หน้าหลัก arrow ข่าวย้อนหลัง arrow สุสานกับลายมือบนกำแพง : พระไพศาล วิสาโล
หน้าหลัก
รู้จักยส
อยู่กับปวงประชา
ข่าวย้อนหลัง
เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
ผู้ไถ่ : รายงานสถานการณ์
การศึกษาเพื่อสิทธิ&สันติภาพ
สื่อสิ่งพิมพ์ ยส.
มุมมองสิทธิฯ ในหนัง
กิจกรรม ยส.
คลังภาพ ยส.
เว็บบอร์ด ยส.
เว็บเพื่อนบ้าน
Facebook ยส.

ยส. (ยุติธรรมและสันติ)

จำนวนผู้เข้าชม
ขณะนี้มี 128 บุคคลทั่วไป ออนไลน์

คลิก เขียนสมุดเยี่ยมคลิก เขียนสมุดเยี่ยม
ขอบคุณทุกท่าน
ที่แวะเข้ามาค่ะ

แนะนำสื่อ ฉบับล่าสุด


วารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ 123: ชีวิต การต่อสู้ เพื่อความดีของกันและกัน กำลังใจ ความรัก และความหวัง
 วารสารผู้ไถ่
ฉบับที่ 123


วันสันติสากล 1 มกราคม 2024
 สารวันสันติสากล
1 มกราคม 2024
ปัญญาประดิษฐ์
และสันติภาพ


น้ำแห่งชีวิต (Aqua fons vitae)
 น้ำแห่งชีวิต
(Aqua fons vitae)
สมณกระทรวงเพื่อ
ส่งเสริมการพัฒนา
มนุษย์แบบองค์รวม


สมณลิขิตเตือนใจ...แอมะซอนที่รัก (QUERIDA AMAZONIA)
 แอมะซอนที่รัก
(QUERIDA AMAZONIA)
สมณลิขิตเตือนใจ...
ของสมเด็จ-
พระสันตะปาปาฟรังซิส


จงสรรเสริญพระเจ้า... การก้าวออกไปอย่างต่อเนื่องของเอเชีย
หนังสือแปล
จงสรรเสริญพระเจ้า...
การก้าวออกไป
อย่างต่อเนื่องของเอเชีย


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 2 และ3
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร
ภาคที่ 2 และ3
 


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 1
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร ภาคที่ 1



หนังสือ Jesus CEO :  พระเยซูเจ้า นักบริหารชั้นนำ
หนังสือแปล
Jesus CEO :
พระเยซูเจ้า
นักบริหารชั้นนำ



หนังสือ เส้นทางสู่สิทธิมนุษยชนศึกษา
หนังสือ เส้นทางสู่
สิทธิมนุษยชนศึกษา


พระสมณสาสน์ความรักในความจริง : Caritas in Veritate
หนังสือแปล
Caritas in Veritate :

พระสมณสาสน์
ความรักในความจริง



โปสเตอร์ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ พ.ศ.2532
โปสเตอร์
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
แห่งสหประชาชาติ
พ.ศ.2532


เว็บเพื่อนบ้าน

แวดวงต่างประเทศ

Pax Christi International - PCI

ACPP - Hotline Asia


ดูเว็บอื่นๆ ในหมวด

เว็บน่าสนใจ

เว็บด้านสิทธิฯ

ข่าวสาร/บันเทิง

หน่วยงานองค์กรคาทอลิก

บทความล่าสุด

   อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
และไม่ผูกพันกับคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ

ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
แต่กรุณาระบุชื่อผู้เขียน และแหล่งที่มาด้วย ขอบคุณค่ะ

 

Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน

  • โอนเข้าบัญชี ในนาม
    คณะกรรมการคาทอลิกฯ แผนกยุติธรรมและสันติ 
    ธนาคารกสิกรไทย สาขาห้วยขวาง บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 084-2-07639-2
    (กรุณา
    ส่งสำเนาการโอนเงินทางอีเมล์ ccjpthai@gmail.com)
    (หรือ ส่งสำเนามาที่ LINE:
    https://lin.ee/LdMulwv)

  • ทางธนาณัติ สั่งจ่ายในนาม “ปริญดา วาปีกัง” ตู้ ปณ. สุทธิสาร (10321)
    114 (2492) ถ.ประชาสงเคราะห์ ซอย 24 ดินแดง กรุงเทพฯ 10400

