บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
เสวนา ก้าวผ่านความรุนแรงด้วยศาสนธรรม (ตอนที่ 5) โดย อ.ประมวล เพ็งจันทร์ |
Wednesday, 05 November 2008 | ||||
กลับไปอ่าน ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนที่ 3 และ ตอนที่ 4 ก่อน ------------------------------------------------ -ตอนที่ 5-
ภาวนาสรรเสริญพระแม่ ขอเล่าอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ชอบมาก วันที่ผมจะเดินทางกลับจากประเทศอินเดีย ผมมาขึ้นเครื่องบินของสายการบินแอร์อินเดีย เครื่องบินจะออกตอนเช้าเวลา 8.30 น. ผมมาถึงสนามบินนิวเดลี เวลา 6 โมงตรง ผมได้ไปยืนรอหน้าเคาเตอร์เพื่อจะเช็คอินเดินทางกลับกรุงเทพฯ เป็นคนแรก และมีคนมารอตาม เมื่อเคาเตอร์เช็คอินเปิด ผมได้เช็คอินและเอากระเป๋าขึ้นชั่ง ยื่นพาสปอร์ต และบัตรโดยสารให้เขา ปรากฏว่ากระเป๋าผมมีน้ำหนัก 32 กิโลกรัม จากที่สายการบินอนุญาตให้ไม่เกิน 20 กิโลกรัม ผมจึงถามเจ้าหน้าที่ว่ามีวิธีการอย่างไร ที่ผมจะสามารถนำสิ่งเหล่านี้ขึ้นเครื่องได้ ซึ่งคือหนังสือ สวดมนต์ของทุกศาสนา ที่ผมซื้อสำหรับสวดมนต์ขณะอยู่ที่นั้น และเมื่อสวดมนต์เสร็จ ผมก็จะส่งหนังสือมาทางไปรษณีย์มายังกรุงนิวเดลี ซึ่งมีจำนวนมากถึง 80 กว่าเล่ม เจ้าหน้าที่ได้บอกว่าต้องเสียค่าน้ำหนักเกิน ผมบอกให้เขาคิดค่าน้ำหนักและขอชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ซึ่งต้องจ่าย 5,700 รูปี ผมจึงยื่นบัตรเครดิตให้เขา เขาบอกว่าเขาไม่สามารถรับการจ่ายเป็นบัตรเครดิตได้ในตอนนี้ เพราะต้องรับเช็คอินผู้โดยสารคนอื่นๆ ขอให้ผมรอก่อน ผมจึงไปรอข้างเคาเตอร์ ตอนนั้นผมทำได้เพียงอย่างเดียว คือ ยืนสาธยายมนต์ เพื่อเคารพต่อเทพเทวีต่างๆ บนแผ่นดินอินเดีย ผมยืนสาธยายมนต์ตั้งแต่ 6 โมงกว่า มีหลายคนเข้ามาแสดงความกังวลกับผม สุภาพสตรีคนไทยท่านหนึ่งทำงานที่รัฐสภา และไปประชุมรัฐสภาโลก ที่กรุงนิวเดลี พยายามจะช่วยด้วยการให้ผมส่งหนังสือมาให้เธอช่วยถือ ผมได้บอกไปว่าอย่าลำบากกับผมเลย ขอให้คุณเดินทางโดยสะดวก ไม่ต้องมีภาระ สิ่งที่เป็นภาระของผม ผมควรจะแบกรับภาระนี้เอง ไม่อยากให้เป็นภาระกับเธอ ผมทำตัวดีมาตลอด ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจ ผมจะต้องรักษาเนื้อรักษาจิตของผมให้ดีที่สุด ไม่มีขุ่นมัวเป็นอันขาด ยืนภาวนามนต์จนกระทั่งเวลา 8 โมง พนักงานเช็คอินที่เป็นผู้ชายก็ลุกขึ้น และบอกว่าเขาหมดเวลาที่จะทำงานตรงนี้แล้ว ผมได้ขอให้เขารับเงินและเช็คอินให้ก่อน แต่เขาให้ผมไปจัดการกับเจ้าหน้าที่คนต่อไป สักพักเขาก็ถอดป้ายกรุงเทพฯ และเปลี่ยนเป็นดูไบมาใส่แทนที่ และมีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงมานั่งที่เคาเตอร์แทน