนุ่มเดินตามแล้วชักมีดพกเข้าไปทำร้ายเธอจนถึงแก่ความตาย จากนั้นเขาก็ฆ่าตัวตาย แต่ชะตายังไม่ถึงฆาต จึงถูกจับดำเนินคดี

คนที่เคยรักกันแต่แล้วกลับมาทำร้ายกันได้นั้น ไม่มีเหตุผลอย่างอื่นนอกจากความโกรธ ชายหนุ่มอาจจะโกรธหญิงสาวที่ปฏิเสธคำวิงวอนขอร้องของเขา แต่นั่นก็ไม่ร้ายเท่ากับการปฏิเสธตัวตนของเขา จนเห็นเขาไม่มีคุณค่าอีกต่อไป ชายหนุ่มยังโกรธที่หญิงสาวทิ้งลูกน้อยได้ลงคอ ยิ่งถูกเธอต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรง ก็ยิ่งโกรธจนลุแก่โทสะ เข้าไปสังหารเธอ

แต่สาเหตุมิได้มีแค่ความโกรธเท่านั้น ลึกลงไปในใจยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ร่วมเป็นตัวการทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นฆาตกร ได้แก่ความต้องการเอาชนะหญิงสาว ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกหญิงสาวตีจาก ถูกเธอปฏิเสธคำวิงวอน แม้นพยายามพูดจาดีๆ กับเธอก็ไม่เป็นผล ครั้นใช้วิธีข่มขู่ก็ถูกตอบโต้ด้วยคำด่าว่า เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่สำนึกเรื่องศักดิ์ศรีของผู้ชายทำให้เขาไม่อาจยอมรับสภาพเช่นนี้ได้ ความต้องการเอาชนะเธอ ประกอบกับโทสะที่พลุ่งพล่าน ทำให้เขาลืมตัว ชักอาวุธมาทำร้ายเธอ ในชั่วขณะนั้นเขาคงไม่เพียงรู้สึกสะใจที่ได้ระบายความโกรธ แต่ยังรู้สึกพึงพอใจที่ได้มีชัยชนะเหนือเธอหลังจากเป็นผู้แพ้มาตลอด แต่เมื่อเขาได้สติกลับมา และรู้ว่าทำอะไรลงไป จะด้วยความเสียใจหรือเพราะกลัวอาญาบ้านเมืองก็แล้วแต่ เขาจึงตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง

ชายหนุ่มยอมทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะหญิงสาว แต่ก็กลับลงเอยด้วยการสูญเสียทุกอย่าง ไม่เพียงสูญเสียหญิงสาวที่ตนเคยรักเท่านั้น หากยังสูญเสียอนาคตและความปกติสุขที่เคยรู้จัก เพราะต้องไปใช้ชีวิตในเรือนจำอย่างยาวนาน แม้อาจเป็นอิสระในที่สุด แต่ก็ต้องถูกจองจำอยู่ในคุกมืดแห่งความรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต เป็นเพราะต้องการเอาชนะผู้อื่น แต่สุดท้ายเขากลับทำร้ายตัวเอง ไม่เพียงเท่านั้น เขายังทำร้ายจิตใจและอนาคตของลูกด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขากลายเป็นผู้แพ้ในที่สุด

นี้ใช่ไหมที่เป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับผู้คนเป็นอันมาก การมุ่งมั่นเอาชนะผู้อื่น บ่อยครั้งกลับลงเอยด้วยความพินาศย่อยยับของตนเอง เพราะความอยากเอาชนะนั้นมักทำให้เราลืมตัว จนทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตัวเองได้ง่าย ๆ รวมทั้งส่งผลกระทบไปถึงคนหรือสิ่งที่ตนรักอย่างนึกไม่ถึง

