หน้าหลัก arrow ข่าวย้อนหลัง arrow เสวนา ก้าวผ่านความรุนแรงด้วยศาสนธรรม (ตอนที่ 4) โดย อ.ประมวล เพ็งจันทร์
หน้าหลัก
รู้จักยส
อยู่กับปวงประชา
ข่าวย้อนหลัง
เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
ผู้ไถ่ : รายงานสถานการณ์
การศึกษาเพื่อสิทธิ&สันติภาพ
สื่อสิ่งพิมพ์ ยส.
มุมมองสิทธิฯ ในหนัง
กิจกรรม ยส.
คลังภาพ ยส.
เว็บบอร์ด ยส.
เว็บเพื่อนบ้าน
Facebook ยส.

ยส. (ยุติธรรมและสันติ)

จำนวนผู้เข้าชม
ขณะนี้มี 205 บุคคลทั่วไป ออนไลน์

คลิก เขียนสมุดเยี่ยมคลิก เขียนสมุดเยี่ยม
ขอบคุณทุกท่าน
ที่แวะเข้ามาค่ะ

แนะนำสื่อ ฉบับล่าสุด


วารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ 123: ชีวิต การต่อสู้ เพื่อความดีของกันและกัน กำลังใจ ความรัก และความหวัง
 วารสารผู้ไถ่
ฉบับที่ 123


วันสันติสากล 1 มกราคม 2024
 สารวันสันติสากล
1 มกราคม 2024
ปัญญาประดิษฐ์
และสันติภาพ


น้ำแห่งชีวิต (Aqua fons vitae)
 น้ำแห่งชีวิต
(Aqua fons vitae)
สมณกระทรวงเพื่อ
ส่งเสริมการพัฒนา
มนุษย์แบบองค์รวม


สมณลิขิตเตือนใจ...แอมะซอนที่รัก (QUERIDA AMAZONIA)
 แอมะซอนที่รัก
(QUERIDA AMAZONIA)
สมณลิขิตเตือนใจ...
ของสมเด็จ-
พระสันตะปาปาฟรังซิส


จงสรรเสริญพระเจ้า... การก้าวออกไปอย่างต่อเนื่องของเอเชีย
หนังสือแปล
จงสรรเสริญพระเจ้า...
การก้าวออกไป
อย่างต่อเนื่องของเอเชีย


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 2 และ3
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร
ภาคที่ 2 และ3
 


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 1
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร ภาคที่ 1



หนังสือ Jesus CEO :  พระเยซูเจ้า นักบริหารชั้นนำ
หนังสือแปล
Jesus CEO :
พระเยซูเจ้า
นักบริหารชั้นนำ



หนังสือ เส้นทางสู่สิทธิมนุษยชนศึกษา
หนังสือ เส้นทางสู่
สิทธิมนุษยชนศึกษา


พระสมณสาสน์ความรักในความจริง : Caritas in Veritate
หนังสือแปล
Caritas in Veritate :

พระสมณสาสน์
ความรักในความจริง



โปสเตอร์ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ พ.ศ.2532
โปสเตอร์
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
แห่งสหประชาชาติ
พ.ศ.2532


เว็บเพื่อนบ้าน

แวดวงต่างประเทศ

Pax Christi International - PCI

ACPP - Hotline Asia


ดูเว็บอื่นๆ ในหมวด

เว็บน่าสนใจ

เว็บด้านสิทธิฯ

ข่าวสาร/บันเทิง

หน่วยงานองค์กรคาทอลิก

บทความล่าสุด

   อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
และไม่ผูกพันกับคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ

ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
แต่กรุณาระบุชื่อผู้เขียน และแหล่งที่มาด้วย ขอบคุณค่ะ

 

Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน

  • โอนเข้าบัญชี ในนาม
    คณะกรรมการคาทอลิกฯ แผนกยุติธรรมและสันติ 
    ธนาคารกสิกรไทย สาขาห้วยขวาง บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 084-2-07639-2
    (กรุณา
    ส่งสำเนาการโอนเงินทางอีเมล์ ccjpthai@gmail.com)
    (หรือ ส่งสำเนามาที่ LINE:
    https://lin.ee/LdMulwv)

