บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
'ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์'แล้วดาวอังคารก็ครองโลก |
Wednesday, 07 November 2007 | ||||
'ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์' แล้วดาวอังคารก็ครองโลก
โดยทั่วไปๆแล้ว เขาว่ากันว่า ผู้หญิงและผู้ชายเหมือนมาจากดาวคนละดวง เพราะคิดแตกต่างและทำแตกต่าง
เมื่อเทียบกับจำนวนรัฐมนตรีทั้งหมด ประมาณ 30 - 40 คน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือประธานสภาฯ ที่ไม่เคยมีผู้หญิงเลย ตั้งแต่ ปี 2475 เป็นต้นมา ดร. จอหน์ เกรย์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้เขียนหนังสือขายดิบขายดีทั่วโลก ชื่อว่า “ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์ (Men are from Mars, Women are from Venus)” ได้อธิบายความแตกต่างของมนุษย์ดาวอังคารและดาวศุกร์ไว้ว่า ผู้ชายซึ่งเป็นมนุษย์ดาวอังคาร เป็นดาวนักรบ มักให้ความสำคัญต่อ อำนาจ ความสามารถในการแข่งขัน ประสิทธิภาพ และความสำเร็จ ชาวดาวอังคารจึงมีความสุขมากเมื่อได้รับชัยชนะและประสบความสำเร็จ ขณะที่ผู้หญิงซึ่งเป็นชาวดาวศุกร์ เป็นดาวแห่งความรัก ให้ความสำคัญต่อการเอาใจใส่ดูแลซึ่งกันและกัน การรักษาความสัมพันธ์และความรู้สึก การพูดจา และรักสันติ ในทัศนะของชาวดาวศุกร์ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์มีคุณค่ามากกว่าการได้รับชัยชนะใดใด หรือความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มุมมองของมนุษย์ดาวศุกร์กับมนุษย์ดาวอังคารจึงแตกต่างกัน ความเป็นมนุษย์ดาวอังคารและดาวศุกร์ไม่ได้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แม้ว่าความแตกต่างทางเพศจะเห็นได้ชัดเจนจากสรีระร่างกาย ระดับฮอร์โมน และโครโมโซม แต่ความเป็นมนุษย์ดาวศุกร์และความมนุษย์ดาวอังคาร เกิดขึ้นจากกระบวนการทางสังคม ที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกัน หลังจากที่มนุษย์ได้เกิดและเติบโตขึ้นมาแล้ว ตั้งแต่การเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนของพ่อแม่และครอบครัว บทบาทของครูบาอาจารย์ในโรงเรียน การเข้าสังคมร่วมกับผองเพื่อนทั้งหลายทั้งเพื่อนที่โรงเรียน เพื่อนแถวบ้าน เพื่อนกลุ่มเที่ยว เพื่อนร่วมรุ่นมหาวิทยาลัย เพื่อนและเจ้านายที่ทำงาน รวมทั้งสื่อต่างๆที่ตอกย้ำซ้ำเติมความเป็นมนุษย์ดาวศุกร์และดาวอังคารอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เช่น การอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูลูกสาวให้เรียบร้อย รักสวยรักงาม เป็นธุระแทนพ่อและแม่ การอบรมลูกชายให้กล้าหาญเข้มแข็ง หลั่งเลือดแต่ไม่หลั่งน้ำตา การเลือกสีชมพูให้ลูกสาว เลือกสีฟ้าให้ลูกชาย ประมาณนั้น การอบรมสั่งสอนไม่ได้หมายความว่าเป็นการพร่ำพรรณนาว่าลูกต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผ่านการกระทำ หรือฝึกฝนให้ทำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างในชนบทไทย ลูกสาวต้องรับผิดชอบการเลี้ยงน้อง ช่วยแม่ทำกับข้าว ซักผ้า ตักน้ำ และดูแลบ้านเรือน เมื่อเติบโตขึ้นมา