บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
โด่งดังอย่างว่างเปล่า : พระไพศาล วิสาโล |
Wednesday, 22 July 2009 | ||||
โด่งดังอย่างว่างเปล่าสารคดี ฉบับเดือน ตุลาคม 2551 ลาซาร์ ปองตีเซลลี เป็นทหารผ่านศึกที่มีอายุยืนมากที่สุดของฝรั่งเศส เขาเพิ่งเสียชีวิตเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาด้วยวัย ๑๑๐ ปี เมื่อยังมีชีวิตอยู่เขามักได้รับการร้องขอให้เล่าประสบการณ์ในสมรภูมิสมัย สงครามโลกครั้งที่ ๑ มีเหตุการณ์ตอนหนึ่งที่เขาไม่ลืมเลย ครั้งนั้นกองร้อยของเขาได้ตรึงกำลังอยู่ในสนามเพลาะเพื่อต้านทานกองทัพ เยอรมัน ฝ่ายตรงข้ามได้รุกประชิดเข้ามาเรื่อยๆ ด้วยกำลังพลที่เหนือกว่ามาก เพื่อนของเขาคนหนึ่งรู้ตัวว่าไม่รอดแน่ ๆ ประโยคสุดท้ายที่เพื่อนผู้นั้นสั่งลาเขาก็คือ "ถ้าฉันตาย แกอย่าลืมฉันนะ" เหตุการณ์ดังกล่าวดูเหมือนไม่สลักสำคัญอะไร เพราะหลายคนก็พูดอย่างนั้นก่อนตาย ถ้าไม่ใช่ในสนามรบ ก็บนเตียงที่บ้าน หรือในโรงพยาบาล แต่ประเด็นที่น่าคิดก็คือในเมื่อรู้ว่ากำลังจะตาย และถ้าตายก็จะไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกแล้ว ทำไมผู้คนจึงกลัวที่จะถูกลืม ทำไมถึงอยากให้เพื่อนๆ คนรัก หรือลูกๆ ยังระลึกถึงเขาอยู่ การกลัวถูกลืมหรือการอยากให้คนอื่นจดจำตนเองได้หลังตายไปแล้ว เป็นสิ่งที่ฝังใจผู้คนในยุคปัจจุบัน ถ้าเป็นคนธรรมดาก็อยากให้มีการบันทึกประวัติของตนเอาไว้ ถ้ามีกำลังทรัพย์มากก็อยากให้มีตึก สถานที่ หรือมูลนิธิตั้งในชื่อของตน ถ้าเป็นคนเด่นคนดังก็อยากให้มีการสร้างอนุสาวรีย์ให้ตนหรือมีชื่อจารึกใน ประวัติศาสตร์ ส่วนนักเขียนหรือศิลปินก็ปรารถนาให้ผลงานของตนยั่งยืนเป็นอมตะ แต่เป็นอมตะอย่างเดียวไม่พอ ต้องให้คนรุ่นหลังรู้ด้วยว่านั่นเป็นผลงานของตน ใช่หรือไม่ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะในส่วนลึกของใจทุกคนต้องการเป็นอมตะ ปรารถนาตัวตนที่ยั่งยืน คนทั่วไปย่อมถือว่าร่างกายนั้นเป็นตัวตน และพยายามทุกอย่างเพื่อให้ร่างกายยั่งยืนตลอดกาล แต่เมื่อรู้แน่แก่ใจว่าร่างกายนั้นไม่จิรัง สักวันต้องแตกดับ ก็อดไม่ได้ที่จะเอาตัวตนไปผูกติดกับสิ่งอื่นที่ยั่งยืนกว่า หรือไปยึดเอาสิ่งอื่นที่ยั่งยืนกว่ามาเป็นตัวตนแทน หนึ่งในสิ่งนั้นคือ "ชื่อเสียง" แม้ตัวจะตาย แต่ถ้าชื่อเสียงคงอยู่ ก็เท่ากับว่าตัวตนยังสืบเนื่องต่อไป และสนองความรู้สึกอยากเป็นอมตะ คนเราแม้จะกลัวตายแต่ก็ยังน้อยกว่ากลัวตัวตนขาดสูญ หากจะต้องตายแต่ถ้ามั่นใจว่าตัวตนยังคงอยู่ ก็พร้อมที่จะตาย ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนจำนวนมากยอมสละชีวิตเพื่อชาติหากมั่นใจว่า "ตัวตายแต่ชื่อยัง" การที่ชื่อเสียงของตนถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติหรือมีอนุสาวรีย์ให้ คนจดจำระลึกถึง เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ผู้คนในยุคปัจจุบันมั่นใจว่าตัวตนของตนจะยังสืบเนื่อง ต่อไป แม้ร่างกายจะหาไม่แล้วก็ตาม ชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนสมัยนี้มาก สาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็เพราะคนยุคนี้เชื่อเรื่องชาติหน้าน้อยลง ความลังเลสงสัยในเรื่องชาติหน้าหรือไม่เชื่อเอาเลย แม้จะดูมีเหตุผลหรือสอดคล้องกับความคิดแบบวิทยาศาสตร์ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้ผู้คนทำใจยอมรับความตายได้ยาก เพราะนั่นหมายความว่าตัวตนจะดับสูญไปเลย เว้นเสียแต่ว่าจะมีหลักประกันให้มั่นใจว่าตัวตนจะยังคงอยู่ต่อไปหลังสิ้นลม แล้ว ชื่อเสียงที่ยังคงอยู่(หรือยังมีคนจดจำเราได้) มีความสำคัญก็เพราะ แม้มันไม่ใช่หลักประกันที่มั่นคง แต่ก็พอปลอบใจเราได้บ้างว่าตัวตนจะยังคงอยู่ต่อไปหลังตายแล้ว ดังนั้นสำหรับคนที่ต้องการเป็นอมตะไม่มีอะไรดีกว่าการสร้างชื่อให้ปรากฏแก่ ผู้คน ลองเฟลโลว์ กวีอเมริกันสะท้อนทัศนะนี้อย่างชัดเจนเมื่อเขาพูดถึงไมเคิลแองเจโลว่า "เขาจะตายได้อย่างไรในเมื่อเขาอยู่อย่างเป็นอมตะในหัวใจของผู้คน" ส่วนฟรอยด์ก็พูดถึงความเป็นอมตะว่า หมายถึง "การเป็นที่รักของบุคคลนิรนามมากมาย" เมื่อเปรียบเทียบกับคนในอดีต(ก่อนยุคสมัยใหม่)จะเห็นความแตกต่างได้ ชัดเจน ชื่อเสียงมีความหมายกับคนเหล่านั้นน้อยมาก คนไทยแต่ก่อนอยู่และตายโดยไม่สนใจที่จะทิ้งชื่อเสียงเรียงนามเอาไว้ หากย้อนหลังไปไม่กี่ชั่วอายุคนก็แทบจำไม่ได้แล้วว่าบรรพบุรุษมีชื่อว่าอะไร ช่างและศิลปินชั้นครูรังสรรค์ผลงานโดยไม่เคยจารึกชื่อเอาไว้ สำหรับคนในยุคก่อนสมัยใหม่ ชาตินี้ไม่ใช่ชาติเดียวที่มีอยู่ แต่ยังมีชาติหน้า ตายไปก็ยังมีชาติหน้าให้ไปเกิดใหม่ ไม่ได้จบสิ้นกันที่ชาตินี้ การตายในชาตินี้จึงมิได้หมายถึงการสิ้นสุดของตัวตน แต่ยังมีความสืบเนื่องต่อไปอีก ชื่อเสียงจะยังคงอยู่หรือไม่ในชาตินี้จึงไม่มีความสำคัญมากเท่าไร จะว่าไปแล้วแม้แต่ทรัพย์สินเงินทองในชาตินี้ก็ไม่สำคัญมากเช่นกัน