สุสานกับลายมือบนกำแพง : พระไพศาล วิสาโล พิมพ์
Wednesday, 29 July 2009

สุสานกับลายมือบนกำแพง

จิตวิวัฒน์ ฉบับเดือน มิถุนายน 2552

เหนือกรุงปักกิ่งมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมไปชม ได้แก่สุสานราชวงศ์หมิง ยกเว้นสุสานของจักรพรรดิจิ๋นซีแล้ว สุสานราชวงศ์หมิงนับว่ามีชื่อเสียงมากที่สุดของจีน เพราะนอกจากอยู่ในสภาพสมบูรณ์เป็นส่วนใหญ่แล้ว ยังมีความยิ่งใหญ่อลังการทั้งด้านขนาดและวิจิตรศิลป์ เนื่องจากส่วนใหญ่สร้างในช่วงที่ราชวงศ์นี้ยังเรืองอำนาจและว่างเว้นจากสงคราม

ในบรรดาสุสานของจักรพรรดิ ๑๓ พระองค์ที่จับกลุ่มอยู่ในบริเวณเดียวกันนี้ มีเพียงสุสานเดียวที่ทางการได้ขุดสำรวจเรียบร้อยแล้ว ได้แก่สุสานติ้งหลิงของจักรพรรดิองค์ที่ ๑๓ คือจักรพรรดิวั่นลี่ (ค.ศ.๑๕๖๓-๑๖๒๐) สุสานแห่งนี้จัดว่าวิจิตรอลังการมากที่สุด ผู้ที่เข้าไปชมสุสานแห่งนี้นอกจากจะต้องเดินผ่านลานด้านหน้าและซุ้มประตูหลายซุ้มแล้ว ยังต้องลงบันไดลึก ๓๐ เมตรกว่าจะถึงวังใต้ดิน และต้องผ่านประตูหินขนาดใหญ่หลายบานซึ่งในอดีตถูกปิดตาย

ในวังใต้ดินซึ่งมีห้องโถงใหญ่สามห้อง นอกจากบรรจุพระศพของจักรพรรดิและพระมเหสีกับพระสนมแล้ว ยังมีบัลลังก์หินอ่อนสามบัลลังก์ และสมบัติของจักรพรรดิอีกมากมาย รวมทั้งมงกุฎทองคำและเครื่องราชูปโภคที่ทำอย่างวิจิตรบรรจง รวมแล้วหลายพันชิ้น

วังดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการบุกรุกและลักขโมย ดังนั้นจึงสร้างประหนึ่งซุกซ่อนอยู่ใต้ดิน นอกจากนั้นยังมีประตูพิเศษที่ลั่นดาลด้วยตนเองจากด้านใน เมื่อปิดแล้วก็ไม่สามารถเปิดได้อีก เท่านั้นยังไม่พอ ทางเข้าวังยังปกปิดไว้เป็นความลับ กล่าวกันว่าช่างที่ออกแบบและสร้างทางเข้าดังกล่าวถูกฆ่าปิดปากทันทีที่บรรจุพระศพเสร็จ ส่วนผู้ที่ฆ่านั้นก็ไม่วายถูกฆ่าอีกทอดหนึ่ง เป็นเช่นนี้อยู่หลายทอด เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครที่ล่วงรู้ความลับดังกล่าวหลงเหลือแม้แต่คนเดียว

สมบัติมากมายประมาณค่ามิได้เหล่านี้ถูกเก็บไว้ในสุสาน ก็ด้วยความเชื่อว่าจะตามไปอำนวยสุขให้แก่จักรพรรดิอย่างพรั่งพร้อมในภพหน้า ดังนั้นจึงต้องป้องกันรักษาอย่างเต็มที่ไม่ให้ใครขโมยไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว แต่ความพยายามดังกล่าวก็ไร้ผล เพราะเมื่อทางการจีนสามารถเข้าไปในวังใต้ดินได้สำเร็จเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว ได้พบว่าสมบัติหลายชิ้นในนั้นถูกขโมยไปแล้ว แม้กระนั้นก็ยังเหลืออีก ๓,๐๐๐ ชิ้นที่ต่อมาถูกย้ายไปเก็บในพิพิธภัณฑ์