  • ทางธนาณัติ สั่งจ่ายในนาม “ปริญดา วาปีกัง” ตู้ ปณ. สุทธิสาร (10321)
    114 (2492) ถ.ประชาสงเคราะห์ ซอย 24 ดินแดง กรุงเทพฯ 10400

เสวนา ก้าวผ่านความรุนแรงด้วยศาสนธรรม (ตอนที่ 4) โดย อ.ประมวล เพ็งจันทร์ พิมพ์
Wednesday, 29 October 2008
 กลับไปอ่าน ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 และ ตอนที่ 3 ก่อน

 

------------------------------------------------

 

-ตอนที่ 4-


Imageปุจฉา : คิดอย่างไรในการตัดสินใจเดินทางไกลจาก จ.เชียงใหม่ไปยังเกาะสมุย โดยไม่พกเงิน ค่ำไหน นอนนั่น

วิสัชนา : ค้นพบความสุขที่ยิ่งใหญ่

ท่ามกลางความมืดมน และเกิดความรู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตมามาก เวลาเหลือน้อยแล้ว แต่คำถามในชีวิตยังไม่จบ ไม่ใช่คำถามที่เป็นส่วนตัว มีความรู้สึกว่าเมื่อสอนหนังสือจะได้รับฟังปัญหาของนักศึกษาเป็นจำนวนมากมาโดยตลอด ซึ่งโชคดีที่ได้เป็นครู และขณะที่เป็นครูก็โชคดีที่มีความผูกพันกับนักศึกษา คำถามหลายๆ คำถามของนักศึกษาที่ไม่สามารถตอบได้อย่างแท้จริง ทำให้รู้สึกว่าผมไม่สามารถจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ และไม่สามารถจะตอบคำถามบางอย่างในใจของตนเองได้ ความรู้สึกในตอนนั้น รู้สึกว่าไม่ควรประมาทในการมีชีวิตอยู่ และชีวิตของผมมีความลงตัวพอดีที่จะทำบางสิ่งได้ การไม่มีพันธะผูกพัน มีชีวิตอยู่กับภรรยา เป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่มาก มีเหตุการณ์เล็กๆ เกิดขึ้นก่อนการที่จะตัดสินใจเดิน ผมใช้ชีวิตแบบปกติ อยู่กันสองคนตายาย ไม่ได้ทำอาหารทานที่บ้าน เมื่อเลิกงานที่มหาวิทยาลัยก็มักจะซื้ออาหารทาน เส้นทางกลับบ้านของผมได้ผ่านห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เรามักจะแวะที่นี่ประจำเพื่อซื้ออาหารกลับไปกินที่บ้านหรือไม่ก็กินที่นั้นเสียเลย วันหนึ่งหลังจากที่ผมไม่ได้ไปที่นั้นร่วม 10 วัน เพราะผมและภรรยาได้ไปเที่ยวประเทศพม่า 10 วัน ผมก็กลับไปที่ห้างแห่งนั้นกับภรรยา เพื่อทานอาหารที่นั่น ก่อนจะกลับภรรยาได้ซื้อสลัดผัก ซึ่งระหว่างที่ภรรยากำลังเลือกผัก แม่ค้าอายุประมาณ 20 ต้นๆ ได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า "พี่ทั้งสองไปไหนกันมาหลายวัน ไม่ได้มาที่นี่"  ผมเองไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เกิดความสงสัยว่า แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าผมไม่มาที่นี่ คือผมกับเขาไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันเลย และก็ไม่ได้ซื้อสลัดกันบ่อยๆ จนเป็นลูกค้าประจำ จึงถามเขาว่า "คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมไม่ได้มาที่นี่ทุกวัน" เขาพูดอย่างไม่ได้เตรียมตัวเลยว่า "น้องยืนดูพี่ทั้งสองทุกวัน ภาพที่พี่เดินจับมือกันเข้ามา แล้วจับมือกันออกไป น้องคอยรอดูทุกวัน ชีวิตเราก็แค่นี่แหละ อยากมีอย่างนี้บ้าง" ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ และไม่รู้จะถามอะไรเธอมากกว่านั้น จำได้เมื่อภรรยาได้สลัดตามต้องการ ก็เอามือหนึ่งถือถุงสลัดและเอามือที่เหลือจูงมือภรรยาเดินออกมา เมื่อเดินออกมาถึงลานจอดรถ ผมกำมือภรรยาและบอกว่า ความรักของเราไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ผมไม่รู้จะพูดอะไรไปมากกว่านี้ แต่ผมได้ตระหนักรู้เอง ณ ตอนนั้นว่าความผูกพัน ความสัมพันธ์มันงดงามจนสามารถทำให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คนใกล้ชิด เฝ้ารอดูเมื่อเราไม่ได้มา เขายังอุตส่าห์จำได้ว่าเราไม่มา 10 วัน  ผมไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพูดกับภรรยาตอนที่เรานั่งกินสลัดกันว่า เราน่าจะต้องทำอะไรมากกว่านี้ และผมก็รู้สึกเลยว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปบอกหรือสอนใครอีกแล้ว มีหน้าที่เพียงอย่างเดียว คือ ทำในสิ่งที่เราคิดว่าเราควรทำ และผมมีความรู้สึกเหมือนกับว่า ผมควรจะทำอะไรบางสิ่งบางอย่าง ผมควรจะจบชีวิตลงด้วยความผ่องใส เบิกบาน ผมนึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสที่เคารพเป็นครู ท่านบอกว่า จงตายเสียก่อนตาย เพราะฉะนั้นความหมายของผมก็คือ ผมอยากจะจบชีวิตนี้ลงด้วยความผ่องใส เบิกบาน ให้มีชีวิตที่มีความหมาย ความหมายที่ไม่ได้หมายถึงการครอบครอง ไม่ได้หมายถึงความสำเร็จอะไรที่ยิ่งใหญ่เลย มีความหมายเพียงแค่ว่าเมื่อเราอยู่บนโลกใบนี้ และเราก็ลาจากโลกใบนี้ไปด้วยความรู้สึกพอใจ เหมือนกับเรานั่งรถเมล์ไป แล้วลงจากรถเมล์เมื่อถึงบ้าน ไม่ควรแสดงอะไรที่มากมายมหาศาล นอกจากดีใจที่ได้กลับถึงบ้าน และขอบคุณรถเมล์  ผมไม่รู้จะบอกอะไรมากไปกว่านี้ แต่ความหมายเหล่านี้ ที่ทำให้ผมและภรรยาร่วมกันคิดว่าเราควรจะแสวงหาความรู้อะไรบางสิ่งบางอย่าง ที่จะเป็นพลังให้เรามีชีวิตอยู่และจบชีวิตลงด้วยความงดงาม ตามคติของชาวอินเดีย ที่บอกว่าเมื่อเรามีชีวิตมาถึงวันหนึ่ง เราก็มีความสุขที่จะมีชีวิตอยู่ และมีความสุขที่จะจบชีวิตลง