จะว่าไปแล้วแม้ยังไม่ทันลงมือเอาชนะเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่คิดจะเอาชนะผู้อื่น เราก็กลายเป็นผู้แพ้ไปแล้ว นั่นคือแพ้ต่อความโกรธเกลียด ถูกความโกรธเกลียดครอบงำย่ำยีจิตใจจนเร่าร้อน กระสับกระส่าย หรืออาจถึงขั้นทุรนทุรายเลยทีเดียว ความโกรธเกลียดนี้แหละที่ทำให้เราลืมตัวจนสามารถทำสิ่งเลวร้ายต่างๆ ได้มากมายที่กลับส่งผลเสียต่อตัวเราเอง

การปล่อยให้ความโกรธเกลียดครอบงำจิตใจจนลงมือทำร้ายผู้อื่นนั้น แม้ดูเหมือนจะได้รับชัยชนะ แต่ก็เป็นชัยชนะชั่วคราวเท่านั้น ในที่สุดก็จะต้องประสบกับความพ่ายแพ้ เป็นความพ่ายแพ้ที่เรียกว่า "แพ้ภัยตนเอง" เมื่อมีการชุมนุมประท้วงรัฐบาล มีการโจมตีผู้ปกครองอย่างหนัก และสามารถดึงประชาชนให้เข้าร่วมได้เป็นจำนวนมาก หากรัฐบาลโกรธแค้นผู้ชุมนุมจนถึงกับส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสลายการชุมนุมด้วยอาวุธ มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แม้จะทำสำเร็จได้ในที่สุด แต่ชัยชนะที่เกิดขึ้นก็จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะสูญเสียความชอบธรรมจากประชาชน และถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทั่วทุกสารทิศ จนรัฐบาลเองก็อาจจะปกครองประเทศไม่ได้

ในทำนองเดียวกัน หากผู้ชุมนุมโกรธแค้นรัฐบาล เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล ก็พยายามเอาชนะด้วยการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ทำลายทรัพย์สินราชการ เผาอาคารสถานที่ หรือทำร้ายเจ้าหน้าที่ แม้จะทำให้รัฐบาลเสียหน้าเพราะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ แต่ในที่สุดการกระทำเหล่านั้นเองกลับนำความพ่ายแพ้มาสู่ผู้ชุมนุม เพราะประชาชนหันมาเป็นปฏิปักษ์กับผู้ชุมนุม

ความพ่ายแพ้ที่เกิดกับรัฐบาลหรือผู้ชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงเพราะหมายจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามนั้น เรียกได้ว่าเป็นการแพ้ภัยตนเองทั้งสิ้น

ยิ่งคิดจะเอาชนะคนอื่น ก็ง่ายที่จะแพ้ภัยตนเอง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเมื่อใดก็ตามที่จดจ้องหาทางเล่นงานคนอื่น เราก็มักลืมดูใจของตน จึงปล่อยให้ความโกรธเกลียดครอบงำจิตใจ มันจึงผลักดันให้เราทำสิ่งที่เป็นผลร้ายต่อตนเองโดยไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงตรัสเตือนใจว่า "ชนะตนเองดีกว่าชนะข้าศึกเป็นพันๆ ในสงคราม คนเช่นนี้นับว่าเป็นยอดขุนพลแท้"

ชนะตนเองหมายถึงชนะกิเลสรวมทั้งความโกรธเกลียดและความทะยานอยาก กิเลสเหล่านี้เป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน สำหรับปุถุชน การเอาชนะกิเลสไม่ได้หมายถึงการขจัดมันให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ แต่หมายถึงการไม่ปล่อยให้มันครอบงำจิตใจ หรือชักนำชีวิตของเราให้เป็นไปตามอำนาจของมัน จะทำเช่นนั้นได้เราต้องกลับมารู้ให้ทันท่วงทีเมื่อมันปรากฏขึ้นในจิตใจ ไม่ปล่อยให้มันลุกลามจนครองจิตครองใจเราได้