เพื่อจะเช็คอินผู้โดยสารที่จะเดินทางไปดูไบ ทันทีที่ผู้หญิงคนนี้เดินมา ผมนึกได้ว่าผมสวดมนต์ภาวนาสรรเสริญพระแม่ ผมไม่ได้สรรเสริญเทพ เพราะตอนอยู่ในอินเดีย ผมสรรเสริญเทวี ไม่ว่าจะเป็นพระแม่สรัสวดี ซึ่งเป็นพระแม่แห่งการเรียนรู้ ขอให้ท่านสถิตในใจผม ขอให้มีความสามารถที่จะเรียนรู้ ผมสรรเสริญพระแม่คงคา ได้อธิษฐานจิตขอให้ท่านกำจัดอาสวมลทินในใจผม เมื่อสุภาพสตรีท่านนี้เดินมา ผมคิดในใจว่าผมสวดมนต์สรรเสริญพระแม่ เพราะฉะนั้นพระแม่ได้มาแล้ว เมื่อเธอนั่งลงและถามผมว่ามีอะไร ผมบอกว่าผมต้องการจ่ายเงินที่น้ำหนักกระเป๋าเกิน 5,700 รูปี ขอให้ช่วยดำเนินการให้ด้วย เขาได้ขอพาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบินและเช็คข้อมูล จนได้บัตรโดยสารออกมา จึงยื่นให้ผมพร้อมพาสปอร์ตและบัตรโดยสาร และให้ผมรีบไปขึ้นเครื่องบินเดี๋ยวนี้ เพราะต้องมีการเช็คอีก 2 ด่าน เครื่องบินกำลังรออยู่ ผมได้ขึ้นเครื่องบินเป็นคนสุดท้าย และได้นั่งแถวหลังสุดของเครื่องบินโบอิ้ง 747 ที่ใหญ่มาก ซึ่งเป็นที่นั่งของพนักงานบนเครื่องบิน ผมไม่มีเพื่อนมานั่งใกล้ๆ เลย ช่วงขณะที่เครื่องบินขึ้นจากแผ่นดินอินเดียแล้ว ผมหลับตาลง แสดงความเคารพ บอกไม่ถูกว่าผมเคารพอะไร แต่ที่แน่ๆ ผมเคารพเทพ พระผู้เป็นเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง ที่นำผมมาสู่อินเดียและนำผมกลับ สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกตัวได้ ณ ตอนนั้น คือ นี่เป็นบทเรียนสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จำได้เพียงแค่ว่าเครื่องบินจากนิวเดลี-กรุงเทพฯ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ผมปฏิเสธการรับประทานอาหาร ผมเขียนบันทึกเพียงอย่างเดียว เป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจที่บันทึกออกมา ว่าที่ผ่านมาผมอยู่กับโลกของเหตุผลซึ่งเป็นกำแพงขวางกั้นไม่ให้ได้สัมผัสรู้ถึงความหมายอันยิ่งใหญ่ ผมพูดตรงนี้ เพื่อจะเล่าเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องเล่ากับผู้อื่น แต่พอดีท่านผู้มีเกียรติได้กรุณาถามผม ผมอยากจะพูดเพียงว่า เมื่อถึงวันนี้ ผมมีความรู้สึกสูญเสียศรัทธาในระบบเหตุผล แต่กลับมีความศรัทธาหนักแน่นในวิถีแห่งการใช้จิตสัมผัสความหมายที่ยิ่งใหญ่ ลึกซึ้ง จำได้ว่าตอนที่ผมไปอยู่ที่เทือกเขาหิมาลัย และวันหนึ่งที่ผมไปนั่งสวดมนต์ที่ริมแม่น้ำภาคีรที (ช่วงหนึ่งของแม่น้ำคงคา) ผมสวดมนต์สรรเสริญเทพต่างๆ ช่วงที่สวดมนต์อยู่นั้น ผมเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงอาทิตย์สาดส่องไปกระทบกับยอดเขาหิมาลัยที่มีหิมะปกคลุม ส่วนที่พระอาทิตย์ส่องกลายเป็นสีทองสุกปลั่งอยู่ที่ยอดเขา ช่วงขณะที่เห็น ผมมีความรู้สึกถึงความหมายที่ยิ่งใหญ่งดงาม ผมนึกถึงอุษาเทวี และนำบทสวดของอุษาเทวีขึ้นมาสวด ที่พรรณนาถึงความงดงามที่ปรากฏ บทสวดนี้อยู่ในคัมภีร์ฤคเวท ขณะที่ผมมีความรู้สึกแบบนั้น ผมพบความหมายบางอย่างที่บอกไม่ถูก เมื่อผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้ว จึงบอกกับตัวเองได้ว่า ผมไม่เคยเห็นโลกใบนี้ที่อยู่มานานกว่า 50 ปี งดงามเฉกเช่นนี้มาก่อนเลย ทำไมดวงตาคู่นี้ไม่อนุญาตให้ผมเห็นความงามเช่นนี้ได้ แต่วันหนึ่งเมื่อจิตใจผมมีความรู้สึกพบความหมายในบางสิ่ง ผมกลับเห็นโลกใบนี้งดงามยิ่งใหญ่ ตอนนั้นผมทำได้เพียงก้มลงคารวะ แต่ไม่รู้ว่าคารวะอะไร และคารวะความหมายที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในใจผมด้วย และต้องการบอกว่าในท่ามกลางผู้คนที่อาจเข้าใจความหมายที่ผมจะพูดได้ คือ วิถีแห่งความรู้สึกที่เราใช้จิตของเราสัมพันธ์กับองค์พระผู้เป็นเจ้า กับความหมายที่ยิ่งใหญ่ เป็นวิถีที่เราจะต้องใช้พลังของความหมายที่ไม่ได้ใช้เหตุผลคิดเอา ผมสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย ผมสอนให้คนคิด และด้วยความคิดเช่นนี้เอง ที่ทำให้ผมมีความรู้เรื่องต่างๆ รวมทั้งความรู้เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าด้วย แต่ผมไม่เคยเห็นพระองค์ จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อผมไม่ต้องคิด ผมสามารถสัมผัสพระองค์ได้
วิสัชนา : จากอดีตที่ผมเคยพัวพันกับเหตุการณ์การประท้วงมาตลอด แม้กระทั่งเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ผมอยู่บนถนนราชดำเนิน วันที่จะมีการปราบและเข้ามาจับพลตรีจำลอง ศรีเมือง ผมนั่งพับกระดาษอยู่ที่ริมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เนื่องจากช่วงเช้าจะมีคนน้อย และมีกระดาษหนังสือพิมพ์ที่คนปูนอนทิ้งไว้ ผมเก็บกระดาษเหล่านั้นมาพับเป็นหมวก เพื่อจะช่วยกันแดดให้คนที่มานั่ง จำได้ว่าได้ไปเก็บกระดาษที่ยังไม่ยับมาพับหมวก ขณะที่นั่งพับอยู่นั้น มีชาวต่างชาติ 2 คน มายืนดูผมพับกระดาษ แล้วคิดอะไรไม่ทราบ เดินไปที่ร้านขายหนังสือพิมพ์ แล้วซื้อหนังสือพิมพ์ทั้งหมดมากองไว้ที่หน้าผม ผมนั่งพับหมวกจนเหนื่อยล้า จึงได้ไปหาที่อาบน้ำ จนกระทั่งช่วงบ่ายได้มีการเข้าไปจับพลตรีจำลอง ศรีเมือง และผมก็ไม่มีโอกาสกลับเข้ามาที่ถนนราชดำเนินอีก ผมเห็นความรุนแรง มีข่าวลือต่างๆ เกิดขึ้น เป็นความรู้สึกที่ผมอยู่ในเหตุการณ์ของความรุนแรง พอมาถึงวันนี้ ผมไม่ได้เข้าร่วมเหตุการณ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์นั้นเป็นสิ่งที่ผิด จริงแล้วอยากจะเข้าร่วม แต่ไม่ได้ไปเพื่อจะบอกว่าใครถูกหรือใครผิด