ยส. (ยุติธรรมและสันติ)
ขอบคุณทุกท่าน ที่แวะเข้ามาค่ะ
วารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ 123
สารวันสันติสากล 1 มกราคม 2024 ปัญญาประดิษฐ์ และสันติภาพ
น้ำแห่งชีวิต (Aqua fons vitae) สมณกระทรวงเพื่อ ส่งเสริมการพัฒนา มนุษย์แบบองค์รวม
แอมะซอนที่รัก (QUERIDA AMAZONIA) สมณลิขิตเตือนใจ... ของสมเด็จ- พระสันตะปาปาฟรังซิส
หนังสือแปล จงสรรเสริญพระเจ้า... การก้าวออกไป อย่างต่อเนื่องของเอเชีย
หนังสือแปล Compendium... ประมวลหลักคำสอน ด้านสังคมของ พระศาสนจักร ภาคที่ 2 และ3
หนังสือแปล Compendium... ประมวลหลักคำสอน ด้านสังคมของ พระศาสนจักร ภาคที่ 1
หนังสือแปล Jesus CEO : พระเยซูเจ้า นักบริหารชั้นนำ
หนังสือ เส้นทางสู่ สิทธิมนุษยชนศึกษา
หนังสือแปล Caritas in Veritate : พระสมณสาสน์ ความรักในความจริง
โปสเตอร์ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก แห่งสหประชาชาติ พ.ศ.2532
ดูเว็บอื่นๆ ในหมวด เว็บน่าสนใจ เว็บด้านสิทธิฯ ข่าวสาร/บันเทิง หน่วยงานองค์กรคาทอลิก
ในการประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนา เมื่อวันที่ ๒๖ – ๒๗ เมษายน ๒๐๐๗ ศาสนจักรคาทอลิก โดยองค์ผู้นำ พระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ ๑๖ ทรงเรียกร้องให้ทุกคนเคารพสิ่งสร้าง และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องร่วมมือกันเพื่อให้วาระการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นวาระสำคัญยิ่งของการพัฒนาที่ยั่งยืนในศตวรรษที่ ๒๑ ทั้งนี้ ประชากรทุกเผ่าพันธุ์ ทั้งที่กำลังสาละวนกับการทำสงคราม อันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์การเมือง หรือไม่ก็ตาม ต่างกำลังเผชิญกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง และหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากอากาศที่ร้อนขึ้นหรือเย็นลงอย่างยาวนาน จนดูเหมือนว่าเป็นรอบของธรรมชาติที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคน้ำแข็งใหม่ โดยที่มนุษย์แทบไม่รู้สึกตัว
สภาพที่กล่าวมา ประเทศไทยก็เผชิญเข้าแล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน สภาพอากาศที่แปรปรวน ภาวะน้ำท่วมในภาคกลางยาวนาน การเกิดคลื่นสูงตามชายฝั่งทะเล อุณหภูมิที่สูงขึ้นเกือบถึง ๔๕ องศาเซลเซียส ฤดูฝนที่มาก่อนฤดูกาล และการเกิดพายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรง รวมไปถึงการแพร่กระจายของเชื้อโรคที่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพอากาศเย็นชื้นยาวนาน เช่น เชื้อโรคไข้หวัดนก และไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น การเผชิญหน้ากับนิเวศน์ธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงนี้เป็นการท้าทายที่ยิ่งใหญ่ พระศาสนจักรเป็นด่านหน้า ที่ต้องรับมือ เพราะปัญหาอันใหญ่หลวงนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องศีลธรรมโดยตรง และผู้ที่ได้รับผลกระทบจำนวนมหาศาล คือ คนยากจน ที่โดยชีวิตปกติก็แทบจะไม่มีโอกาสเข้าถึงความร่ำรวยทางธรรมชาติอยู่แล้ว ในความเชื่อของคริสตชน