บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
"ใบพลู" โดย สายลมจอย |
Thursday, 25 October 2007 | |||||
"ใบพลู"
เขียนโดย สายลมจอย
“เมื่อรู้ว่าตัวเองท้อง ฉันรู้สึกเหมือนโลกจะถล่มทลายลงไปต่อหน้าและคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ แต่การที่ได้มาอยู่ที่บ้านดอกไม้ป่า ทำให้ฉันรู้ว่าชีวิตยังมีทางออก ที่นี่...ฉันได้รับกำลังใจ และรู้สึกว่าฉันสามารถทำอะไรเพื่อตัวเองได้”
นี่เป็นคำบอกกล่าวจากปากเด็กสาววัย 17 สมาชิกของบ้านดอกไม้ป่าอีกคน เรื่องราวของเธอน่าสนใจเป็นอย่างมาก ปัญหาชีวิตของเธอถือว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากโครงสร้างทางวัฒนธรรมในชุมชนเลยทีเดียวก็ว่าได้ ส่วนปัจจัยอื่นๆ อาทิ ด้านสังคมและเศรษฐกิจนั้นก็ถือเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กันที่ผลักดันชีวิตเธอให้มาพบกับความยุ่งยากในการดำเนินชีวิตที่ต้องเผชิญอยู่ในทุกวันนี้ ใบพลูเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวและชุมชนในชนทบห่างไกลจากสภาพภายนอก เธอดูปรกติเหมือนคนทั่วไป มีพ่อแม่พี่ๆ ญาติๆ เพื่อนบ้านมากมาย แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ได้พบกับจุดหักเหในชีวิต ความรู้สึกที่ได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับจุดกำเนิดของตนเองกลับทำให้ชีวิตเธอแปรเปลี่ยนไม่อาจหวนคืน... “ฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของครอบครัวนี้เมื่อแม่ที่เลี้ยงฉันมากำลังจะจากฉันไปอีกคน แม่จริงๆ ฉันตายหลังจากที่คลอดฉันได้ 8 เดือน ส่วนพ่อไม่มีปัญญาจะเลี้ยงฉัน จึงยกฉันให้กับครอบครัวนี้ ซึ่งแม่ที่เลี้ยงฉันมาได้บอกว่าเธอเป็นน้องสาวของแม่จริงๆ ของฉัน แต่บางคนก็บอกฉันว่าฉันไม่ใช่ญาติพี่น้องกับครอบครัวนี้เลย ฉันไม่ใช่คนชนเผ่านี้ มันกลับทำให้ฉันยิ่งรู้สึกแปลกแยกมากขึ้นไปอีก ฉันไม่รู้ว่าสิ่งไหนจริงหรือแค่คำเล่าลือให้รำคาญใจ” เท่าที่จำความได้ใบพลูรับรู้ว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงเธอมาดีต่อเธอมาก แต่ถึงกระนั้นสิ่งดีๆ ทั้งหลายที่ผ่านมาก็ไม่สามารถทำให้เธอนึกอดสูใจที่รู้ว่า “ฉันถูกทิ้ง ฉันเรียกร้องอยากได้พบเจอพ่อแม่ที่แท้จริง ทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้ ฉันอยากเจอหน้าพ่อที่ทิ้งฉันไป ฉันโหยหาอ้อมกอดการดูแลจากแม่ที่ตายไปแล้ว ฉันรู้สึกว่าฉันกลับกลายเป็นคนแปลกหน้าของคนอื่นๆ” ความเจ็บปวด ความคิดร้ายๆ มันคอยทิ่มแทงใจอยู่ตลอดเวลา สับสนและโหยหาคำตอบที่ดูเหมือนจะพบแต่ความว่างเปล่า... เมื่อเศรษฐกิจและสภาพสังคมสิ่งแวดล้อมปัจจุบันที่เธอเห็นมันยั่วยุและหลอกล่อให้เธออยากออกเดินทางไปค้นหาชะตากรรมของตนเอง เธอตัดสินใจออกจากบ้านไปทำงานในกรุงเทพฯ หลังจากฤดูทำไร่ตามคำชักชวนของเพื่อนรุ่นเดียวกันในหมู่บ้านที่เคยไป “แม่ไม่อยากให้ฉันไป แต่ฉันดื้อรั้นไม่เชื่อฟังฉันขอเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ กับเพื่อนๆ เพราะที่บ้านไม่มีเงินใช้ฉันโตเป็นสาวและอยากจะมีเงินใช้เหมือนคนอื่นๆ อยู่บ้านก็มีแต่ทำไร่ทำนาไปวันๆ" ใบพลูใช้วุฒิป.6 เข้าไปทำงานในโรงงานแห่งหนึ่งชานเมืองกรุงเทพฯ หลังจากทำงานไปได้สักพักเธอก็ได้พบกับแฟนที่นั่น