บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
โรงเรียนวันอาทิตย์...เพื่อสิทธิแรงงานพม่า |
Thursday, 23 April 2009 | |||
โรงเรียนวันอาทิตย์...เพื่อสิทธิแรงงานพม่ากองบรรณาธิการวารสารผู้ไถ่ เรื่อง/สัมภาษณ์ ลึกเข้าไปในซอยพญานาค ข้างโรงแรมเอเชีย ราชเทวี มีโรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ป้ายชื่อหน้าโรงเรียน อ่านได้ว่า "โรงเรียนสัมมาชีวศิลป์" ตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ ที่นี่จะเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กเล็กๆ แต่เมื่อถึงวันอาทิตย์ อย่าแปลกใจ เพราะเราจะเห็นนักเรียนที่เป็นหนุ่มสาวตัวโตๆ ในชุดฟอร์มสีขาวและกางเกงหรือกระโปรงสีดำ จำนวนนับร้อยๆ คนเข้ามานั่งประจำชั้นเรียน หัดอ่าน หัดเขียน ก ไก่ ก กา ด้วยสำเนียงแปร่งๆ ที่ฟังดูก็รู้ได้ทันทีว่า พวกเขาไม่ใช่คนไทยแน่ๆ ลองไปทำความรู้จักกับนักเรียนเหล่านี้กันว่า เธอและเขาเหล่านั้นเป็นใครและทำอะไรกันบ้าง ชมพู่ เป็นชื่อไทยๆ ที่เธอใช้เรียกแทนตัวเองเมื่ออยู่ในเมืองไทย หากดูจากหน้าตาและการแต่งตัวแล้ว ชมพู่ไม่แตกต่างจากเด็กสาววัยรุ่นไทยทั่วๆ ไปเลย ด้วยวัย ๒๑ ปี หากเทียบกับคนวัยเดียวกัน ขณะนี้ก็คงจะเรียนระดับมหาวิทยาลัย แต่ชมพู่ทำงานแล้ว งานที่ชมพู่ทำ เขาเรียกกันง่ายๆ แต่ได้ใจความว่า "แจ๋ว" ชมพู่เล่าว่า "เข้ามาอยู่ในไทยตั้งแต่อายุ ๑๓ - ๑๔ ปี มาอยู่กับพี่สาวสองคน พี่สาวคอยดูแลตลอด แต่ตอนนี้พี่สาวแต่งงานกับคนไทยแล้ว หนูก็อยู่คนเดียว ตอนแรกเข้ามาทำงานบ้าน ช่วยเจ้านายทำงานทุกอย่าง อยู่แถวประชาชื่น แล้วก็ย้ายมาทำงานโรงงานแถวอ้อมน้อย แรกๆ ยังไม่มีบัตร ก็ไม่กล้าออกไปไหน เจ้านายก็ไม่ให้ออกจากบ้านเลยปีหนึ่ง เขาก็ดี สอนเราทุกอย่าง พอได้บัตร (แรงงานต่างด้าว) ตอนปี ๔๗ เขาก็พาไปเที่ยว ไปไหนเขาก็พาไป"
เมื่อโลกแห่งอิสรภาพเปิดกว้างขึ้นสำหรับชมพู่ โอกาสดีๆ ที่แรงงานข้ามชาติคนหนึ่งจะได้พัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการศึกษาจึงเริ่มขึ้นที่โรงเรียนสอนภาษาให้กับแรงงานพม่าแห่งนี้ คุณเมี่ยน เว - ชาวพม่า เป็นรองผู้อำนวยการของ กรพ. หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Deputy Director ; THAI Action Committee for Democracy in Burma (TACDB) คุณเมี่ยน เวเป็นผู้จัดการโรงเรียนสอนภาษาให้แรงงานพม่า เขาเล่าให้ฟังถึงที่มาของโรงเรียนแห่งนี้ว่า "โครงการนี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมของ กรพ. มีชื่อเต็มว่า "Development of Education and Awareness for Refugees from Burma" หรือ "DEAR Burma" เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๓ เปิดสอนภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และคอมพิวเตอร์ รวมทั้งให้ความรู้เรื่องต่างๆ เช่น เรื่องกฎหมาย เรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิสตรี โดยแต่ละคอร์สใช้เวลา ๓ เดือน เรียนทุกวันอาทิตย์ ต่อมาปี ๒๕๔๖ เราจึงมาขอใช้สถานที่ของโรงเรียนสัมมาชีวศิลป์ เป็นที่จัดการเรียนการสอน" สำหรับเงินทุนในการดำเนินโครงการนี้ส่วนหนึ่งมาจากเงินบริจาค และอีกส่วนหนึ่งมาจากค่าลงทะเบียนเรียนจากแรงงานพม่าที่มาเรียน สำหรับวิชาภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในอัตราคอร์สละ ๒๐๐ บาท ส่วนวิชาคอมพิวเตอร์คอร์ส ละ ๔๐๐ บาท เฉพาะนักเรียนที่ผ่านการเรียนพื้นฐานภาษาอังกฤษมาแล้ว ปัจจุบันมีนักเรียน ๗๑๖ คน และครูอาสาสมัคร ทั้งชาวไทยซึ่งเป็นนักศึกษาจาก สนนท. ชาวพม่าที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย และชาวต่างประเทศที่ทำงานในโรงเรียนนานาชาติ รวมประมาณ ๓๐ คน คุณเมี่ยน เว บอกว่า "เพราะสังคมไทยเห็นว่าแรงงานพม่าน่ากลัว จะตัดคอ เอาสิ่งของ โรงเรียนเราจึงมีวัตถุประสงค์ว่า เราต้องแต่งตัวเรียบร้อย ต้องมีชุดนักเรียน แสดงให้เห็นว่า เราก็มีความรู้ เราก็เป็นคนดี ถึงแม้จะมีปัญหาการเมือง แต่เราซึ่งมีทั้งกะเหรี่ยง มอญ ไทยใหญ่ เรามาจากประเทศเดียวกัน ตอนนี้เรามาอยู่ในประเทศเดียวกัน เราไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ไม่แบ่งแยกศาสนา เราเป็นแรงงานข้ามชาติ เราเป็นชีวิตเดียวกัน ต้องร่วมมือ สามัคคีกัน" สถานที่แห่งนี้จึงถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางให้แรงงานพม่าได้มาพบปะสังสรรค์กัน ได้แลกเปลี่ยนความคิด ความรู้สึก แลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานระหว่างกันและกัน เป็นชุมชนชาวพม่าที่แฝงตัวอยู่อย่างถ่อมตนและสงบเงียบ ซ่อนตัวจากการรับรู้ของผู้คนในเมืองใหญ่ ท่ามกลางความศิวิไลซ์มายาวนานถึง ๖ ปีแล้ว สำหรับชาวพม่าด้วยกันเองแล้ว ที่นี่มีความหมายสำหรับพวกเขาอย่างไรกันบ้าง กลับมาที่ชมพู่กันต่อ ชมพู่เล่าว่า "มารู้จักที่นี่จากพี่สาว เขามีเพื่อนเยอะ เขามาเรียนก่อน พี่สาวพามา มาเริ่มเรียนหนังสือที่นี่ ตอนแรกๆ พูดไทยได้นิดหน่อย เรียน ก ไก่ ข ไข่ มาเรียนหลายคอร์สแล้ว มาที่นี่เพื่อนเยอะ ได้ความรู้เยอะ ครูก็สอนหนังสือเก่ง อะไรไม่ดีเขาก็บอก คอยชี้แนะ พอเรามีความรู้ เราจะได้ไม่ต้องน้อยใจใคร เพราะคนไทยบางทีก็แซวเราเล่นสนุกๆ เราพูดไทยไม่ชัด เขาก็แซวเรา ล้อเล่น บางทีเราก็เสียใจ บางอย่างเขาก็ดี บางอย่างเขาก็ดูถูกเหมือนกัน เราก็ต้องอดทน เขาดูถูกว่า เราเป็นคนต่างด้าว จะมาคบหากัน อยู่ด้วยกันลักษณะเดียวกับเราไม่ได้ จะต้องแตกต่างจากเรา"
นอกจากชมพู่แล้ว เรายังได้รู้จักกับ ฝน วัย ๒๒ ปี หากไม่บอกว่าเธอเป็นสาวพม่า คุณต้องคิดว่าเธอเป็นสาวใต้ตาคมเป็นแน่ ฝนทำงานอยู่ร้านตัดเสื้อผ้าแถวดินแดง เธอเป็นนักเรียนอีกคนหนึ่งที่เข้ามาหัดเรียนเขียนอ่านภาษาไทยที่นี่จนกระทั่งปัจจุบัน เธอพัฒนาขึ้นจนสามารถช่วยเป็นอาสาสมัครสอนภาษาไทยให้กับเพื่อนๆ แรงงานข้ามชาติรุ่นน้องๆ อีกด้วย เมื่อคุยกับฝนถึงเรื่องการมาเรียนและช่วยงานที่นี่ ดวงตาเธอฉายประกายแห่งความสุขเมื่อพูดให้ฟังว่า "วันอาทิตย์เป็นวันที่ตื่นเต้นที่สุด จะได้มาเจอเพื่อนๆ ตื่นมาตั้งแต่ตีห้า ทำนู่นทำนี่ แล้วก็ออกมาประมาณ ๘ โมงเช้า มาเจอเพื่อนๆ กินอะไรกันแถวๆ นี้ แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน" ยังมีหนุ่มน้อยอีกคนหนึ่งชื่อ โกเซ็น อายุ ๒๒ ปี มีอาชีพเป็นยามรักษาความปลอดภัยประจำตลาดย่านสาธร "รู้จักที่นี่ตั้งแต่ตอนปี ๔๘ ก็มาเรียน ได้พัฒนาเรื่องภาษาไทย ภาษา อังกฤษ เราต้องใช้ความพยายามมาก คอมพิวเตอร์เราก็มาได้เรียนรู้ที่นี่" โกเซ็นเป็นยามกะกลางคืน เข้างานหนึ่งทุ่ม เลิกงานเจ็ดโมงเช้า ถ้าเป็นเมื่อก่อน โกเซ็นก็มาเรียนทุกวันอาทิตย์ แต่ปัจจุบันเขากลายมาเป็นอาสาสมัครคนหนึ่งของ กรพ. "ตอนนี้ช่วยงานหนังสือพิมพ์ภาษาพม่าบนเว็บไซต์ เป็นสื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารของคนพม่าในไทยและในพม่า โดยนำมาซีร็อกซ์จัดส่งให้สมาชิก มาทำให้ฟรี ว่างก็มาช่วย กลางวันว่างเพราะเฝ้ายามตอนกลางคืน บางทีก็มาทุกวัน แล้วแต่ว่างานที่นี่เยอะไหม ถ้างานเยอะก็ต้องมาให้ได้ เพราะถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีใครทำ มาช่วยแล้วก็กลับไปทำงานต่อ เหนื่อยก็เหนื่อย แต่เราตั้งใจมาช่วย ภูมิใจที่ได้มาช่วย คิดว่าจะช่วยต่อไปอีกนาน เพราะใจชอบที่ได้ทำแบบนี้ สนุกดี ได้เพื่อนเยอะ ไม่ได้ทำคนเดียว" โกเซ็นคุยให้เราฟัง ไม่เพียงคนหนุ่มสาวเท่านั้นที่มาเรียน พี่ยุพิน อายุ ๔๖ ปี ซึ่งทำงานเป็นแม่บ้านให้เจ้าของกิจการอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ คำพูดของเธอที่ว่า "ตอนยังไม่รู้หนังสือก็เหมือนอยู่ในความมืด พอรู้หนังสือแล้วก็เหมือนเราได้เห็นแสงสว่าง" ทำให้เราได้เห็นถึงคุณค่าและความสำคัญของโรงเรียนแห่งนี้ที่มีต่อแรงงานพม่าที่เข้ามาทำงานในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลใกล้เคียงยิ่งขึ้น "เพิ่งมาเรียนได้แค่ ๒ เดือน เมื่อก่อนไม่เคยรู้ว่ามีโรงเรียนนี้ แต่ก่อนอยู่แต่บ้านและไปโบสถ์ ไม่เคยไปไหน ไม่ได้ติดต่อกับใครเลย พี่ดีใจมากที่ได้มารู้จักกับอาจารย์ ได้ความรู้มากเลยตอนนี้ เมื่อก่อนไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่รู้ภาษาไทย ไปไหนก็หลงทางบ่อยเพราะเราไม่รู้ภาษาไทย ตอนนี้อ่านหนังสือได้ ไปไหนก็รู้ว่าซอยอะไร หมู่บ้านอะไร ไปโรงพยาบาล ไปไหนก็ได้ เมื่อก่อนต้องถามเขาตลอด ก็ดีใจและขอบคุณอาจารย์" คุณเมี่ยน เว เสริมในเรื่องนี้ว่า "ตอนนี้ชีวิตแรงงานดีขึ้น มีที่เป็นแม่บ้านแล้วนายจ้างให้ช่วยเรื่องคอมพิวเตอร์ด้วย ก็มีการพูดคุยใกล้ชิดขึ้น มีนายจ้างบางรายมีปัญหาชีวิตคู่ ก็พูดคุยปรับทุกข์กับลูกจ้างพม่าก็มี บางคนเคยทำงานล้างจานในร้านอาหาร แต่พอพูดภาษาอังกฤษได้ เจ้าของก็เลื่อนขึ้นเป็นพนักงานเสิร์ฟก็มี" โรงเรียนสำหรับแรงงานพม่าแห่งนี้ อาจนำมาซึ่งคำถามสำหรับใครอีกหลายคนว่า "ทำไมต้องมีโรงเรียนสอนคนพม่า เดี๋ยวก็มาแย่งงานคนไทยหมด" คงต้องฟังคำตอบจากคุณเมี่ยน เว "ประชาชนพม่าเราโดนทำร้ายจมลงมากว่า ๔๐ ปีแล้ว บางคนที่นี่เป็นการศึกษาแรกของเขา ไม่ว่าจะเป็น มอญ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ รัฐบาลทหารพม่าทำลายโรงเรียนทำให้เขาไม่ได้เรียนหนังสือ เรียนๆ อยู่เดี๋ยวก็ยิงกัน ทำสงครามกัน บางคนหนีมาตอนอายุ ๑๕ - ๑๖ ปี ตอนนี้อายุ ๑๘ ปีแล้ว ไม่เคยได้เข้าโรงเรียน อย่างน้อยตอนนี้เขาได้เรียนหนังสือ เขาบอกได้ว่า เขาก็มีครู ทั้งครูฝรั่ง ครูไทย ครูพม่าก็เรียนถึงมหาวิทยาลัย คนรุ่นนี้เขาโตมา เขาคิดจะกลับบ้าน เขาไม่ได้คิดจะอยู่เมืองไทยตลอด เขากลับไปเขาจะได้เอาสิ่งที่ดีๆ กลับไปใช้พัฒนาประเทศ พัฒนาสังคม เพราะจุดประสงค์ของโรงเรียน คือ ให้เขาเข้าใจสังคมไทยและสังคมพม่า เขาก็จะได้เข้าใจซึ่งกันและกัน เมื่อเขาได้รับความรู้ เขาก็มีศักยภาพมากขึ้น เขาก็ได้รับโอกาส ผมอยากให้เขาภูมิใจในตัวเอง เมื่อเขามีความรู้ เขาก็นำความรู้กลับไปพม่า ไปสร้างสังคมพม่าให้ดีขึ้น" ในฐานะชาวพม่าคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือพี่น้องร่วมชาติของเขา แม้ฝันที่จะได้กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนจะดูไกลเกินเอื้อม ฝันที่จะเห็นประชาธิปไตยเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเขาก็ดูลางเลือน แต่สิ่งที่เขาทำได้ ณ ปัจจุบัน กับโรงเรียนสอนภาษาเพื่อแรงงานพม่าแห่งนี้ดูจะเป็นคำตอบ สำหรับแรงงานพม่ารุ่นแล้วรุ่นเล่าเพราะอย่างน้อยที่นี่ก็เป็นชุมชนเป็นสถานที่ให้อัตลักษณ์และตัวตนของพวกเขายังดำรงอยู่ แม้จะอยู่บนดินแดนที่ไม่ใช่บ้านเกิด แต่ก็เป็นเมืองที่เขาจะได้หลับอย่างเต็มตื่น
ทำร้านข้าวมันไก่ อยู่แถวคลองเตย ลูกจ้างเขามาเรียน เขามาบอกเรา เราก็ให้มาเรียน เราก็สอบถามว่า เรียนที่ไหน ยังไง วันอาทิตย์เขามีเวลาว่างก็ให้เขามาเรียนได้ ดูว่า เขามีวิชาอะไรเรียนบ้าง วันนี้แวะมาดู อาจจะมาเข้าเรียนกับเขาบ้าง อยากมาฟื้นวิชาเก่าๆ ที่เราเคยเรียน อยากมาเรียนภาษาอังกฤษ และคอมพิวเตอร์ เพราะตอนนี้มีคอมพิวเตอร์ไว้ จะเก็บข้อมูลการขาย แต่ก่อนใช้ไหว้วานคนอื่น ถามเขาว่าคลิกอะไรตรงไหน ลูกจ้างก็ช่วยเราได้ เขาจะจบคอร์ส เราก็เลยตามมาดูเขาวันนี้ อาทิตย์ก่อนมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาจัดงานปีใหม่ คนเยอะ เห็นเขาจะปิดคอร์สแล้ว จะเริ่มคอร์สใหม่ เลยมาสอบถาม จะได้เริ่มเรียนคอร์สใหม่
ทำงานเป็นศิลปินอิสระ เพื่อนแนะนำมา เค้าทำงานอยู่ใน กรพ. เค้าแนะนำว่ามีนักเรียนกลุ่มหนึ่งอยากเรียนศิลปะ ก่อนหน้านี้มีครูมาสอน แต่ตอนนี้เค้าไม่ว่างมาสอน เราสนใจอยู่พอดีก็เลยมา มาช่วยตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว มีนักเรียนมาเรียน ๑๐ กว่าคน สอนภาคเช้าและบ่าย มาสอนเกือบทุกอาทิตย์ ถ้าไม่ว่างก็สลับกับเพื่อน สนใจและอยากหาประสบการณ์ และรู้สึกว่าได้แลกเปลี่ยนกับนักเรียน
ตอนอยู่ภูเก็ตก็รู้จักคนพม่าอยู่ เมื่อก่อนมีอคติอยู่เพราะอ่านข่าวแล้วได้ยินข่าวไม่ดีเยอะว่าเขามาก่ออาชญากรรมในบ้านเรา ซึ่งเราก็ไม่รู้สาเหตุที่มาที่ไป แต่ตอนนั้นเราก็มีอคติ จนกระทั่งได้มารู้จักคนพม่า เขาเป็นคนดูแลสวนและเป็นเพื่อนบ้านกัน ก็รู้สึกว่าเค้าไว้ใจได้ ได้เห็นมุมที่ดี ได้เห็นความถ่อมตนของเขา พึ่งพาเขาได้ ก็เลยรู้สึกดี เรื่องโจรขโมย คนที่ก่อเรื่องกลับเป็นคนบ้านเรา ไม่ใช่พม่า ทัศนคติจึงเปลี่ยนไป จนกระทั่งเพื่อนแนะนำมาที่นี่ บอกว่านักเรียนเป็นพม่า พอมาดูสภาพโรงเรียนก็รู้สึกว่าเขาขาดที่จะเรียน และได้อ่านวารสารของที่นี่ ได้เห็นการถูกเอารัดเอาเปรียบ เรื่องแรงงานข้ามชาติ ได้เห็นมุมที่ลำบากของเขา ก็เข้าใจว่า เออ ทำไมบางรายเขาถึงก่ออาชญากรรม เพราะถูกกดขี่ ถูกดูหมิ่นต่างๆ นานา ทำให้เราเห็นใจ แล้วเรื่องเรียนก็น่าสนับสนุนอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่เขามาเรียนกัน แต่ตำรวจก็มายืนดักหน้าปากซอย ก็เอ๊ะ บ้านเราเป็นยังไง หัวจิตหัวใจมีกันบ้างรึเปล่า นี่ก็คือสิ่งที่เขาเจอแล้วทำให้เราได้รับรู้ซึ่งเมื่อก่อนเราไม่เคยได้รับรู้เรื่องพวกนี้ เลยเข้าใจและทำให้เราอยากแลกเปลี่ยนอะไรกับเขา
เห็นความถ่อมตัวของเขา เทียบกับสอนเด็กไทย เด็กไทยสอนยากกว่ามากเลย เพราะอีโก้หรืออะไรหลายๆ อย่าง แต่คนพม่าเขาเปิดใจที่จะเรียนรู้ และเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นนักเรียนอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่บางคน อายุมากกว่าเราตั้งเยอะ รุ่นน้าเราได้เลย แต่เขาก็ยินดีที่จะเรียนรู้ จริงๆ ไม่อยากเรียกตัวเองว่าครู น่าจะเรียกว่าคนทำกิจกรรมศิลปะ เหมือนเป็นที่ให้เขาได้ระบายความรู้สึกส่วนตัวออกมา เป็นพื้นที่อิสระ ส่วนใหญ่คนที่มาเรียนก็เป็นแม่บ้าน ถึงเวลาเขียนรูปก็ได้ระบายความรู้สึก จะกดดันหรืออะไรก็แล้วแต่ แค่ได้เล่าเรื่องของเขาให้คนภายนอกได้รับฟัง
เห็นงานเขาหลายชิ้น รู้สึกว่าเขาคิดถึงบ้านนะ คือ หลายคนเขียนรูปวัด รูปที่นิยมเขียนกันมากคือ รูปวัดที่อยู่บนเขาที่ฐานเป็นทองคำ เขียนได้โดยไม่ต้องดูแบบเลย รู้ว่าเขาคิดถึงบ้าน บางคนก็เขียนทุ่งนา ได้เห็นความผูกพันของเขา รากเหง้าของเขา ถึงแม้เขาจะมาอยู่ที่นี่เป็นสิบปี แต่ดูรูปวาดของเขาก็รู้สึกได้ว่า เขาคิดถึงบ้าน แต่ถามหลายคนว่าอยากกลับไปไหม บางคนก็ไม่อยากกลับไปเพราะทำมาหากินลำบาก
ก็ตั้งใจจะทำ จริงๆ มีงานที่ภูเก็ตอยู่ แต่ตรงนี้ก็อยากทำเพราะเห็นเขาตั้งใจเรียนมาก เราก็มีกำลังใจอยากจะทำอะไรร่วมกัน นี่ก็เขียนโครงงานเสนอ กรพ. เขาอยู่ว่าจะจัดแสดงงานศิลปะของพวกเขา ของบพวกอุปกรณ์ จะจัดแสดงเดือนมีนาคม เมื่อเดือนธันวาคม งานแรงงานข้ามชาติ จัดแสดงไปที่ กรพ. เขาจะได้รู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วมได้เผยแพร่งาน
เขาก็คงเหมือนคนทั่วๆ ไป จะคนไทยหรือฝรั่ง ก็มีสองด้าน มีทั้งคนดีและคนไม่ดี เข้าใจว่าภาพโดยรวมคนไทยมองคนพม่าในมุมลบมากกว่า สังเกตเวลาไปไหนมาไหน หรือเรื่องจ้างงานเขาจะถูกเอาเปรียบตลอด เหมือนเป็นคนชั้นสอง ซึ่งถ้าเราได้ปฏิบัติเท่าเทียมกันก็จะดี เพราะว่าถ้าคบหากับเขาดูจะรู้ว่าเขาจริงใจ แต่คนไม่ดีก็ยอมรับว่ามี หน้าที่เราก็แลกเปลี่ยนความคิดความรู้สึกกับเขา
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|