จักรพรรดิวั่นลี่เมื่อยังทรงพระชนม์ชีพนั้น ทรงหมกมุ่นในกามสุข เอาแต่เสวยน้ำจัณฑ์และมัวเมาในเพศรส ไม่ใส่ใจราชการแผ่นดิน ปล่อยให้ขันทีและขุนนางกังฉินขึ้นมาเป็นใหญ่ ทำการฉ้อราษฎร์บังหลวงและรีดนาทาเร้นราษฎรจนเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน ความตายดูเหมือนจะไม่ทำให้พระองค์สำนึก เพราะคิด(หรือหวัง)ว่าถึงตายไปแล้วก็ยังสามารถเสวยสุขได้ต่อไปในภพหน้า ดังนั้นจึงสะสมทรัพย์สมบัติไม่หยุดยั้งเพื่อเอาไว้ใช้ต่อในปรโลก

แต่ความจริงก็เป็นความจริงอยู่วันยังค่ำว่า ไม่ว่ายิ่งใหญ่เพียงใด เมื่อตายไปแล้วก็ไม่สามารถเอาอะไรไปได้แม้แต่อย่างเดียว เมื่อยังทรงพระชนม์ชีพ ทรงมีอำนาจล้นฟ้า เป็นเจ้าชีวิตของผู้คนนับร้อยล้าน แต่เมื่อสิ้นลมแล้ว แม้แต่เข็มเล่มเดียวก็ยังรักษาหรือหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ไม่ได้เลย

ความยึดติดถือมั่นว่า "ของกู" นั้นฝังลึกมากในใจของผู้คน ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าตัวเองจะต้องตายก็ยังไม่ยอมปล่อยวางทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ยังยึดมั่นว่าสิ่งเหล่านั้นยังจะต้องเป็น "ของกู" ต่อไปในปรโลก จึงพยายามหวงแหนเอาไว้อย่างถึงที่สุด จักรพรรดิองค์แล้วองค์เล่าพยายามสร้างสุสานหรือวังใต้ดินให้ซับซ้อนยิ่งกว่า องค์ก่อนๆ แต่ก็ไม่เคยประสบผล ไม่มีสุสานใดเลยที่ปลอดพ้นจากการบุกรุกและลักขโมย

มิใช่แต่ "ของกู" เท่านั้น ความยึดติดถือมั่นว่า "ตัวกู" ก็ฝังลึกในจิตใจของผู้คนด้วยเช่นกัน ใช่หรือไม่ว่าสุสานเหล่านี้สร้างขึ้นจากแรงขับภายในของจักรพรรดิที่ต้องการเป็นอมตะ จริงอยู่ร่างกายไม่มีวันคงทน ในที่สุดย่อมต้องเสื่อมสลายไป แต่สิ่งที่จักรพรรดิและผู้คนทั้งหลายปรารถนาในส่วนลึกก็คือ ความยั่งยืนของ "ตัวกู" ที่สืบเนื่องไปถึงภพหน้า แม้ตายไปแล้วก็ยังมี "ตัวกู" เป็นผู้รับรู้และเสวยสุขต่อไปได้อีก ดังนั้นนอกจากจะหวงแหนทรัพย์สมบัติทั้งหลายเอาไว้เป็น "ของกู"ต่อไปในยามที่หมดลมแล้ว ยังต้องการให้ทายาทและข้าราชบริพารเซ่นไหว้ต่อไปชั่วกาลนาน โดยมีประเพณีพิธีกรรมที่ซับซ้อนเป็นเครื่องกำกับ รวมทั้งการวางผังและออกแบบสุสานตลอดจนลวดลายเครื่องประดับให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยเพื่อบันดาลสิริมงคลแก่เจ้าของสุสานไปชั่วนิรันดร์

อย่างไรก็ตาม "ตัวกู" ไม่ได้ต้องการเป็นอมตะอย่างเดียวเท่านั้น หากยังต้องการประกาศความยิ่งใหญ่ของ "ตัวกู"ด้วย มิใช่ด้วยการแสดงอำนาจเหนือผู้อื่นเท่านั้น หากยังรวมไปถึงการแสดงยศศักดิ์อัครฐาน สำหรับจักรพรรดิจีน ความยิ่งใหญ่ของสุสานเป็นเครื่องประกาศความยิ่งใหญ่ของ "ตัวกู" อีกอย่างหนึ่ง จักรพรรดิวั่นลี่ทรงมีบัญชาให้สร้างสุสานสำหรับพระองค์เองตั้งแต่มีพระชนม์ ๒๒ พรรษา แม้อยู่ในวัยหนุ่ม ยังห่างไกลจากความตาย แต่หลังจากที่ทรงครองราชย์มาได้ ๑๓ ปี ก็คงตระหนักแล้วว่าเพียงกามสุขเท่านั้นยังไม่พอ สิ่งที่ทรงต้องการมากกว่านั้นคือการประกาศความยิ่งใหญ่ จึงทรงสร้างสุสานอันมโหฬารขึ้นมา กล่าวอีกนัยหนึ่งสุสานมิใช่หลักประกันความสุขสำหรับภพหน้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของ "ตัวกู"ในภพนี้ด้วย