เขาเป็นคนชนเผ่าเดียวกับเธอแต่อยู่ต่างถิ่นกัน “เรารู้จักกันเร็วมากเพียงแค่ 2 เดือนฉันก็ยินยอมที่รับรักเขาและมีอะไรกับเขาโดยที่ไม่ได้รู้วิธีที่จะป้องกันอะไรเลย เขาดีต่อฉันมาก เราพักอยู่ใกล้ๆ กันฉันเช่าห้องอยู่กับเพื่อน แต่ไม่นานสิ่งที่เขาปกปิดฉันก็ได้เปิดเผยขึ้นมา ฉันเห็นนามสกุลของเขาในบัตรประชาชนซึ่งเป็นนามสกุลเดียวกับฉัน ฉันตกใจและผิดหวังมากที่ปกปิดนามสกุลของเขา ทั้งที่ฉันก็เคยถามเขาก่อนหน้านี้แต่เขาไม่ยอมบอกความจริง รวมถึงเพื่อนฉันด้วยพวกเขารู้แต่ไม่มีใครบอกฉัน ชนเผ่าเราจะถือว่าถ้าหากนามสกุลเดียวกันจะห้ามแต่งงานกัน ถึงจะรักกันมากเพียงใดก็ตาม เพราะถือว่าเป็นพี่น้องกัน และถึงแม้จะอยู่คนละซีกโลกก็ตามที ฉันโกรธและตัดสินใจจะกลับไปอยู่ที่บ้าน เลิกคบกับเขา เขาตามมาขอโทษที่สถานีขนส่งหมอชิตและไม่ยอมให้ฉันจากไป แต่มันไม่ช่วยลบล้างการกระทำใดๆ ได้ ฉันจึงบอกไปว่าฉันจะกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้านเท่านั้นแล้วฉันจะกลับมาหาเขาอีก” ... ฉันมาอยู่ที่บ้านไม่ถึงเดือนแม่ก็จากฉันไปอีกคนด้วยอุบัติเหตุ ฉันไร้ที่พึ่งทางใจโดยสิ้นเชิง ... ในช่วงไม่ถึง 3 เดือนที่อยู่ที่บ้านใบพลูและเขาติดต่อกันอยู่บ้าง ระหว่างนี้เองร่างกายเธอเริ่มเปลี่ยนแปลงเพื่อนๆ สังเกตุว่าอาการเธอเหมือนคนตั้งท้อง เธอจึงไปหาหมอเพื่อตรวจให้แน่ใจ และเธอก็รู้ว่าชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีก “ฉันตั้งครรภ์ 3 เดือน ฉันกลับมาบ้านใช้เวลารวบรวมความกล้าทั้งที่กลัวเหลือเกินที่จะต้องบอกให้คนทางบ้านรับรู้ในเรื่องนี้ หลังจากที่บอกให้พี่สาวรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดรวมถึงเรื่องที่พ่อของเด็กในท้องเป็นคนที่มีนามสกุลเดียวกัน เธอบอกให้ฉันโทร.ไปบอกเขา และเขาก็บอกแม่ให้รู้ แม่เขาบอกให้พาฉันไปเอาเด็กออกเสีย “ฉันกลัวมากถ้าเขาจะให้ทำอย่างนั้นจริงๆ แต่เขาก็ไม่กล้าเช่นกัน” เมื่อเรื่องมันกลับเป็นอย่างนี้แล้วเธอไม่รู้ว่าจะจัดการอะไรได้อีก จึงขอให้พี่สาวและอาผู้หญิงช่วยจัดการติดต่อกับแม่ของเขาโดยตรง เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้มาพบพูดคุยกัน แม่เขาบอกว่าจะให้จัดการอย่างไร? จะให้แต่งงานกันไหม? แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เธอกับเขานามสกุลเดียวกัน ทั้งเธอและเขาไม่มีสิทธิที่จะใช้ชีวิตร่วมกันได้ “สุดท้ายผู้ใหญ่ฝ่ายฉันไม่ยอมให้เราแต่งงานกัน ฉันได้เงินชดใช้ค่าเสียหายสองหมื่นบาทจากฝ่ายชาย ระหว่างนั้นเองเขามาพบฉันและเราได้คุยกัน เขาร้องไห้และเสียใจในสิ่งที่เขาทำต่อฉัน ฉันบอกให้เขากลับไปและไม่ต้องติดต่อกับฉันอีก เราไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก ส่วนแม่เขาก็ไม่ค่อยเชื่อฉันเพราะมีคนในหมู่บ้านบางคนกล่าวหาว่า ก่อนหน้าที่ฉันไปทำงานที่กรุงเทพฯ ใช่!