ตามปกติเมื่อความโกรธเกลียดหรือความทะยานอยากเกิดขึ้น ใจจะถูกผลักให้พุ่งออกไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราโกรธเกลียดหรืออยากได้ และยิ่งจดจ่อออกไปนอกตัวมากเท่าไร เราก็จะยิ่งลืมตัว ปล่อยให้กิเลสเหล่านั้นลุกลามขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งมันกำเริบเติบใหญ่ เราก็จะยิ่งลืมตัวหนักขึ้น เพราะมัวแต่คิดว่าจะจัดการกับสิ่งนั้นอย่างไรให้สะใจหรือสมอยาก

เมื่อใดที่มีสติ รู้เท่าทันอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดกับใจ ใจจะหลุดจากอารมณ์นั้น ความโกรธเกลียดหรือความทะยานอยากจะมีกำลังอ่อนลงเพราะใจไม่เข้าไปปรุงแต่ง หรือเติมพลังให้มัน หากมีสติอย่างต่อเนื่อง ไม่ลืมตัวปล่อยใจเข้าไปจมอยู่ในอารมณ์นั้น ในที่สุดอารมณ์เหล่านั้นก็จะดับไป เหมือนกองไฟที่มอดดับเพราะไม่มีเชื้อเพลิงมาเติม ความสงบที่เกิดขึ้นตามมาจะช่วยให้ปัญญาทำงานได้อย่างเต็มที่ จนเห็นว่าอะไรควร ไม่ควร แทนที่จะทำด้วยความลืมตัว เพียงเพื่อให้สะใจหรือสมอยากชั่วครู่ชั่วยาม ก็จะทำด้วยความตระหนักรู้ ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ จึงมีโอกาสที่จะส่งผลดี หรืออย่างน้อยก็ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อตนเอง

แม้มิได้หมายมุ่งเอาชนะผู้อื่น แต่เมื่อใดที่เอาชนะตนเองได้ ก็ง่ายที่จะชนะผู้อื่น แต่มิใช่ชนะด้วยกำลัง หากเป็นการชนะใจเขา หญิงไทยผู้หนึ่งเล่าว่าช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำปี ๔๐ เธอได้ลาออกจากงานและไปเรียนต่อที่เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา เนื่องจากเธอมีทุนจำกัด จึงต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด ทุกเสาร์ต้องออกไปซื้อกับข้าวเพื่อทำอาหารกินได้ทั้งอาทิตย์ มีคราวหนึ่งขณะที่เธอยืนรอสัญญาณไฟเขียวบนเกาะกลางถนนหน้ามหาวิทยาลัย ชายผิวดำได้เข้ามายืนประกอและเอามีดจี้หลังเธอเพื่อเรียกเอาเงิน เขาผิดหวังเมื่อพบว่าในกระเป๋าของเธอมีเงินแค่ ๒๐ ดอลลาร์ และยิ่งโมโหเมื่อรู้ว่าเธอไม่มีเครื่องประดับใดๆ เขาจึงถามเธอว่า คนเอเชียมาเรียนที่นี่ได้แสดงว่าต้องรวยไม่ใช่หรือ? เธอตอบว่า เธอได้ทุนมาเรียน ไม่ได้รวยเหมือนคนอื่น โจรถามต่อว่าเงิน ๒๐ ดอลลาร์แค่นี้จะเอาไปทำอะไร เธอตอบว่า เอาไปซื้อไข่ ด้วยความสงสัยเขาจึงถามต่อว่า เอาไข่ไปทำอะไร เธอตอบว่า เอาไปต้มกินได้ทั้งอาทิตย์

ระหว่างที่โต้ตอบกันอยู่นั้น เธอเห็นยามหน้ามหาวิทยาลัยยกหูโทรศัพท์ เข้าใจว่าจะเรียกตำรวจ เธอจึงโบกมือพร้อมกับตะโกนว่า "ไม่ต้องๆ เราเป็นเพื่อนกัน" โจรได้ยินเช่นนั้นก็ งง ถามว่า คุณรู้จักกับผมตั้งแต่เมื่อไหร่? "ก็เมื่อกี้ไงล่ะ" เธอตอบ

ท่าทีของชายผิวดำเปลี่ยนไปทันที หลังจากสนทนาพักใหญ่ เขาไม่เพียงคืนเงินให้เธอ หากยังพาเธอไปซื้อไข่และซื้ออาหาร ๓ ถุงใหญ่ พร้อมทั้งหิ้วมาส่งถึงหน้ามหาวิทยาลัย แล้วยังแถมเงินอีก ๕๐ ดอลลาร์ เงินดังกล่าวเธอไม่ได้เอาไปไหน หากซื้อวัตถุดิบเพื่อไปทำต้มยำกุ้งให้ครอบครัวของชายผิวดำที่บ้านพักของเขา ในวันรุ่งขึ้น

เป็นธรรมดาที่เมื่อถูกจี้ เราย่อมตื่นตระหนกและรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับโจร หากมีโอกาสก็อยากทำร้ายเขา แต่หญิงผู้นี้กลับเอาชนะความรู้สึกดังกล่าว แม้เห็นยามจะโทรศัพท์เรียกตำรวจเธอก็ห้ามไว้ เป็นเพราะการกระทำดังกล่าว เธอสามารถชนะใจเขาได้ และทำให้เขากลายมาเป็นมิตรกับเธอ

เมื่อชนะใจตน ก็ไม่ยากที่จะชนะใจผู้อื่น อย่างไรก็ตามความยากอยู่ตรงที่การชนะใจตนนี้เอง เพราะเรามักจะมองนอกตัวมากกว่าหันกลับมามองตนเอง เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา เรามักจะโทษคนอื่นยิ่งกว่าที่จะย้อนมาดูตัวเอง เราทุกคนมีอัตตา (หรือความยึดติดถือมั่นในตัวตน) อัตตานี้เองทำให้เรายอมรับได้ยากว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดหรือมีส่วนในการทำให้ เกิดปัญหาขึ้นมา เพราะเป็นธรรมชาติของอัตตาที่มันต้องโดดเด่นกว่าใคร นั่นคือต้องมีมากกว่า เก่งกว่า ถูกต้องกว่า และอยู่เหนือกว่า (พุทธศาสนาสรุปอาการดังกล่าวของอัตตาเป็น ๓ ลักษณะ คือตัณหา ทิฏฐิ และมานะ) เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น นอกจากอัตตาจะทำให้เราเข้าข้างตนเองว่าเป็นฝ่ายถูกต้องแล้ว มันยังทำให้เราหมายมั่นจะเอาชนะคนอื่นให้ได้ เพราะมันทนไม่ได้ที่จะเป็นผู้แพ้

การมองว่าตนเป็นฝ่ายถูกและต้องเป็นผู้ชนะนั้น เป็นเรื่องที่แยกจากกันไม่ออกเพราะมันมาจากแรงผลักของอัตตาตัวเดียวกัน ขอให้สังเกตว่าทุกครั้งที่เราต้องการมีชัยชนะเหนือผู้อื่น เหตุผลหนึ่งที่มักยกมาอ้างก็คือ ฉันเป็นฝ่ายถูก ส่วนแกนั้นผิด ตรรกะที่ตามมาก็คือ เมื่อแกผิด แกก็สมควรได้รับโทษทัณฑ์ และในเมื่อฉันเป็นฝ่ายถูก ก็สมควรแล้วที่ฉันจะทำร้ายแกได้ เหตุผลเช่นนี้ทำให้การพยายามเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่งมีความชอบธรรมด้วยประการทั้ง ปวง