ความยิ่งใหญ่ของ "ตัวกู"นั้น นอกจากแสดงออกด้วยวัตถุเช่น สุสาน วัง คฤหาสน์ หรือบ้านเรือน แล้วยังวัดกันด้วยชื่อเสียงอีกด้วย ยิ่งมีชื่อเสียงขจรขจายกว้างไกลเพียงใด ก็ยิ่งชวนให้รู้สึกว่า "ตัวกู" นั้นยิ่งใหญ่หรือโดดเด่นมากเพียงนั้น คนเรานั้นมีทรัพย์สินมากมายเพียงใดก็ยังไม่รู้สึกพอ แต่ยังต้องการความยิ่งใหญ่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง นอกจาก "ของกู"แล้ว "ตัวกู"ยังต้องการยืนยันให้คนอื่นรู้ว่า "นี่กูนะ" อีกด้วย

"นี่กูนะ" เป็นแรงปรารถนาที่ทรงพลังมาก ในด้านหนึ่งมันทำให้เราต้องการเป็นใหญ่หรือโดดเด่นเหนือผู้อื่น (หากอวดเบ่งไม่ได้ผล ก็ต้องอ้างบารมีของพ่อหรือย้อนถามว่า"รู้ไหมว่าอั๊วเป็นใคร") แต่ในอีกด้านหนึ่งมันทำให้เราทนไม่ได้ที่จะอยู่ในสภาพต่ำต้อยหรือไร้ชื่อเสียงเรียงนาม โดยเฉพาะในยุคนี้ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ทรมานได้เท่ากับการเป็น nobody เพราะนั่นไม่ต่างจากการอยู่เหมือนคนตาย ถึงแม้จะมีกินมีใช้สะดวกสบายก็ตาม ไม่มีวิธีใดที่จะทำร้ายจิตใจของผู้คนได้มากเท่ากับการทำกับเขาประหนึ่งว่า เขาไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ ใช่หรือไม่ว่านั่นคือสาเหตุที่ผลักดันให้ผู้คนมากมายเลือกที่จะปลิดชีวิตตน เองมากกว่าที่จะทนอยู่ในสภาพดังกล่าว

มีกินมีใช้อย่างเดียวไม่พอ เราทุกคนยังต้องการเป็น somebody นั่นคือเป็นที่ยอมรับหรืออย่างน้อยก็เป็นรู้จักของผู้คน ยิ่งมากยิ่งดี ชื่อเสียงจึงเป็นยอดปรารถนาของผู้คนในเวลานี้ อะไรที่จะทำให้ตัวเองโดดเด่นเป็นที่รู้จักหรือมีชื่อเสียง ก็ยอมทำทั้งนั้น หากเด่นในทางดีไม่ได้ ก็พร้อมจะเด่นในทางที่เลว เพราะถึงอย่างไรก็ดีกว่าการทนอยู่ในสภาพ "ตายทั้งเป็น" ฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่งในสหรัฐอเมริกาให้สัมภาษณ์ว่า "ผมจะต้องฆ่าคนสักกี่คนถึงจะมีชื่อในหนังสือพิมพ์หรือได้รับความสนใจจากคน ทั้งประเทศ" เขาบ่นว่ากว่าจะได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเขาก็ต้องลงมือฆ่าไปแล้วหกคน

