ทางเลือกของการเลือกตั้งสำหรับชาวบ้าน |
|
Thursday, 06 December 2007 |
ทางเลือกของการเลือกตั้งสำหรับชาวบ้าน | | |
เขียนโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ | วันอาทิตย์ที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๐ | "การเลือกตั้งซึ่งกำลังจะมาถึงจึงไม่ตอบปัญหาอะไรของประชาชนระดับรากหญ้าเลย ไม่ว่าจะเลือกพรรคใด" ประมาณ 6-7 ปีมาแล้ว ที่ความเคลื่อนไหวภาคประชาชนไม่คืบหน้าไปไหนเลย
ภายใต้รัฐบาลทักษิณ นายกรัฐมนตรีคิดหรือแสร้งคิดว่า คำตอบของพี่น้องระดับรากหญ้าอาจแก้ได้ด้วยนโยบายของพรรคเท่านั้น ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับรัฐหรือทุน เป็นปัญหาชั่วคราว ซึ่งนายกฯ มีคำตอบที่เป็นธรรมให้แก่ทุกฝ่ายเสมอ
คำตอบของนายกฯ มีกำลังบ้านเมืองหรือกำลังอันธพาลสนับสนุนอยู่ด้วย ฉะนั้นบางครั้งชาวบ้านก็ต้องยอมรับคำตัดสินนั้น ทั้งๆ ที่นายกฯ ไม่เคยแสดงเหตุผลได้ว่าเหตุใดจึงตัดสินใจเช่นนั้น แต่เมื่อไรที่ชาวบ้านไม่ยอมรับคำตอบ ก็จะมีกองกำลังของรัฐ เช่นตำรวจไว้ "ลุย" จนชาวบ้านหัวร้างข้างแตกและเสียข้าวเสียของเป็นบทเรียน เรื่องอาจจะขึ้นโรงขึ้นศาล และแม้ฝ่ายชาวบ้านจะชนะคดี แต่คำตอบของนายกฯ ก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง
ดังเช่นกรณีชาวบ้านจะนะกับการวางท่อก๊าซที่สงขลาเป็นต้น
การรัฐประหารเป็นเรื่องของการแย่งอำนาจกันในระหว่างกลุ่มชนชั้นนำ โดยได้รับความสนับสนุนจากคนชั้นกลาง ฉะนั้นการรัฐประหารจึงไม่ตั้งใจจะเข้ามาแก้ปัญหาของพี่น้องระดับรากหญ้ามาแต่ต้น รัฐบาลของคณะรัฐประหารไม่ใส่ใจแม้แต่จะบังคับให้โรงงานที่ปลดแรงงานปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานอย่างเคร่งครัดด้วยซ้ำ และการประท้วงของพี่น้องแรงงาน แม้เป็นข่าวก็มักจะไม่เกิดผลอะไร
ดังนั้น เวลานี้จึงมีเรื่องของภาคประชาชนตกค้างอยู่ในประเทศไทยนับเป็นร้อยเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรงงานถูกปลด, เรื่องมลภาวะที่อาจเกิดจากโรงถลุงเหล็ก, เรื่องการแย่งชิงพื้นที่สาธารณะทั่วประเทศไทย, เรื่องไล่คนออกจากป่า, เรื่องเหมืองชนิดต่างๆ ที่ปล่อยสารพิษลงแหล่งน้ำแล้ว และทำท่าจะปล่อยในอนาคต, เรื่องที่ทิ้งขยะ, เรื่องอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสร้างความเสื่อมโทรมแก่ระบบนิเวศ, เรื่องผลกระทบของสึนามิ, เรื่องหนี้สินเกษตรกร, เรื่องโชห่วย, ฯลฯ
ทั้งนี้ยังไม่นับเรื่องที่ยังไม่ "ร้อน" อีกนับไม่ถ้วน เช่นการสูญเสียที่ดินหรือการมีที่ดินไม่พอแก่การลงทุนของเกษตรกรรายย่อย, เรื่องหนี้สินของเกษตรกรซึ่งนับวันก็ยิ่งพอกพูนเพิ่มขึ้น, เรื่องต้นทุนด้านการศึกษาซึ่งสูงเกินกว่าที่คนจำนวนมากจะรับไหว, เรื่องคนแก่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว, เรื่องของหลักประกันสุขภาพทั่วหน้า, เรื่องอุตสาหกรรมบางประเภทต้องย้ายฐานการผลิตออกไป, เรื่องแรงงานไร้ฝีมือที่ต้องสูญเสียแหล่งทำกิน ทั้งในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม, ฯลฯ
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งจะเกิดขึ้นในต้นปีหน้าย่อมกระอัก จะเอากองกำลังของรัฐมา "ลุย" ประชาชนที่เคลื่อนไหว กองกำลังก็ไม่เล่นด้วยแน่ ครั้นจะแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม พรรคที่ร่วมรัฐบาลผสมอาจขัดขวาง เพราะการแก้ปัญหาบางอย่างย่อมขัดกับผลประโยชน์ของนายทุนพรรค ใครที่เป็นแกนนำก็รับหน้าเสื่อไปเต็มๆ อย่างน้ำท่วมปาก พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ด้วยเหตุดังนั้น การเลือกตั้งซึ่งกำลังจะมาถึงจึงไม่ตอบปัญหาอะไรของประชาชนระดับรากหญ้าเลย ไม่ว่าจะเลือกพรรคใด ก็มีความหมายเหมือนกัน กล่าวคือประคองประเทศไทยต่อไปสำหรับผลประโยชน์ของคนชั้นกลางซึ่งมีเสียงดังกว่าเท่านั้น
อันที่จริง ประชาชนระดับรากหญ้าก็ไม่เคยมี ส.ส.หรือพรรคการเมืองใดเป็นตัวแทนของตนอยู่แล้ว เพราะประชาชนขาดการจัดองค์กรเพื่อเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในระบบ ทำให้มีพลังน้อยกว่าหัวคะแนนอย่างเทียบกันไม่ได้ แม้แต่การเลือกตั้งที่ใช้เขตเลือกตั้งเล็ก (เขตเดียวเบอร์เดียว หรือที่เรียกกันว่าวันแมนวันโหวต) ประชาชนระดับรากหญ้าก็ไม่อาจใช้วิจารณญาณของตนในการเลือกตัวแทนได้ ฉะนั้นยิ่งมาเจอการเลือกตั้งแบบพวงใหญ่ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็เป็นอันตัด ส.ส.ไปได้เลยว่า ไม่ใช่ตัวแทนผลประโยชน์ของตน
ความไร้พลังของประชาชนระดับรากหญ้า เป็นผลให้พรรคการเมืองต่างๆ แทบไม่เคยเหลียวมองเลย แม้แต่คะแนนเสียงท่วมท้นของพรรค ทรท.ก็ใช่ว่ามาจากนโยบายที่เรียกกันว่า "ประชานิยม" ล้วนๆ หัวคะแนนและอำนาจรัฐก็มีส่วนอยู่ในนั้นไม่ใช่น้อย (ไม่อย่างนั้นแล้วจะรวบรวมนักการเมืองที่กุมเครือข่ายหัวคะแนนได้กว้างขวางไว้มากมายทำไม ... แม้เป็นผลให้สมาชิกก่อตั้งต้องถอนตัวไปหลายคน)
ความไร้พลังทางการเมืองระดับชาติตรงนี้ ส่วนหนึ่งก็ทำให้ประเด็นที่ภาคประชาชนผลักดันไม่เป็นผล อีกส่วนหนึ่งก็คือทำให้หาพันธมิตรในบรรดาคนชั้นกลางได้ยาก
ที่จริงแล้วประเด็นที่ภาคประชาชนเคลื่อนไหวนั้น มีนัยสำคัญต่อชาติหรือส่วนรวมมากกว่าความเดือดร้อนเฉพาะกลุ่ม (แต่ในขณะเดียวกัน สองอย่างนี้ก็แยกออกจากกันได้ยาก) เพราะรากเหง้าของนโยบายที่ผิดพลาดนั้น ไม่ได้กระทบต่อประชาชนในบางพื้นที่เท่านั้น แต่กระทบต่อประชาชนทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว
ยกตัวอย่างนโยบายพลังงาน ในขณะที่ประชาชนระดับรากหญ้าเดือดร้อนจากการกระจุกโรงไฟฟ้าสกปรกไว้ในพื้นที่ของคนเล็กๆ ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ, จากถ่านหิน และจากนิวเคลียร์ในอนาคต แต่การกระทำเหล่านี้ล้วนผูกอยู่กับนโยบายรวมศูนย์พลังงาน โดยมีกระทรวงพลังงานและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเกาะกุมวางแผนอยู่ ขาดความโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ และต่อรองไม่ได้ นับตั้งแต่แหล่งพลังงาน, สถานที่ตั้ง, ราคารับซื้อ, และราคาขาย ฯลฯ ล้วนอยู่ในดุลพินิจของคนกลุ่มนี้
พวกเขาอาจวางแผนโดยเห็นแก่ประโยชน์ของ "ส่วนรวม" แต่รู้ได้อย่างไรว่า "ส่วนรวม" ของเขา หมายถึงสิ่งเดียวกับของคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะอยู่ในระดับรากหญ้าหรือไม่ (ยังไม่พูดถึงอะไรอื่นที่อาจทับซ้อนกันได้อีกมาก)