ผู้หญิงชนบทส่วนใหญ่จึงเป็นเสาหลักของครอบครัว เป็นหน้าที่ลูกสาวที่ต้องปรนนิบัติดูแลพ่อแม่จนแก่เฒ่า (เมื่อเทียบกับลูกชาย) ส่วนลูกชาย ถ้าเป็นสมัยก่อน เด็กผู้ชายชนบท ต้องทำหน้าที่เลี้ยงวัว/ควายเป็นหลัก เท่ากับได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านทั้งวัน ต่อมาครอบครัวก็คาดหวังให้เรียนหนังสือเพื่อจะได้เป็นเจ้าคนนายคน เป็นหน้าเป็นตาแก่ครอบครัว บวชเรียนให้พ่อแม่ได้เกาะชายผ้าเหลือง และถ้าลูกชายจะไปหัวหกก้นขวิดอย่างไร ถือว่าถ้าเอาตัวรอดได้ก็ไม่เป็นไร ออกจะแมนดี ว่างั้น ส่วนในสังคมเมือง การเลี้ยงดูตามบทบาทดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็ยังปล่อยให้ลูกชายเป็นทะโมนมากกว่าลูกสาว หรือครูเองก็มักคาดหวังเด็กผู้หญิงให้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์กติกา มีความประพฤติเรียบร้อยมากกว่าเด็กผู้ชาย หรือกิจกรรมการละเล่นระหว่างเด็กหญิงและเด็กชายก็ต่างกัน เด็กผู้หญิงมักเล่นขายของ เล่นตุ๊กตา เจรจาพาที กระโดดหนังยาง อะไรแบบกระหนุงกระหนิง ไปตามเรื่อง ส่วนเด็กผู้ชาย มักเล่นอะไรที่โลดโผนกว่า เตะฟุตบอล กระโดดน้ำ หุ่นยนตร์ รถแข่ง เครื่องบินบังคับ รถไฟ (เหมือนใครก็ไม่รู้) ความแตกต่างในการหล่อหลอมกล่อมเกลา ทั้งวิธีการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน กลุ่มเพื่อน ความคาดหวังของสังคม ส่งผลให้เมื่อเด็กหญิงและเด็กชายเติบโตขึ้นเป็นผู้หญิงและผู้ชายจึงมีวิธีคิดและวิธีมองโลกที่แตกต่างกันอย่างช่วยไม่ได้ มนุษย์ดาวศุกร์และมนุษย์ดาวอังคารจึงแตกต่างกันเพราะประการฉะนี้ เรื่องของเรื่องก็คือว่า ในเมื่อผู้หญิงและผู้ชายมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน ราวกับมาจากดาวเคราะห์คนละดวงเช่นนี้ ทำไมบนโลกใบนี้จึงมีแต่มนุษย์ผู้ชาย ที่กำหนดนโยบาย กำหนดอนาคต ทิศทางความเป็นไปของโลก ขณะที่มนุษย์ดาวศุกร์ซึ่งเป็นประชากรอีกครึ่งหนึ่งของโลก ได้แต่เป็นผู้ถูกปกครอง และนั่งมองตาปริบปริบ โลกเราถูกยึดครองโดยมนุษย์ชาวดาวอังคารมาช้านาน ลองดูบรรดากลุ่มผู้นำโลกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาก็ไม่เคยมีประธานาธิบดีที่เป็นผู้หญิง ส่วนประเทศยักษ์ใหญ่ กลุ่ม G8 มีประเทศเยอรมันเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่มีผู้หญิงเป็นผู้นำ (ซึ่งก่อนหน้านั้นก็ไม่ใช่ผู้หญิง) ส่วนอีก 7 ประเทศต่างเป็นผู้ชายล้วน ถ้าเป็นกลุ่มประเทศอาเซียนของเรา ก็มีแต่ประธานาธิบดีอาโรโยแห่งประเทศฟิลิปปินส์เพียงผู้เดียว หรือองค์กรระหว่างประเทศ องค์การสหประชาชาติ ธนาคารโลก องค์การการค้าโลก และอื่นๆ ก็มีแต่ ผู้ชาย ผู้ชาย และผู้ชาย ส่วนประเทศไทย เรามีประชากรทั้งสิ้น ประมาณ 65 ล้านคน และเกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรทั้งหมดเป็นผู้หญิง ( ผู้หญิง 33 ล้านคน ส่วนผู้ชาย 32 ล้านคน) แต่ผู้หญิงที่เคยนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีของรัฐบาลแต่ละชุด ไม่เคยเกิน 3 คนสักที รู้สึกไหมว่าอะไรบางอย่างที่ขาดหายไป.... และอาจเป็นเพราะอย่างนี้ก็ได้ ที่ทำให้โลกเรามีแนวทางแก้ปัญหาแบบเดิมเดิม แก้ปัญหาเก่ายังไม่ได้ กลับเกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก เพราะคิดแบบเดิม แบบมนุษย์ดาวอังคาร หากมีการสร้างความสมดุลจากมนุษย์ดาวศุกร์ โลกเราอาจจะน่าอยู่ขึ้นก็ได้ เพราะชาวดาวศุกร์มีธรรมชาติทั่วไปที่สนใจและใส่ใจเรื่องการดูแลซึ่งกันและกัน เพราะถูกหล่อหลอมมาด้วยบทบาทแม่ที่ดูแลทุกข์สุขของสมาชิกทุกคนในบ้าน เราจึงอาจมีสังคมที่ดูแลกันและกันมากขึ้นก็ได้ ถ้าเรามีผู้นำโลก และผู้นำสังคมที่เป็นผู้หญิงมากขึ้น หรือการเมืองไทยเองก็ตาม เรามักได้ยินคำบ่นอยู่เสมอว่า น่าเบื่อหน่าย อยู่ในวังวนแบบเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่...นั่นเป็นเพราะมีมนุษย์ดาวอังคารในสภาหรือในพรรคการเมืองมากไปหรือเปล่า จากประสบการณ์วัยเด็ก เด็กผู้ชายมักจะเกเร หรือทำอะไรที่ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์กติกามากกว่าเด็กผู้หญิง อย่างการมาสาย ไม่ส่งการบ้าน โดดเรียน หรือลอกข้อสอบ ต่อให้ในสมัยนี้ เด็กที่ติดเกมส์ ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง ก็เป็นเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง นี่อาจเป็นสัญญาณหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อผู้หญิงเข้าสู่วงการเมืองอาจมีความยับยั้งชั่งใจมากกว่าผู้ชาย หรือเมื่อเกิดความขัดแย้ง ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะใช้ความนิ่งเงียบหรือประนีประนอมมากกว่าการใช้กำลังแบบแมนแมนเขาทำกัน นี่อาจทำให้เป็นการเปิดประตูให้เกิดการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งแบบสันติวิธีมากกว่าแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน เรายังไม่เคยได้ยินว่ามีหัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายเป็นผู้หญิง (และภาวนาอย่าให้มี) หรือด้านนโยบาย ปัจจุบันนักการเมืองที่มาจากดาวอังคารมองไม่เห็นเรื่อง(ที่เขาคิดว่าเล็ก)อย่างความอบอุ่นเข้มแข็งของครอบครัว อนาคตของเด็กหลอดแก้ว ผู้หญิงที่ทุกข์ทรมานใจจากการท้องนอกสมรส ความปลอดภัยจากมิจฉาชีพ จึงมองเห็นแต่เรื่อง(ที่เขาคิดว่าใหญ่) เช่น การแข่งขันทางเศรษฐกิจ สนับสนุนนโยบายลดแลกแจกแถม ให้ความสำคัญต่อเส้นทางรถไฟฟ้าและถนนขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ทั้งนั้น สิ่งที่ทำให้การเมืองไทยเลยไม่ค่อยสมดุล เป็นเพราะมีผู้หญิงน้อยไปหรือไม่ เราจึงไม่มีอะไรที่แตกต่าง ความแตกต่างไม่ได้แปลว่าไม่ถูกต้อง หรือด้อยคุณค่ากว่า หรือวิเศษกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง แต่คือความเหมาะเจาะ ลงตัว ไม่ให้สุดขั้วไปข้างใดข้างหนึ่ง อะไรที่ยังไม่ค่อยพอเหมาะพอดี อาจเป็นผลจากการขาดความแตกต่างหลากหลาย เพราะสิ่งที่เจริญงอกงาม มีลักษณะของความหลากหลาย เพราะความหลากหลายคือความสร้างสรร และความสมดุล และลดความเสี่ยง ส่วนอะไรที่เอียงข้างเดียว อาจจะคับแคบไป ละเลยหรือหลงลืมสิ่งที่สำคัญไป นักการเมืองหญิงจึงอาจสร้างความแตกต่าง ในระบบการเมืองแบบเก่าเก่า เราลองเปิดโอกาสให้ผู้หญิง เผื่ออะไรอะไร(อาจจะ)เปลี่ยนแปลง (บ้าง)
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|