เพราะชาตินี้เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งในวัฏสงสารอันไม่มีประมาณ สำหรับคนชาติอื่นศาสนาอื่นซึ่งเชื่อว่ามีชีวิตหลังตายหรือมีสวรรค์รองรับ ก็เห็นเช่นกันว่ายังมีตัวตนสืบต่อหลังจากสิ้นลมในชาตินี้ ดังนั้นจึงไม่ดิ้นรนสนใจว่า "ตัวตายแต่ชื่อยัง"หรือไม่ อย่างไรก็ตามในระยะหลังเราจะพบว่าผู้คนไม่ได้แสวงหาชื่อเสียงเพื่อให้ใคร ๆ จดจำได้หลังตนตายไปแล้วเท่านั้น แต่ยังต้องการเด่นดังในขณะที่มีชีวิตอยู่ และหากเด่นดังในทางดีไม่ได้ก็พร้อมจะเด่นดังในทางร้าย เช่น ทำตัวเสื่อมเสีย มีพฤติกรรมท้าทายศีลธรรม หรือถึงกับทำร้ายคนดัง และยิงกราดผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ส่วนหนึ่งก็เพราะต้องการประชดสังคมและระบายความคับแค้นใส่ผู้คน แต่สาเหตุสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ก็คือต้องการทำตัวให้เป็นข่าว ฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเปิดเผยความในใจว่า "ผมจะต้องฆ่าคนกี่คนถึงจะมีชื่อในหนังสือพิมพ์หรือได้รับความสนใจจากคนทั้ง ประเทศ" เขาบ่นว่าหลังจากฆ่าไปแล้ว ๖ คนเขาถึงจะเป็นที่สนใจของสื่อมวลชน อะไรทำให้ผู้คนอยากเด่นอยากดัง เป็นที่รู้จักกว้างขวาง ถ้าตอบอย่างท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ สาเหตุนั้นอยู่ที่ "ปมเขื่อง" อันเป็นธรรมชาติของอัตตา หรือ "ตัวกู"ที่ต้องการประกาศตัวตนให้เป็นที่รู้จักหรือยกย่องสรรเสริญ ยิ่งกว่านั้นคือมันต้องการเป็นใหญ่เหนือผู้อื่น ตัวกูทนไม่ได้ที่จะอยู่ด้อยหรือต่ำกว่าคนอื่น ดังนั้นถ้าเด่นในทางดีไม่ได้ ก็ขอเด่นในทางร้าย ปมเขื่องนั้นต้องการความเด่น แต่ถ้าเด่นแล้วแม้ไม่ดัง ก็น่าจะสนองปมเขื่องแล้ว (เช่น เป็นใหญ่ในครอบครัวหรือที่ทำงาน) แต่อาการที่เกิดขึ้นกับคนในยุคนี้ก็คือ อยากดังด้วย นั่นคือเป็นที่รู้จักกว้างขวางผ่านสื่อต่าง ๆ หากความอยากดังนั้นไม่ใช่เป็นเพราะปมเขื่องอย่างเดียว มีอะไรเป็นสาเหตุเบื้องหลังหรือไม่ เดวิด ลอย นักปรัชญาและอาจารย์เซนชาวอเมริกันมีคำอธิบายที่น่าสนใจ ในทัศนะของเขา สาเหตุที่อยู่เบื้องหลังความอยากดังก็คือความรู้สึกในส่วนลึกว่า "ตัวกู"นั้นไม่มีอยู่จริง หากเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา ทัศนะดังกล่าวอิงแนวคิดทางพุทธศาสนาที่ว่าตัวตนที่เที่ยงแท้นั้นไม่มีอยู่ จริง (อนัตตา) ไม่มีอะไรที่ยึดถือเป็นตัวตน หรือ "ตัวกู