เหตุใดจึงกระจายหลายส่วนของการพลังงาน (นับตั้งแต่การผลิต, การกระจาย, การบริโภค และอีกหลายส่วนของการจัดการ) ให้กว้างขวางไม่ได้ เช่นเหตุใดผู้ที่ผลิตไฟฟ้าจากขยะจึงไม่อาจซื้อ-ขายให้แก่สายส่งได้สะดวกเหมือนบริษัทเอคโก้ หากเป็นเช่นนั้น ใครจะลงทุนกับพลังงานหมุนเวียน เหตุใดการคำนวณค่าเอฟทีจึงมีข้อน่าสงสัยอยู่เสมอ เหตุใดการคำนวณต้นทุนของเขื่อนไฟฟ้าจึงไม่รวมค่าสูญเสียด้านนิเวศและสังคมลงไว้ด้วย ฯลฯ
ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคนไทยทุกคน ไม่เฉพาะแต่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากโรงไฟฟ้า การเชื่อมโยงการเคลื่อนไหวของตนจึงทำให้ได้พันธมิตรในหมู่คนอื่นๆ ซึ่งไม่ได้ผลกระทบจากโรงไฟฟ้าโดยตรงด้วย
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง การขยายการผลิตเหล็กอันเป็นนโยบายของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนนั้น ไม่ใช่เพื่อใช้ในประเทศ แต่เพื่อการส่งออก การผลิตเหล็กเพื่อการส่งออกนั้นเป็นนโยบายที่ควรได้รับการทบทวนเสียที หลายประเทศในโลกนี้ ยุติการผลิตเหล็กเพื่อส่งออกเสียแล้ว เพราะไม่คุ้มกับมลพิษและมลภาวะที่การผลิตก่อให้เกิดขึ้น และมักจะย้ายทุนไปผลิตในประเทศโลกที่สาม แล้วนำเข้าจะ "ถูก" กว่า แม้แต่จีนซึ่งเป็นผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่ของโลกในปัจจุบัน ก็เปลี่ยนนโยบายโดยค่อยๆ ลดปริมาณการผลิตลง ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะผลิตเพียงเพื่อพอใช้ในประเทศ
คนชั้นกลางที่คิดแต่กำไร-ขาดทุน ต้องเข้าใจเรื่องนี้ อันอาจทำให้พวกเขากลายเป็นพันธมิตรของชาวบางสะพาน ด้วยจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน กล่าวคือในขณะที่ชาวบางสะพานซึ่งทนต่อมลภาวะของโรงเหล็กมานาน ไม่อยากรับผลกระทบมากไปกว่าเดิม ชาวกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ก็อาจคิดถึงการวางนโยบายอุตสาหกรรมที่เป็นผลดีต่อลูกหลานในอนาคต และฉลาดรู้เท่าทันกับโลกาภิวัตน์ภายใต้การนำของมหาอำนาจด้วย
ฉะนั้น แม้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่ให้คำตอบอะไรแก่ปัญหาของชาวบ้าน และไม่ว่าจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญไปอย่างไร โอกาสที่ ส.ส.หรือพรรคการเมืองจะมาเป็นตัวแทนของชาวบ้านก็เกิดขึ้นได้ยาก ตราบเท่าที่ความเคลื่อนไหวภาคประชาชนจะต้องจัดองค์กรเพื่อเข้าไปมีพลังต่อรองในการเมืองในระบบบ้าง
การเลือกตั้งครั้งนี้ จึงน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ชาวบ้านผู้เคลื่อนไหว จะใช้เป็นงานทดลอง เพื่อเรียนรู้การจัดองค์กรสำหรับการนี้ในภายหน้า และในความเป็นจริงแล้ว ก็มีทางเลือกที่ชาวบ้านอาจเลือกได้หลายวิธี ซึ่งไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง และมีค่ากว่าเงินซื้อเสียง หรือสัญญาความช่วยเหลือแลกเปลี่ยนของผู้สมัคร
ตีพิมพ์ครั้งแรกที่เซคชั่น กระแสทรรศน์ นสพ.มติชน วันที่ 29 ต.ค.50 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10824 ------------------------------ | จากเว็บ http://www.siamsewana.org/
Powered by AkoComment 2.0! |