นิเวศน์ธรรมชาติเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังปรากฏในพระคัมภีร์บทปฐมกาล พระเจ้าทรงประทานโลกและสิ่งสร้างเพื่อมนุษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าได้ใช้ประโยชน์และดูแลรักษา เพื่อมนุษย์ได้ดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและครบครัน แต่ทุกวันนี้ สังคมมนุษย์ที่หลงติดอยู่ในกับดักแห่งการพัฒนาที่มุ่งแต่การเติบโตทางเศรษฐกิจ มนุษย์เราใช้ชีวิตเป็นเสมือนโจรสลัด เราปล้นสะดมต้นทุนชีวิตของเราเอง หรือหากเปรียบนิเวศน์ธรรมชาติเป็นดังธนาคาร เราไปถอนเงินฝากของเราออกมาใช้อย่างอีรุ่ยฉุยแฉก ขณะนี้คลังเงินในธนาคารกำลังหมดไป พระศาสนจักรในฐานะผู้สืบทอดพันธกิจของพระคริสตเจ้า “เรามาเพื่อท่านจะมีชีวิต และมีชีวิตที่สมบูรณ์”(ยน ๑๐ - ๑๐) จะช่วยให้ประชากรของโลกมีชีวิตที่สมบูรณ์อย่างไร ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงนิเวศน์ธรรมชาติ ในที่สุดจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราทั้งหมด ในพิธีบูชาขอบพระคุณของชาวคริสต์ โดยเฉพาะภาคบูชาขอบพระคุณ แผ่นปังและเหล้าองุ่น มีนัยที่สำคัญที่สุด ซึ่งอธิบายถึงสิ่งจำเป็นของมนุษย์ และการงานอันเป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ นั่นคือ มนุษย์ต้องมีชีวิตและเจริญเติบโต ด้วยการกระทำเพื่อได้รับประโยชน์สูงสุดจากสิ่งสร้าง แผ่นปังทำมาจากข้าวสาลี ที่เติบโตงอกงามจากผืนดิน ผ่านการนวด สี โม่ และอบ เช่นเดียวกับเหล้าองุ่น ที่เป็นผลมาจากน้ำองุ่น อันเป็นผลมาจากแรงงานของมนุษย์ ดังนั้น การรับศีลมหาสนิท (การรับแผ่นปังของชาวคริสต์) เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับนิเวศน์ธรรมชาติ ที่เป็นความสัมพันธ์ชนิดแนบแน่น และเต็มไปด้วยความเคารพ มิใช่ความสัมพันธ์เชิงเอาเปรียบ ตักตวงเอาประโยชน์จากธรรมชาติ พระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ ๒ เคยกล่าวเตือนว่า ปัญหานิเวศน์ธรรมชาติเป็นเรื่องของจริยธรรมของมนุษย์ พระองค์เรียกร้องคริสตชนให้หันมาร่วมฟื้นฟูนิเวศน์ธรรมชาติ และให้ตระหนักว่าภารกิจดังกล่าวเป็นกระแสเรียกของมนุษย์ทุกคน มนุษย์ควรเปลี่ยนแปลงด้านนิเวศน์ชีวิตของตนเอง ด้วยการฟื้นฟูจิตวิญญาณของตนเอง ควบคู่ไปกับการเคารพฟื้นฟูธรรมชาติ และต้องออกจากตนเองไปสู่ผู้อื่น พระศาสนจักรในยุคปัจจุบัน ยังนำหลักคำสอนด้านสังคมที่สำคัญมายืนยันข้อเรียกร้องดังกล่าว เรื่องที่หนึ่ง ประโยชน์ผาสุกของส่วนรวม (Common Good) วิกฤตินิเวศน์ธรรมชาติ โดยเฉพาะประเด็นภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง เป็นตัวอย่างของการคำนึงเรื่องความผาสุกของส่วนรวม ทั้งนี้ อากาศที่ห่อหุ้มโลก ก็ห่อหุ้มมนุษย์ สัตว์ พืช และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และเมื่อทุกชีวิตอยู่รอดด้วยอากาศ สิ่งนี้อธิบายได้ถึงความเป็นสากลของประโยชน์ผาสุกของส่วนรวม ซึ่งไม่ว่ามนุษย์ในยุคใดก็ตามต้องร่วมกันรับผิดชอบ ดูแล รักษา และเข้าถึงประโยชน์ร่วมกัน การส่งต่อปัญหาโลกร้อนแก่คนรุ่นต่อไป สะท้อนถึงความไม่รับผิดชอบ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของมนุษย์ในยุคที่ให้คุณค่าแก่วัตถุสำคัญกว่าความเป็นมนุษย์ เราไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะทิ้งมรดกแห่งปัญหาที่ยิ่งใหญ่แก่ลูกหลาน ทั้งนี้ ในฐานะผู้พิทักษ์มรดกของพวกเขา เรามีพันธะหน้าที่ที่ต้องเคารพในศักดิ์ศรีของคนรุ่นใหม่ด้วย และต้องส่งต่อมรดกแห่งนิเวศน์ธรรมชาติที่เราได้รับมาจากบรรพบุรุษให้แก่ลูกหลาน เพื่อว่าชีวิตของอนุชนรุ่นหลังจะดำรงชีวิตอย่างดีกว่ายุคสมัยที่เราเป็นอยู่นี้ เรื่องที่สอง การพิทักษ์รักษาสิ่งสร้างของพระเจ้า (Stewardship) การพิทักษ์รักษาในความเข้าใจของคริสตชน เป็นการกระทำที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบทางศีลธรรม สิ่งแวดล้อมและทรัพย์สินบนโลกนี้ เป็นสิ่งจำนองทางสังคม โลกนี้เป็นของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่ให้ยืมแก่มนุษย์ มนุษย์ควรเป็นผู้พิทักษ์ที่ดีต่อโลก เราควรใช้สติปัญญาซึ่งพระเจ้าประทานมาให้ ในการร่วมกันปกป้องศักดิ์ศรีและชีวิตมนุษย์ด้วยกัน และปฏิบัติการเพื่อดูแลรักษาสรรพสิ่งบนโลกนี้ด้วยความรัก การพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อม เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของทุกคนไม่ว่าร่ำรวยหรือยากจนที่ต้องปฏิบัติด้วยจิตสำนึกแห่งศีลธรรม เราต้องดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความรับผิดชอบ ในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่ง หรือมีชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติ มากกว่าการจัดการธรรมชาติราวกับว่ามิได้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เรื่องที่สาม การพัฒนาที่แท้จริง (Authentic Development) การพัฒนาที่แท้จริง ควรพิจารณาถึงมิติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องศีลธรรมของประชาชน ความรับผิดชอบของสังคม การปฏิบัติความยุติธรรม การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง และการเคารพต่อแบบแผนทางวัฒนธรรมที่ช่วยให้มนุษย์ทุกคนมีมาตรฐานการดำรงชีวิตที่สมบูรณ์ขึ้น มากกว่าเรื่องของการมีวัตถุในครอบครองเพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว เราต้องไม่ปล่อยให้ความกระหายอยากวัตถุ มีมากจนกระทั่งทำให้ความคิดคำนึงของเราต่อความทุกข์ยากของผู้อื่นสูญหายไป การดำเนินชีวิตที่ให้ความสนใจน้อย ต่อการได้มาซึ่งวัตถุ อาจเป็นสิ่งที่เตือนเราถึง การ เป็น มนุษย์ของเรามีค่ายิ่งกว่า การ มี สิ่งของต่างๆ ไว้ในครอบครองมากมาย ประเด็นภาวะโลกร้อนที่หนักหน่วงอยู่ในขณะนี้ เป็นสิ่งที่ท้าทายการพัฒนาอย่างยิ่ง เราไม่ควรที่จะโต้เถียงกัน หรือประณามกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งว่าเป็นตัวต้นเหตุ เช่น การกล่าวหาที่เป็นสูตรสำเร็จว่า ชาวเขา / ผู้อยู่บนดอย เป็นผู้ที่เผาป่า อันเป็นเหตุให้เกิดวิกฤติอากาศร้อนในภาคเหนือ เมื่อเดือนมีนาคม – เมษายน ที่ผ่านมา ทั้งนี้ การพัฒนาที่เน้นเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายก็ละเลยเรื่องศีลธรรม กระทำการด้วยความไม่รับผิดชอบ มุ่งแต่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น และสกัดกั้นไม่ให้คนด้อยโอกาสกว่าเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึงได้รับ หรือพูดง่ายๆ ว่า ถ้าเป็นผลประโยชน์ ฉันเอา แต่ถ้าเป็นผลเสีย คุณรับไปก็แล้วกัน จุดยืนเรื่องการพัฒนาที่แท้จริง ที่ปรากฏในสมณสาสน์การพัฒนาประชาชาติ (ค.