แต่อยากจะบอกจากความรู้สึกจริงๆ ว่าไม่อยากให้มีความรู้สึกเกลียดชังกัน ไม่มีใครสมควรจะถูกเกลียดชังเลย ทุกคนน่าสงสารเป็นที่สุด คนทุกคนมีชีวิตอยู่เพื่อแสวงหาความหมายที่ดีงามของชีวิต บางคนเชื่อว่าการมีทรัพย์สินคือความหมายที่ดีงามของชีวิต ก็แสวงหาทรัพย์สิน ถ้าคิดว่าอำนาจคือความหมายที่ดี ก็แสวงหาอำนาจ แต่ทั้งหมดทั้งสิ้น เราได้อำนาจหรือทรัพย์สินมาแล้วเกิดความเกลียดชังรังเกียจกัน เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก ผมไม่ต้องการให้เกิดสิ่งเหล่านั้น ทุกวันนี้เมื่อเปิดทีวีผมทำได้เพียงอย่างเดียว คือ มองไปที่ทีวี ยกมือขึ้นที่หน้าอก และภาวนาขอให้ความเกลียดชังรังเกียจในใจของทุกคน จงเบาบางลง ขอให้เห็นอกเห็นใจกัน ทุกวันตื่นมาตอนเช้า สิ่งที่ทำได้ คือ การภาวนาขอให้ความเกลียดชังเบาบางลง การที่ผมทำสิ่งเหล่านี้ คงเหลวไหลในความรู้สึกของเพื่อนผมที่ได้เคยร่วมต่อสู้กันมาแล้วในอดีต แต่ผมเชื่อมั่นด้วยความหนักแน่นว่าถ้าเราสามารถประคับประคองไม่ให้ความชั่วร้าย ความรังเกียจเดียจฉันเกิดขึ้นในจิตใจเรา ก็เท่ากับลดปริมาณความโกรธเกลียดให้เบาบางลง อย่างน้อยก็ในใจเรา และเชื่อว่าพวกเราทุกคนในที่นี่ทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว ช่วยกันภาวนาให้ความเกลียดชัง รังเกียจจางหายไป ให้ความรักปรากฏขึ้นในใจของเราและเผื่อแผ่ไปยังคนใกล้ชิด ผมมีความรู้สึกเชื่อมั่นเพียงอย่างเดียวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นบททดสอบความดีงามที่ยิ่งใหญ่ในใจเรา เราจะไม่เกลียดใคร เราจะไม่โกรธใคร จะเพียรพยายามเป็นที่สุดที่จะทำให้ความรัก ความปรารถนาดีที่อยู่ในใจเรา มีพลังเพียงพอที่จะช่วยให้ความเกลียดชัง รังเกียจเบาบางลง ผมขอภาวนา และเชื่อว่าทุกท่านคงช่วยกันภาวนา ผมพูดเรื่องนี้กับนักศึกษาและคนที่รู้จัก นักศึกษาจะถามเสมอว่า อาจารย์จะทำอย่างไรในสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดความรุนแรง จะตัดช่องน้อยแต่พอตัว ไม่สนใจปัญหาสังคมบ้านเมืองแล้วหรือ ผมบอกว่าไม่ใช่เลย ไม่มีช่องน้อย ไม่มีช่องใหญ่ มีเพียงช่องเดียวเท่านั้น คือช่องแห่งการที่เราจะไม่สุมไฟแห่งความเร่าร้อนให้เพิ่มขึ้น โดยจะต้องมีน้ำเย็นให้ทุกคนได้ดื่มกิน และก่อนที่เราจะมีน้ำเย็นให้กับผู้อื่น เราจะต้องมีน้ำเย็นให้กับตนเอง และทุกครั้งที่ผมมีโอกาสพบคนอื่นและเขาชวนคุยเรื่องนี้ ก็จะบอกว่าผมภาวนา ขอให้ความรัก ความรู้สึกที่ดีต่อกันเกิดขึ้น และผมเชื่อด้วยความสุจริตใจ ว่าสิ่งที่เป็นความรุนแรงจะลดน้อยลงด้วยพลังอำนาจปรารถนาจากพวกเรา
ติดตามอ่าน ตอนที่ 6 (ตอนจบ) ได้ในวันพุธหน้าค่ะ
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|