เป็นการง่ายที่เรามักจะมองว่าเส้นแบ่งระหว่างความดีกับความชั่วนั้นอยู่นอก ตัวเรา นั่นคือเราหรือ "พวกเรา" เป็นฝ่ายดี ส่วนมันหรือ "พวกมัน"เป็นฝ่ายชั่ว แต่ความจริงแล้วเส้นแบ่งดังกล่าวอยู่กลางใจเราต่างหาก กล่าวคือในใจเรานั้นมีทั้งคุณสมบัติฝ่ายดีและฝ่ายเลว มีทั้งเมตตากรุณาและความโกรธเกลียด มีทั้งน้ำใจและความเห็นแก่ตัว มีทั้งความอดทนและความหุนหันพลันแล่น มีทั้งความหลงและปัญญา มีทั้งอัตตาและโพธิที่ไปพ้นอัตตา การชนะใจตนเองก็คือการเพิ่มพลังคุณสมบัติฝ่ายดีให้เอาชนะฝ่ายเลวในใจเรา ให้เมตตากรุณาเอาชนะความโกรธเกลียด ให้น้ำใจไมตรีมีชัยเหนือความเห็นแก่ตัว ให้ปัญญาเอาชนะความหลง และโพธิมีชัยเหนืออัตตา

ในยามที่ผู้คนในบ้านเมืองแตกแยกเป็นฝักฝ่าย และคิดแต่จะเอาชนะซึ่งกันและกัน ด้วยการกล่าวหาอีกฝ่ายว่าเป็นตัวเลวร้าย จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องหันมาชนะใจตนเองกันให้มากขึ้น ไม่ปล่อยให้ความโกรธเกลียดครอบงำใจ และที่สำคัญคือรู้เท่าทันอุบายของอัตตาที่คอยบงการชักใยจิตใจของเราให้คิด แต่จะเอาชนะคนอื่น อัตตานั้นทนไม่ได้ที่บุคคลจะชนะใจตนเอง เพราะนั่นเท่ากับเป็นการชนะอัตตา สิ่งสุดท้ายที่อัตตายอมรับได้คือความพ่ายแพ้ ดังนั้นมันจึงพยายามผลักดันให้เราคิดแต่เอาชนะคนอื่น เพื่อจะได้ละเลยการเอาชนะอัตตา แต่มนุษย์ทุกคนมีสติปัญญา สติทำให้เรารู้ทันอัตตา ปัญญาทำให้เรารู้ว่าตราบใดที่ยังปล่อยให้อัตตาเถลิงอำนาจ ชีวิตเราก็มีแต่จะเสื่อมถอย และนำพาครอบครัว สังคม และส่วนรวมให้ถึงแก่ความพิบัติ

การเอาชนะตนเองคือการเพิ่มพลังให้กับสติปัญญาจนเห็นกลลวงและอุบายของ อัตตาอย่างถนัดถนี่ จนมันไม่มีช่องทางครอบงำใจเราได้ ยิ่งมีปัญญาถึงขั้นเห็นว่าแท้จริงอัตตานั้นก็หามีจริงไม่ หากถูกปรุงแต่งขึ้นมาด้วยความหลง มันก็จะปลาสนาการไปอย่างสิ้นเชิง เหมือนความมืดที่หายไปเมื่อถูกแสงไฟสาดส่อง

ไม่ว่าเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง หาได้เป็นศัตรูที่อยู่ขั้วตรงข้ามกันไม่ แท้จริงต่างเป็นกระจกสะท้อนให้ต่างฝ่ายต่างเห็นตัวเองอย่างลึกซึ้ง และรู้ว่าศัตรูที่แท้จริงคือความโกรธเกลียดและอัตตาที่บงการอยู่เบื้องหลัง นั้นเอง ตราบใดที่ยังปล่อยให้ศัตรูที่แท้จริงลอยนวล ความพยายามเอาชนะคะคานซึ่งกันและกันย่อมลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ของทุก ฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย

โดย... พระไพศาล วิสาโล

ที่มา คอลัมน์ ชวนสังคมคิด : http://www.budnet.org/


ความคิดเห็น

เขียนความคิดเห็น
ชื่อ:
หัวเรื่อง:
BBCode:Web AddressEmail AddressBold TextItalic TextUnderlined TextQuoteCodeOpen ListList ItemClose List
ความคิดเห็น:



รหัส:* Code

Powered by AkoComment 2.0!

< ก่อนหน้า   ถัดไป >