ศ.๑๙๖๗) ยังเป็นสิ่งร่วมสมัยในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะเรื่องความรับผิดชอบทางศีลธรรมของประเทศที่ก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม ที่ต้องปรับการผลิตมิให้ล้นเกินความจำเป็น เกินการบริโภคที่ควรจะเป็น ประเทศเหล่านี้ที่มีความพร้อมด้านเงินทุน มีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี และมีสมรรถนะในการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ควรหันมาช่วยเหลือประเทศที่กำลังพัฒนา โดยเฉพาะประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ยังเผชิญกับภาคเกษตรที่ล้มลุกคลุกคลาน (เพราะถูกประเทศที่พัฒนาเข้ามาตักตวงทรัพยากรธรรมชาติไป) เพื่อให้เขาได้หลุดพ้นจากสภาพยากจนที่กดทับอยู่ และที่สำคัญ การพัฒนาทั้งสองภาคนี้ต้องมีดุลยภาพแห่งการเคารพคุณค่าของธรรมชาติ และการคำนึงถึงชีวิตที่ผาสุกของมนุษย์ทุกคน เรื่องที่สี่ ความยุติธรรมเป็นความยุติธรรมต่อคนยากจนหรือไม่ การปรับตัวของกลุ่มคนเหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่าย เหมือนกับผู้ที่มีกำลังทางเศรษฐกิจ เพราะชีวิตของเขาทั้งหมดขึ้นอยู่กับต้นทุนธรรมชาติ ในที่สุด พวกเขาต้องเป็นผู้อพยพอีกครั้ง จากการเปลี่ยนแปลงของอากาศ และเป็นความยุติธรรมหรือไม่ต่อคนรุ่นใหม่ ผู้ที่ต้องรับเอามรดกของอากาศที่ผันแปรอยู่อย่างต่อเนื่องและภัยพิบัติจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น การกลับมาแพร่กระจายของเชื้อโรคเขตร้อน และผลกระทบต่อภาคเกษตร ที่สุดถือเป็นความอยุติธรรมต่อสิ่งสร้างทั้งหมด เพราะไม่มีสิ่งใดหลบเลี่ยงจากการถูกรบกวนด้วยความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ความห่วงใย รวมไปถึงจุดยืนทางศาสนาข้างต้นจะไม่บรรลุผล หากไม่มีการปฏิบัติในชีวิตจริง ภาวะโลกร้อน และอากาศที่เปลี่ยนแปลง กำลังท้าทายความเชื่อของผู้มีศาสนา ว่า เรายังปฏิบัติความรักต่อเพื่อนพี่น้องของเราหรือไม่ เรายังเป็นมนุษย์คนหนึ่งในครอบครัวมนุษยชาติ ที่ต้องดำรงชีวิตอยู่โดยสัมพันธ์กับสรรพสิ่งหรือไม่ หากคำตอบว่า ความรักต่อเพื่อนบ้านเป็นความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เพื่อรวมเราเป็นหนึ่งเดียวกันในโลกธรรมชาตินี้ การดำเนินชีวิตท่ามกลางวิกฤตินิเวศน์ธรรมชาติ ควรมีคุณค่าหลักซึ่งมาจากพลังจิตภายใน นั่นคือ การควบคุมตนเอง ความชีวิตท่ามกลางวิกฤตินิเวศน์ธรรมชาติ ควรมีคุณค่าหลักซึ่งมาจากพลังจิตภายใน นั่นคือ การควบคุมตนเอง ความสุขุมรอบคอบ ความยุติธรรม และความกล้าหาญ[๑] ซึ่งทั้ง ๔ คุณค่านี้ ช่วยให้มนุษย์ดำรงอยู่อย่างสมดุลกับมนุษย์ด้วยกัน และกับธรรมชาติอันเป็นสิ่งสร้างของพระเจ้า ทั้งนี้ ความสำเร็จในชีวิตมนุษย์มาจากการที่มนุษย์มีความสุขสูงสุดจากการใช้ทรัพยากรของโลกน้อยที่สุด “enough is enough”[๒]
[๒] E.F. Shumacher , Small is Beautiful : Economic as if People Mattered
Powered by AkoComment 2.0!