ยังดีที่สำนึกทางศีลธรรมทำให้คนส่วนใหญ่ยับยั้งชั่งใจ ไม่ใช้วิธีที่โหดร้ายดังกล่าวเพื่อประกาศตัวตนให้โลกรู้ แต่หันไปใช้วิธีอื่นแทน มีวิธีหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมกันมากเวลานี้และพบเห็นได้ไม่ไกลจากสุสานราชวงศ์หมิง ห่างออกไปไม่ถึง ๒๐ กม.คือกำแพงเมืองจีนที่พาดผ่านเหนือกรุงปักกิ่ง ความยิ่งใหญ่โด่งดังของกำแพงแห่งนี้ดึงดูดคนทั้งแผ่นดินจีนและจากทุกมุมโลก ไปเยี่ยมเยือนนับล้านคน เมื่อปีนขึ้นไปได้ไม่กี่สิบเมตร สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ก็คือเส้นสายลายมือบอกชื่อแซ่ที่เปรอะเปื้อนตลอดแนวกำแพง ยิ่งผนังภายในหอคอยหรือเก๋งจีนด้วยแล้ว ชื่อแซ่ทุกสีทุกขนาดและทุกภาษาจะปรากฏอย่างโดดเด่นเต็มตา ตรงไหนที่มีคนเดินผ่านมาก ก็ยิ่งมีชื่อแซ่เปรอะเปื้อนมากเท่านั้น

ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ทิ้งชื่อแซ่ของตนเอาไว้เป็นที่ระลึกอย่างแน่นอน ใช่หรือไม่ว่าเขาทำเช่นนั้นเพื่อประกาศตัวตนให้คนอื่นรับรู้ และที่ใดเล่าจะมีผู้คนรับรู้ถึงการประกาศนั้นได้มากเท่ากับที่กำแพงเมืองจีน สิ่งมหัศจรรย์ ๑ ใน ๗ ของโลก มองให้ลึกลงไป เขาไม่เพียงต้องการประกาศชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองเท่านั้น หากยังต้องการบอกว่า "มีกูอยู่ในโลกนี้ด้วยนะ"

ที่น่าคิดก็คือลำพังตัวเขาเองไม่เพียงพอหรือที่จะยืนยันว่า "มีกูอยู่ในโลกนี้ด้วยนะ" ทำไมถึงต้องให้คนอื่นร่วมรับรู้หรือเป็นสักขีพยานด้วย เป็นไปได้หรือไม่ว่าในส่วนลึกของจิตใจเราทุกคนสงสัยว่า "ตัวกู" มีอยู่จริงหรือ หรือว่า "ตัวกู" เป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นเอง มองในแง่ของพุทธศาสนา ความสงสัยดังกล่าวเป็นเรื่องธรรมดา เพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วอัตตาหรือ "ตัวกู" นั้นหามีจริงไม่ หากเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาหรือยึดมั่นเอาเองว่าเป็นตัวตน แต่ไม่ว่าจะยึดอะไรเป็นตัวตน ในที่สุดก็พบว่าไม่มีอะไรที่เป็นตัวตนอันเที่ยงแท้ยั่งยืนได้เลย แม้กระทั่งร่างกาย หรือจิตใจ จริงอยู่ในชีวิตประจำวันเรามักสำคัญตนว่า "กู" เป็นนั่นเป็นนี่ เช่น เป็นคนเก่ง เป็นคนดี เป็นพ่อ เป็นลูก เป็นคนไทย แต่บ่อยครั้งจะพบว่า "ตัวกู" หรือความสำคัญตนเช่นนั้นไม่เคยคงที่หรือคงตัวเลย หากแปรเปลี่ยนไปเสมอ สุดแท้แต่เหตุการณ์หรือปฏิสัมพันธ์กับผู้คน แม้แต่ความสำคัญตนว่า "กู" เป็นคนไทยก็หายไปเมื่อเจอคนบ้านเดียวกัน เกิดความสำคัญตนว่า "กู" เป็นคนขอนแก่นหรือภูเก็ตมาแทนที่

