การใช้สิทธิทางศาล คือ สันติวิธีในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงภาคใต้
โดย ศราวุฒิ ประทุมราช นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่มีการใช้สิทธิทางศาล ในการขอให้มีการปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัวโดยมิชอบ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ได้จับกุมผู้ต้องสงสัยมาสอบสวนและมีการซ้อมทรมานผู้ถูกจับกุม ถือเป็นการใช้มาตรการอย่างสันติวิธี ที่ต้องได้รับการปฏิบัติต่อไปอันจะเป็นหนทางหนึ่งในการแก้ไขความไม่สงบในภาคใต้
ผมกำลังพูดถึงกรณีนักศึกษาสถาบันราชภัฏยะลา ที่ถูกจับกุมไปเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2551 เวลาประมาณ 08.45 น. เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ ๑๑ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้โรงเรียนเทคนิคพาณิชยการ จังหวัดยะลา ประมาณ 4 คันรถ แต่งกายนอกเครื่องแบบ เข้าไปปิดล้อมและตรวจค้นหอพักนักศึกษาสถาบันราชภัฏยะลา ที่ ซอยมัสยิดตักวา ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา เจ้าหน้าที่ทหารอ้างว่า พบยาบ้าและอาวุธปืนในหอพัก โดยใช้เวลาในการตรวจค้นประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง หลังจากนั้นได้ควบคุมตัวนักศึกษาและเพื่อนที่มิได้เป็นนักศึกษาแต่อยู่ในหอพักดังกล่าวทั้งหมด รวม 7 คน ขณะที่นักศึกษาทั้งหมดกำลังเตรียมตัวจะไปเล่นฟุตบอลต้านยาเสพติด พงยาวิ คัพ รายชื่อนักศึกษาที่ถูกจับกุม มี ดังนี้ 1. นายกูยิ อีแต อายุ 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 วิชาเอกเทคโนโลยีนวัตกรรมการศึกษา คณะวิยาการการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งคณะกรรมการสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดยะลา 2. นายอามีซี มานาก อายุ 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 วิชาเอกการบัญชี คณะวิทยาการการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา 3. นายอับดุลเลาะ ดอเลาะ อายุ 23 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิชาเอกการพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา 4. นายอิสมาแอ เตะ อายุ 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 วิชาเอกเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา 5. นายอาหมะ บาดง อายุ 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 วิชาเอกพลศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตยะลา 6. นายอัสมาดี ประดู่ อายุ 23 ปี ปัจจุบันทำงานอยู่ในจังหวัดยะลา 7. นายอัสมัน เจ๊ะยอ ปัจจุบันทำงานอยู่ในจังหวัดยะลา หลังจากที่เจ้าหน้าที่ทหารได้มีการตรวจค้นหอพักและนำตัวนักศึกษาทั้ง 7 คน ไปสอบสวน ณ ฐานที่ตั้งหน่วยเฉพาะกิจที่ ๑๑ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้โรงเรียนเทคนิคพาณิชยการ จังหวัดยะลา และได้มีการยึดทรัพย์สินซึ่งทางเจ้าหน้าที่อ้างว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุเพื่อตรวจสอบไปด้วย ญาติของนักศึกษา 3 คน จึงได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยตัวนักศึกษาที่ถูกจับกุม โดยอ้างมาตรา 90 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งบัญญัติว่า "เมื่อมีการอ้างว่าบุคคลใดต้องถูกควบคุมในคดีอาญา หรือในกรณีอื่นใด โดยมิชอบด้วยกฎหมาย บุคคลเหล่านี้ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลท้องที่ที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญา ขอให้ปล่อย คือ ....." และได้อ้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ดังนี้ มาตรา ๔ บัญญัติว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอ ภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง มาตรา ๕ บัญญัติว่า ประชาชนชาวไทย ไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน มาตรา ๖ บัญญัติว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้ มาตรา ๒๙ บัญญัติว่า การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็น และจะ กระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้
มาตรา ๓๒ บุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการ โหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรม จะกระทำมิได้ การจับกุมและการคุมขังบุคคล จะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของ ศาลหรือมีเหตุอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ การค้นตัวบุคคลหรือการกระทำใดอันกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง จะกระทำมิได้ เว้นแต่มีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีที่มีการกระทำซึ่งกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง ผู้เสียหาย พนักงานอัยการ หรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหาย มีสิทธิร้องต่อศาลเพื่อให้สั่งระงับหรือเพิกถอนการกระทำเช่นว่านั้น รวมทั้งจะกำหนดวิธีการตามสมควร การเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยก็ได้ ศาลจังหวัดยะลาได้ออกนั่งพิจารณาคำร้องของญาตินักศึกษา ทั้ง 3 คน และฝ่ายทนายความของนักศึกษาได้แจ้งต่อศาลว่า นักศึกษา 3 คน ที่ได้ยื่นคำร้องนี้ ได้รับการปล่อยตัวแล้วเมื่อประมาณ 24 นาฬิกา ของคืนวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ศาลจังหวัดยะลาจึงทำรายงาน ว่า “การควบคุมตัวตามคำร้องนี้สิ้นสุดไปแล้ว ไม่มีเหตุที่จะต้องพิจารณาอีกต่อไป จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ” แม้จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่ผู้พิพากษาไม่ได้พิจารณาว่า การควบคุมตัวนักศึกษาทั้ง 7 คนดังกล่าว เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ ก็ตาม แต่การใช้สิทธิทางศาล ย่อมเป็นหนทางหนึ่งในการใช้สันติวิธี ในการเรียกร้องหาความเป็นธรรม ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งว่า ความยุติธรรมนั้นมีจริงในสถานการณ์ภาคใต้ ที่หลายฝ่ายได้เพิกเฉย หรือไม่สนใจที่จะแสวงหาความยุติธรรมตามกฎหมาย เราต้องเชื่อมั่นว่าวิถีทางที่จะได้มาซึ่งความเป็นธรรมนั้น มีอยู่จริง และเป็นช่องทางหนึ่งของการแก้ไขความขัดแย้งได้ หากเราเชื่อมั่นเช่นนี้ เราจึงสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ เพราะเคารพกฎ กติกา ของสังคม นั่นเอง Powered by AkoComment 2.0! |