ของกู"ได้เลย หากเป็นเพราะอวิชชาหรือความหลง จึงเกิดการปรุงแต่งหรือยึดมั่นสำคัญหมายว่าเป็น "ตัวกู ของกู"ขึ้นมา อะไรที่ไม่มีอยู่จริง มันย่อมไม่คงที่คงทน ความไม่คงที่คงทนของ "ตัวกู" เป็นสิ่งที่จิตเราพอจะรับรู้ได้ เพราะสังเกตได้ว่าตัวกูนั้นเกิดดับและแปรเปลี่ยนอยู่เรื่อย เดี๋ยวก็รู้สึกว่ากูเป็นนั่น เดี๋ยวก็รู้สึกว่ากูเป็นนี่ เมื่อกี้เป็นแม่ (เวลาเจอลูก) แต่ตอนนี้เป็นภรรยา (เวลาเจอสามี) และบางครั้งก็รู้สึกว่าตัวกูหายไป ด้วยเหตุนี้เดวิด ลอยเชื่อว่าในส่วนลึกของจิตใจ เราทุกคนมีความสงสัยหรือรู้สึกตงิด ๆ ว่าตัวกูนั้นไม่มีอยู่จริง แต่ความสงสัยหรือความสำนึกรู้ดังกล่าวเป็นสิ่งที่จิตไม่สามารถยอมรับได้ เพราะเท่ากับว่ามันเองก็ไม่มีตัวตนหรือแก่นแท้ที่คงทนยั่งยืน สิ่งที่จิตพยายามทำก็คือกดความสงสัยหรือความสำนึกรู้ดังกล่าวเอาไว้ในจิต ไร้สำนึก แต่อะไรที่กดไว้ในจิตไร้สำนึกในที่สุดย่อมผุดโผล่ออกมาในรูปลักษณ์ใหม่ที่ บิดเบี้ยวและสร้างความปั่นป่วนในจิตใจไม่หยุดหย่อน ผลก็คือจิตเกิดความรู้สึกอ้างว้าง ว่างเปล่า โหวงเหวง ไม่มั่นคง หรือรู้สึกพร่องตลอดเวลา ทำให้อยากมีอยากครอบครองตลอดเวลา เพื่อเติมเต็มความรู้สึก แต่แม้จะได้มาเท่าไรก็ไม่รู้สึกพอเสียที (ดูเพิ่มเติมใน "ชีวิตที่ต้องมีความอ้างว้างเป็นเพื่อน"ของผู้เขียนในสารคดี เล่มที่..............) ในอีกด้านหนึ่งจิตก็พยายามหาสิ่งต่าง ๆ มายืนยันว่าตัวกูนั้นมีอยู่จริง และสิ่งที่จะช่วยยืนยันตัวกูว่ามีจริงก็คือการเป็นที่รู้จักของคนอื่นนั่น เอง เราอยากให้คนอื่นรู้จักเรา ไปไหนก็มีคนทักและพูดถึงก็เพราะเขาจะได้เป็นเครื่องยืนยันว่าเรายังมีตัวตน อยู่ ตรงกันข้ามหากไม่มีใครรู้จักเราเลย ก็เท่ากับว่าเราไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่จะทำร้ายคนในยุคนี้เท่ากับความรู้สึกว่าตนเป็น nobody เพราะนั่นไม่ต่างจากการอยู่เหมือนคนตาย คนทุกคนย่อมต้องการเป็น somebody ถ้าไม่มีใครรู้จัก ก็ต้องพยายามทุกวิถีทางแม้จะต้องทำสิ่งชั่วร้าย ทั้งนี้เพื่อให้สายตาของผู้คนทุกคนจดจ้องมาที่ตนเอง เพราะนั่นเป็นการยืนยันว่าฉันมีตัวตนอยู่จริง ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงหรือความโด่งดังจึงเป็นยอดปรารถนาของคนในยุคปัจจุบัน มันเป็นหลักประกันว่าเราจะเป็นที่รู้จักของผู้คน และนั่นหมายความว่า "เราจะรอดพ้นจากการตายทั้งเป็นเพราะไร้คนรู้จัก" ดังคำของลีโอ บรอดีนักคิดชาวอเมริกันอีกผู้หนึ่ง อันที่จริงความรู้สึกพร่องเป็นปัญหาของคนทุกยุคทุกสมัย แต่คนสมัยก่อนมีวิธีอื่นที่บรรเทาความรู้สึกพร่อง วิธีเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นวิธีการทางศาสนา เช่นการทำความดีหรือสร้างบุญกุศลด้วยความเชื่อว่าจะความทุกข์ทั้งปวง(รวม ทั้งความรู้สึกพร่อง)จะถูกปลดเปลื้องในสรวงสวรรค์ หรือการมีศรัทธามั่นในพระเจ้าทำให้รู้สึกเต็มอิ่มในจิตใจ ตลอดจนการภาวนาให้จิตใจมั่นคงเกิดความสงบ ไม่ถูกรบกวนอย่างต่อเนื่องด้วยความรู้สึกพร่อง สำหรับพุทธศาสนา วิธีที่ปลดเปลื้องความรู้สึกพร่องอย่างสิ้นเชิงก็คือการมองตนอย่างลึกซึ้งจน เห็นความจริงอย่างแจ่มแจ้งว่าตัวกูนั้นไม่มีอยู่จริง สามารถปล่อยวางความยึดติดถือมั่นหรืออาลัยในตัวกูได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องกดซ่อนมันไว้ในจิตไร้สำนึกเพื่อสร้างความปั่นป่วนจิต ใจอีกต่อไป แต่คนยุคปัจจุบันนั้นมักไม่เชื่อวิธีการทางศาสนา ทั้งไม่หวังว่าความรู้สึกพร่องจะบรรเทาได้ในชาติหน้า เพราะไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริง ยิ่งกว่านั้นยังถูกครอบงำด้วยความคิดแบบปัจเจกนิยม แยกตัวเองออกจากชุมชน (ซึ่งมีวิธีการหลายอย่างที่บรรเทาความรู้สึกพร่องได้แม้ชั่วคราวก็ตาม) เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับตัวเองและไม่สนใจอะไรอย่างอื่นนอกจากเรื่องของตน ความรู้สึกพร่องจึงรบกวนจิตใจตลอดเวลา ซึ่งนอกจากจะผลักดันให้แสวงหาวัตถุสิ่งเสพมาครอบครองเพื่อเติมเต็มจิตใจแล้ว ยังดิ้นรนไขว่คว้าหาชื่อเสียงและความเด่นดังไม่หยุดหย่อน เพื่อเป็นเครื่องยืนยันตัวตนว่ามีจริง และจะยังคงอยู่เป็นอมตะไปตลอดแม้ดินกลบร่างแล้วก็ตาม น่าเศร้าก็ตรงที่ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดังเพียงใด ก็ไม่เคยพอใจเสียที มีชื่อเสียงก้องโลกก็ยังทุกข์ ทั้งๆ ที่เป็น somebody แล้วก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ นั้นไม่ใช่ชื่อเสียง หากคือความมั่นใจว่าตัวกูมีอยู่จริง แต่ในเมื่อตัวกูไม่เคยมีอยู่จริง การปฏิเสธความจริงข้อนี้จึงทำให้เป็นทุกข์ไม่หยุดหย่อน แม้จะเป็นดาราชื่อดังหรือเศรษฐีอันดับ ๑ ของโลกก็ตาม นี้คือความทุกข์อันยากจะปลดเปลื้องได้ของคนในยุคปัจจุบัน โดย... พระไพศาล วิสาโล
จาก คอลัมน์ ชวนสังคมคิด : http://www.budnet.org/
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|