ความเปลี่ยนแปลงที่เล็กๆ แต่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่

Imageเมื่อมีคนถามว่าคำตอบที่ผมได้คืออะไร ผมตอบไม่ได้ ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เป็นความสัตย์จริง ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน หรือยิ่งใหญ่อะไรเลย เพื่อนสนิทที่เชื่อมั่นในตัวผมบางคนถามตรงๆ ว่าช่วยบอกเถอะ อะไรก็ได้ที่ได้ค้นพบ หรือคำถามที่ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิตบ้างหรือไม่ ผมก็ไม่ค้นพบการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ยิ่งใหญ่ ผมเล่าให้เขาฟังว่าผมค้นพบการเปลี่ยนแปลงที่เล็กๆ แต่สำคัญอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มาก เมื่อตอนที่เดินทางกลับจากเกาะสมุยเพื่อไปหาภรรยาที่เชียงใหม่ วันหนึ่งเมื่อผมไปรับภรรยาที่ทำงาน ตอนนี้ผมเป็นคนรับใช้ภรรยา เมื่อภรรยาต้องการจะไปไหน ผมจะพาไป ไม่เกี่ยง ไม่งอน เป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ เป็นผู้รับใช้ วันนั้นจำได้ว่าภรรยาต้องการจะไปกินแหนมเนือง ร้านมาดามเอียน ซึ่งเป็นร้านอาหารเวียดนามแบบบุฟเฟ่ต์ ที่อยู่คนละเส้นทางกับทางกลับบ้าน ได้ขับรถพาภรรยาไป ช่วงขณะที่ภรรยาไปตักอาหาร ผมก็เฝ้าโต๊ะ และช่วงที่ผมไปตักอาหาร ภรรยาก็นั่งกิน ผมชำเลืองดูภรรยากินอาหารอย่างมีความสุข ผมกลับมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นภรรยากินอาหารแล้วมีความสุข ผมระลึกนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ เวลาภรรยาชวนผมมาทานอาหารที่ร้านนี้ แม้ผมจะไม่ปฏิเสธในการพาภรรยาไป แต่ผมมีความรู้สึกหนึ่งอยู่ในใจ เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่มันมีความหมายว่าทำไมผู้หญิงถึงเรื่องมากขนาดนี้  ทำไมต้องกินอาหารนอกเส้นทาง ทำไมไม่กินในจุดที่เราผ่าน ทำไมไม่กินอะไรที่กินให้อิ่มและมีประโยชน์ต่อร่างกายก็พอแล้ว ผมพยายามจะหาวิธีสอนภรรยาผม ว่าอย่าทำอะไรที่ซับซ้อน ชีวิตคนง่ายๆ กินอะไรที่มันผ่านทาง ทำไมต้องขับรถอ้อมเมือง ความรู้สึกนี้มันมีอยู่ในใจผม ที่จะต้องหาโอกาสสอนภรรยาสักวัน แต่วันนั้น ผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้สึกตำหนิภรรยาว่าเรื่องมาก ตามใจปาก ผมมีความสุข และความรู้สึกอันนี้เอง ทำให้ผมเกิดระลึกนึกได้ว่าผมเปลี่ยนแล้ว เป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง  ผู้ชายคนหนึ่งที่เมื่อก่อนผมเคยบอกนักศึกษา บอกคนใกล้ชิดว่าผมรักภรรยามาก แต่ความรักของผมมันอยู่ในกรอบของเหตุผลทางสังคมบางอย่าง เพราะผมมีกรอบเยอะมาก เช่น การแต่งงานก็ต้องมีสัจจะปฏิญญากับตนเอง ต้องซื่อสัตย์กับภรรยา ไม่นอกใจ จะต้องทำอะไรที่ไม่นอกลู่นอกทาง ประคับประคองมาอย่างดี เป็นความภาคภูมิใจที่นำไปอวดลูกศิษย์และบอกคนอื่นๆ แต่ลึกๆ แล้วผมก็ยังหยาบ หยาบที่ไม่สามารถใช้ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนไปสัมผัสจับต้องจิตใจของภรรยาได้ วันนั้น วันที่ผมเห็นภรรยาทานอาหารเวียดนามอย่างมีความสุข และผมมีความสุข ผมพบเลยว่า ผมพบความหมายของความรัก มันได้ละลายความเป็นตัวตนของผม ความมีหลักเกณฑ์ และความรู้สึกแบบนี้ที่ทำให้ผมค้นพบความหมายที่ยิ่งใหญ่ในการมีชีวิตอยู่ ความหมายที่ยิ่งใหญ่ที่เรามีความรัก ผมมีความสุขที่ได้รับใช้ผู้อื่น ขอโทษผมไม่ได้พูดเพื่อจะบอกว่าตัวเองดีหรือตัวเองวิเศษ แต่อยากจะบอกว่านับจากที่ผมค้นพบตรงนี้ ผมรู้ตัวว่าผมมีความสุข ทุกวันนี้ผมได้ตื่นนอนก่อนภรรยา ต้มน้ำ เตรียมกาแฟให้เธอ ผมมีความสุขมากที่ได้ทำหน้าที่นี้ เมื่อภรรยาตื่นขึ้นมาก็ได้กลิ่นกาแฟที่เราทั้งคู่ชอบ และผมมีความรู้สึกว่านี่เป็นความหมายแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ เพราะเมื่อก่อนผมจะอ้างเหตุผลว่าผมนอนดึก ขอไม่ลุกขึ้นก่อนดีกว่า เพราะต้องเตรียมสอน ต้องทำงานสารพัด แต่มาตอนนี้ผมมีความสุขมากที่ได้ตื่นก่อน ลุกขึ้นมาทำสิ่งเล็กๆ เพียงแค่เตรียมน้ำร้อน เตรียมกาแฟ เมื่อรู้ว่าภรรยาตื่นก็เตรียมกาแฟเสร็จพอดี ไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก


Imageปุจฉา : ประทับใจในตัวอาจารย์ที่แสวงหาตามแนวทางพระพุทธเจ้า ซึ่งตรงกับพระสันตะปาปาที่พูดว่า ชีวิตของเราคือการเดินทาง แสวงหาความจริง แสวงหาความหมายของชีวิต แสวงหาพระเจ้า แต่สมัยใหม่นี้มีคนกลุ่มหนึ่งที่อ้างตัวเป็นผู้รู้ เป็นนักวิทยาศาสตร์ บอกว่าความเชื่อทางศาสนาพิสูจน์ไม่ได้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเท่านั้นที่ทำให้โลกเจริญก้าวหน้า ศาสนามีแต่จะดึงให้โลกล้าหลัง พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับความเชื่อและเหตุผลที่ไปด้วยกันได้ แต่นักวิทยาศาสตร์บอกว่าขัดแย้งกัน ไม่ทราบว่าจากประสบการณ์ของอาจารย์ที่แสวงหาความจริง อาจารย์มีคำตอบอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความเชื่อและเหตุผล หรือศาสนาความเชื่อกับวิทยาศาสตร์

วิสัชนา : ขอเล่าเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ตอนที่ผมอยู่ในอินเดียเมื่อวัยหนุ่ม นานถึง 11 ปี ส่วนหนึ่งเป็นพระภิกษุ และส่วนหนึ่งได้ลาสิกขาบทแล้ว ในช่วงเป็นนักศึกษาทั้งที่เป็นพระภิกษุและคฤหัสถ์ (ไม่ใช่นักบวช) แล้ว ผมมีความรู้สึกดูหมิ่นดูแคลนความเชื่อของชาวอินเดีย ที่ในความคิดของผมมองว่าไม่ค่อยมีเหตุผล คนอินเดียแสดงความเคารพ แสดงความผูกพัน แสดงอะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ค่อยประกอบด้วยเหตุผลในความคิดของผม แต่เมื่อผมมีความตั้งใจในการกลับไปอินเดียครั้งนี้ ผมมีความปรารถนาอยู่ 2 ประการ ประการแรก ผมอยากจะขอบพระคุณอินเดียอย่างแท้จริง มิใช่เป็นการเสแสร้งแกล้งทำ แต่ต้องการใช้จิตของผมน้อมเข้าไปคารวะอินเดียอย่างแท้จริง ประการที่สอง ผมต้องการทบทวนการใช้ชีวิตมาทั้งหมดเท่าที่ผมเริ่มจำความได้จนมาถึง ณ ปัจจุบัน โดยคิดว่าอินเดียเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่ผลิตตัวผมขึ้นมาด้วยความคิด ความเชื่อ ความเข้าใจของผมในปัจจุบัน ก่อกำเนิดโดยใช้ความเป็นอินเดียเป็นองค์ประกอบสำคัญ วันที่เครื่องบินที่ผมนั่งกำลังลดระดับลงที่สนามบินนานาชาติ อินทิรา คานธี กรุงนิวเดลี ในขณะที่ผู้โดยสารท่านอื่นๆ กำลังสวดภาวนาตามความเชื่อของตนเอง ผมนั่งนิ่งและตั่งจิตอธิษฐานและเอ่ยในใจว่า นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ผมจะเคารพอินเดียด้วยจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ผมจะไม่ปล่อยให้สิ่งที่เป็นมลทินเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเคลือบแคลงสงสัยที่ผมถือว่าเป็นมลทิน ชาวอินเดียจะเรียกแผ่นดินอินเดียว่า ภารตะมาตา แปลว่าอินเดียคือแม่ ผมถึงจะไม่ใช่ลูกของอินเดีย แต่อาศัยแผ่นดินนี้เรียนหนังสือ ผมจึงขอเรียกอินเดียว่า ภารตะคุรุ อินเดียคือครู ผมจะเคารพภารตะคุรุเป็นที่สุด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินอินเดีย คือบทเรียนอันศักดิ์สิทธิ์ที่ภารตะคุรุมอบให้กับผม ผมจะน้อมรับด้วยจิตใจที่เคารพ ผมใช้ชีวิตบนแผ่นดินอินเดียนานหลายเดือน ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในตัวผม แต่ผมไปในสถานที่ต่างๆ มากมาย ผมมีชีวิตอยู่เป็นวณิพก จาริกและนอนในที่ต่างๆ สิ่งหนึ่งที่ประสบในขณะที่ผมอยู่ในภาวะเช่นนั้น ผมกลับพบว่าความคิดในอดีตของผมเป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถทำให้ผมเข้าถึงความหมายที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งของอินเดียได้ ทุกครั้งที่ผมได้มีโอกาสแสดงความเคารพเทพเจ้าของอินเดีย หรือเคารพพระผู้เป็นเจ้า เมื่อผมไปที่โบสถ์ของอินเดียผมนั่งคุกเข่า ขอขมากรรมถึงอดีตที่ผ่านมาที่ผมมีจิตใจหยาบกระด้างแข็งขืน จนไม่สามารถสัมผัสสิ่งที่ยิ่งใหญ่บริสุทธิ์ วันนี้ผมมีจิตใจพร้อมแล้ว ขอให้ผมได้มีโอกาสสัมผัสสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ผมไม่สามารถจะพูดเป็นภาษาที่ชัดเจนได้ แต่ผมรู้ตัวดีว่าทันทีที่ผมเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิด ที่เคยติดอยู่ในกรอบของระบบความเชื่อ ที่ผมสร้างขึ้นมาด้วยระบบเหตุผล โดยเฉพาะเมื่อผมเป็นอาจารย์ที่สอนตรรกศาสตร์ มีระบบเหตุผลเป็นกรงที่หนาแน่นมาก และตรรกศาสตร์ที่เราสร้างขึ้นมา เหมือนกับแยกตัวเราออกมาจากความจริง แต่เมื่อผมกลับไปอินเดียอีกครั้งเมื่อปีที่ผ่านมา ผมกลับพบว่าหลายครั้ง ที่ผมน้ำตาไหลนองหน้าด้วยความรู้สึกปลื้มปิติในความมีบุญของตัวเองที่ได้มีอารมณ์เช่นนั้น และสิ่งที่ผมรู้สึกเหล่านี้ ประมวลมาเป็นสิ่งที่พยายามจะพูด เพราะการพูดจะมีปัญหา ที่ต้องสื่อด้วยการให้คนฟังคิด ความคิดจะเป็นกรอบอุปสรรคที่จะทำให้เข้าใจบางสิ่งในเชิงเหตุผล แต่บางครั้งความคิดเชิงเหตุผล ที่เราสร้างขึ้นในจิตของเรา จะเป็นกรอบอุปสรรคอันใหญ่หลวงที่ขวางกั้นไม่ให้เราเข้าถึงความจริงอันประเสริฐ  ผมเข้าใจว่าถ้าเราไม่ศรัทธาอย่างหนักแน่นในองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ก็คงไม่อนุญาตให้เราสัมผัสพระองค์ได้ อย่างดีเราคงคิดถึงพระองค์ได้เพียงเท่านั้นเอง ความหมายอยู่ตรงที่ว่า เราต้องมีจิตที่นุ่มนวลอ่อนโยนและมีศรัทธาที่หนักแน่น ในการเชื่อมั่นว่ามีสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะเข้าถึงและเข้าพบได้ด้วยหนทางแห่งเหตุผลที่เราสร้างขึ้นในใจเรา แต่ด้วยพลังแห่งความศรัทธา พลังแห่งความนุ่มนวลอ่อนโยน เราจะมีโอกาสได้ประสบกับสิ่งเหล่านั้น ผมพูดตรงนี้จากความรู้สึกจริงๆ แต่ขอโทษด้วยที่ภาษาของผมอาจจะไม่รัดกุมเพียงพอ และอาจจะไม่มีพลังเพียงพอที่จะสื่อความหมายอย่างที่ผมต้องการจะสื่อ

 

Image

 ติดตามอ่าน ตอนที่ 5 ได้ในวันพุธหน้าค่ะ 

 

ความคิดเห็น

เขียนความคิดเห็น
ชื่อ:
หัวเรื่อง:
BBCode:Web AddressEmail AddressBold TextItalic TextUnderlined TextQuoteCodeOpen ListList ItemClose List
ความคิดเห็น:



รหัส:* Code

Powered by AkoComment 2.0!

< ก่อนหน้า   ถัดไป >