ความไม่เที่ยงแท้คงทนของ "ตัวกู" นี้เองที่ทำให้ในส่วนลึกของจิตใจ ผู้คนอดสงสัยไม่ได้ว่า "ตัวกู" นั้นมีจริงหรือไม่ แต่หากจะยอมรับความจริงว่า "ตัวกู" ไม่มีอยู่จริง "ตัวกู" ก็ยอมรับไม่ได้ ดังนั้นมันจึงพยายามทุกอย่างที่จะหาสิ่งต่างๆ มายืนยันว่า "ตัวกู" มีจริง ยิ่งมีผู้คนยืนยันมากเท่าไร ก็ยิ่งมั่นใจหรือหายสงสัยมากเท่านั้น การมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเป็นวิธีหนึ่งที่จะยืนยันกับตนเองว่า "ตัวกู" มีอยู่จริง ในทางตรงข้าม การไม่มีใครรู้จักหรือไม่อยู่ในสายตาของคนอื่นเลย เท่ากับตอกย้ำความสงสัยว่า "ตัวกู"ไม่มีจริง ซึ่งเป็นเรื่องเจ็บปวดมาก ดังนั้นการพยายามเผยแพร่ชื่อเสียงของตนจึงเป็นเรื่องใหญ่มากโดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน แต่สำหรับคนที่ไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง คงไม่มีวิธีใดที่ง่ายและสะดวกเท่ากับการทิ้งลายมือชื่อแซ่ไว้ตามที่สาธารณะ (รวมทั้งฉีดสเปรย์ตามกำแพงริมถนน) เพื่อยืนยันว่า "นี่กูนะ" หรือ "มีกูอยู่ในโลกนี้ด้วยนะ"

"ตัวกู"นั้นกลัวความขาดสูญเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นมันจึงปรารถนาความเป็นอมตะ แต่หากจะต้องตาย ก็หวังว่าจะมีโลกหน้าเพื่อให้ตัวตนได้สืบต่อ แต่ถ้าไม่เชื่อโลกหน้า ก็ยังหวังว่า "ตัวตายแต่ชื่อยัง" เพราะหากยังมีชื่อเสียงปรากฏแม้สิ้นลมไปแล้ว ก็เท่ากับว่าตนยังไม่ตาย (ความเชื่อดังกล่าวสะท้อนชัดเจนจากคำกล่าวของลองเฟลโลว์ กวีอเมริกันเมื่อพูดถึงไมเคิลแองเจโลว่า "เขาจะตายได้อย่างไรในเมื่อเขาอยู่อย่างเป็นอมตะในหัวใจของผู้คน") ด้วยเหตุนี้คนเราจึงกลัวที่จะถูกลืมหลังตาย (อาจกลัวถูกลืมมากกว่ากลัวตายด้วยซ้ำ)

แต่ที่ "ตัวกู" กลัวยิ่งกว่านั้นก็คือกลัวความจริงว่า "ตัวกู" ไม่มีอยู่จริง นี้คือปัญหาที่รบกวนจิตใจของผู้คนทั้งๆ ที่ยังห่างไกลจากความตาย ดังนั้นจึงพยามทำทุกอย่างเพื่อยืนยันว่า "ตัวกู"นั้นมีอยู่จริง อาทิ การสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักให้มากที่สุด รวมถึงการแสวงหาทรัพย์สมบัติและอำนาจเพื่อเติมเต็มความรู้สึกพร่องอันเนื่อง จากความสงสัยในความว่างเปล่าแห่งตัวตน (อนัตตา)

จักรพรรดิประกาศตัวตนและสนองความต้องการเป็นอมตะด้วยการสร้างสุสาน ส่วนคนเล็กคนน้อยที่ไม่สามารถสร้างอนุสาวรีย์ให้ตนเองได้ ก็มีวิธีประกาศให้ผู้คนรู้ว่า "นี่กูนะ" ด้วยการทิ้งชื่อเสียงเรียงนามไว้บนกำแพงเมืองจีนและสถานที่ท่องเที่ยว ยิ่งเป็นโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรและจะอยู่คู่โลกไปอีกนานแสนนาน ก็ยิ่งมีหวังว่าตนเองได้เป็นอมตะตามไปด้วย

แต่ความพยายามทั้งหมดนี้ย่อมล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเพราะความจริงก็เป็น ความจริงอยู่วันยังค่ำว่า "ตัวกู" นั้นหามีจริงไม่ และไม่มีอะไรเที่ยงแท้ยั่งยืนเลยแม้แต่อย่างเดียว

โดย... พระไพศาล วิสาโล

ที่มา คอลัมน์ ชวนสังคมคิด : http://www.budnet.org/

 

ความคิดเห็น

เขียนความคิดเห็น
ชื่อ:
หัวเรื่อง:
BBCode:Web AddressEmail AddressBold TextItalic TextUnderlined TextQuoteCodeOpen ListList ItemClose List
ความคิดเห็น:



รหัส:* Code

Powered by AkoComment 2.0!

< ก่อนหน้า   ถัดไป >