ฉันมีแฟนอยู่ที่บ้านแต่เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยทำงานทำการ ฉันเลยเลิกและไปทำงานกรุงเทพฯ ฉันเครียดและเสียใจมากที่คนอื่นมาดูถูกฉันอย่างนี้ แน่นอนว่าฉันรู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก ฉันไม่เคยมีอะไรกับแฟนคนแรกเลย ฉันไม่มีสิทธิได้เรียกร้องสิทธิความเสียหายให้กับตัวเองกับลูกแม้แต่น้อย มีแต่ผู้ใหญ่จัดการกันเองทั้งนั้น เงินที่ได้มาฉันและลูกก็ไม่มีสิทธิ” ทุกอย่างจะเป็นปัญหาน้อยกว่านี้ถ้าหากเขาไม่ใช่คนนามสกุลเดียวกับเธอ บทสรุปของชีวิตใบพลูในเวลานั้น ก็คือการจำยอมเป็นผู้หญิงที่ท้องไม่มีพ่อ เธอโดดเดี่ยวและทางครอบครัวก็อับอายในเรื่องที่เกิดขึ้น ถึงแม้ฝ่ายชายจะพาพ่อแม่มาจ่ายเงินชดใช้ความเสียหายแสดงความรับผิดชอบต่อเธอ แต่เรื่องราวต่างๆ ที่เธอถูกกล่าวหามันไม่ได้ช่วยให้เธออยู่ที่นี่ในสถานภาพเดิมของลูกสาวบ้านนี้ได้อย่างมีความสุขเหมือนเมื่อก่อน หลังจากที่พายุลูกใหญ่สงบลงคงเหลือแต่ซากปรักหักพังปรากฏให้เห็นของชีวิตหญิงสาวกับลูกน้อยในครรภ์ “แม่จากไปและเรื่องวุ่นวายทั้งหลายได้ยุติลงได้ไม่กี่เดือน ฉันกลายเป็นขี้ปากของคนทั้งชุมชนช่วงเวลาที่ตั้งท้องและอาศัยในครอบครัวฉันรู้สึกว่าถูกกดดันให้เป็นเสมือนสิ่งที่เลวร้าย ฉันรับรู้ได้จากการที่ทุกคนพยายามที่หาทางจะผลักไสฉันไปอยู่ที่อื่น พ่อก็เปลี่ยนไปและฉันก็รู้สึกผิดต่อเขามาก ส่วนพี่ก็มีเมียและลูกของเขา พี่สาวก็แต่งงานไปอยู่บ้านแฟน ฉันมองดูตัวเองแล้วยิ่งทำให้รู้ว่าฉันเป็ส่วนเกิน ไม่มีใครต้องการฉันอีก...หมดสิ้นความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าในสายตาของใครๆ”... ในขณะอายุครรภ์เข้าเดือนที่ 6 เธอได้ติดต่อขอเข้ามาพักอยู่ที่บ้านดอกไม้ป่าโดยคำแนะนำจากญาติห่างๆและปลายปีที่ผ่านมาเธอได้ให้กำเนิดเด็กชายร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง จนมาถึงวันนี้เขาหน้าตาเหมือนเธออย่างกับว่าถอดพิมพ์มาเลยทีเดียว “เขาผิวขาวเหมือนพ่อของเขา ตัวโตกว่าเด็กวัยเดียวกันมาก ฉันเลี้ยงดูเขาอย่างดีเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้บางครั้งจะโกรธและโมโหที่เขาร้องไห้บ่อยๆ เพราะฉันไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร แต่ฉันก็จะพยายามสื่อสารกับเขาให้ได้มากที่สุด และจะเลี้ยงเขาให้ดีจะเป็นแม่ที่ดีเท่าที่จะทำให้เขาได้” ... “ฉันกังวลมากว่าจะนำพาชีวิตของตัวเองและเด็กน้อยคนนี้เดินต่อไปในอนาคตได้อย่างไรหนอ? มันเป็นคำถามที่วนเวียนเข้ามาในสมองบ่อยๆ เวลาที่คิดถึงแม่ที่จากไป ถึงพี่ชายจะติดต่อมาหาฉันบ้าง แต่ฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านอย่างสงบสุขได้อีก เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปฉันก็ต้องเริ่มต้นใหม่... การมาอยู่ที่บ้านดอกไม้ป่าทำให้ฉันมองเห็นโลกได้กว้างมากขึ้น หลายคนที่มีความทุกข์และตกอยู่ในปัญหาชีวิตคล้ายๆ กันกับฉัน ที่นี่ฉันมีเพื่อน ถึงแม้ว่าบางเวลาจะมีการพูดจากระทบกระเทือนทำให้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจบ้างแต่ฉันก็ได้เรียนรู้การที่จะอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก ถึงอย่างไรเราก็เป็นเพื่อนกัน และที่นี่ก็มีเจ้าหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือฉันอยู่ “ฉันรู้ว่า...ฉันมีความสุขมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน”
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ตถาตา…เป็นเช่นนั้นเอง โดย สายลมจอย
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|