“กองบุญข้าว” คุณธรรมที่แฝงอยู่ใน “ข้าว” ของชาวปกาเกอะญอ
ธัญลักษณ์ นวลักษณกวี ฝ่ายเผยแพร่เพื่อการมีส่วนร่วม ยส. ลำนำบทหนึ่งของชาวปกาเกอะญอ กล่าวถึงคุณธรรมของ “ข้าว” ว่า ข้าวมีน้ำใจดี มีคุณธรรม มีใจเมตตา เลี้ยงชีวิตทุกคนไม่เลือกหน้า ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ตั้งแต่แม่ม่ายจนถึงเด็กกำพร้า บือหมื่อ อะทิ โอะ เลอแล ถิ่นกำเนิดข้าวอยู่ ณ ที่ใด บือพอ อะทิ โอะ เลอแล แหล่งกำเนิดข้าวอยู่ ณ ที่ใด บือหมื่อ อะทิ เลอ ว่าแร ถิ่นกำเนิดข้าวอยู่ไกลแต่ฟากโน้น บือพอ อะทิ เลอ ว่าแร แหล่งกำเนิดข้าวอยู่ไกลแต่ฟากโน้น อะทู่ โด้ อะหล้า จวี่แย ต้นดกๆ ใบงามๆ กว่าแก มื่อแม เดอ โพ่แค เลี้ยงชีวิตทุกคนทั้งแม่ม่ายและกำพร้า “ข้าว” ในความหมายของปกาเกอะญอ มีมิติของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่มีต่อมนุษย์และมิติเชิงวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ดังมีคำกล่าวว่า “ข้าวมีอยู่ 9 เมล็ด เมล็ดที่ 1 เอาไว้สำหรับตัวเองเพื่อบริโภค เมล็ดที่ 2 สำหรับครอบครัว เมล็ดที่ 3 สำหรับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง เมล็ดที่ 4 เพื่อคนยากจนที่มาขอในยามยาก เมล็ดที่ 5 เอาไว้บวชลูก เมล็ดที่ 6 เอาไว้ค้ำจุนสังคมยุคพระศรีอาริย์ เป็นการเอื้อเฟื้อเกื้อกูลซึ่งกันและกันเพื่อช่วยกันสร้างสังคมใหม่ เมล็ดที่ 7 มีไว้เพื่อแลกกับแก้วแหวนเงินทอง เมล็ดที่ 8 เอาไว้เพื่อสร้างชุมชนเพื่อทำให้เกิดอารยธรรม เมล็ดที่ 9 เอาไว้เพื่อตัวข้าเมื่อข้าตายไปแล้ว” ข้าว คือ ชีวิต สำหรับชาวปกาเกอะญอ (ภาพซ้าย) ขบวนแห่ข้าวเริ่มตั้งแต่เช้ามืดของวันงาน (ภาพขวา)
เยาวชนทั้งหญิงและชาย ต่างรอคอยที่จะได้ร่วมงานนี้มาทั้งปี (ภาพซ้าย) เยาวชนปกาเกอะญอในชุดประจำเผ่าแบบเต็มยศจะหาดูได้ในงานสำคัญเท่านั้น (ภาพขวา)
ชาวปกาเกอะญอให้คุณค่ากับเรื่องคุณธรรมของข้าว ดังมีคำสอนเรื่อง "ปือปาจะแน" หมายถึง “แม่ม่ายลูกกำพร้า” เล่าว่า ชุมชนแห่งหนึ่ง มีลูกกำพร้าคนหนึ่ง เขาเก็บเม็ดข้าวที่ไปตกตามชุมชน ได้มา 7 เม็ด แล้วนำมาปลูกที่บริเวณก้อนหินที่เขาเก็บได้ ในช่วงที่ไปเก็บข้าว เขาได้เจอแม่ม่ายคนหนึ่งเข้ามาในหมู่บ้านพอดี ช่วงนั้นชาวบ้านไปทำไร่กันหมด สุนัขก็ไล่กัดแม่ม่ายชราผู้นี้หนีจนกระทั่งไปติดอยู่ที่กอไผ่ เรียกใครให้ช่วยก็ไม่มีใครช่วย สุดท้ายลูกกำพร้าก็ไปช่วยแล้วพาไปที่บ้าน ช่วงนั้นเป็นช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ซึ่งชาวบ้านอดข้าวกันมาก ไม่มีข้าวจะกินกัน แม่ม่ายคนนั้นก็บอกให้ลูกกำพร้าไปเกี่ยวใบข้าวมา หนึ่งใบข้าวก็กลายเป็นข้าวงอกและโตขึ้นทุกวันจนกระทั่งข้าวนั้นสุก แม่ม่ายบอกให้ลูกกำพร้าไปเกี่ยวข้าว 7 ต้นนั้น เกี่ยวเท่าไรก็ไม่หมด สุดท้ายข้าวก็เต็มยุ้ง พอข้าวเต็มยุ้ง แม่ม่ายจึงบอกลูกกำพร้าว่า “ลูกเอ๋ย ยายจะไปแล้วนะ แล้วเวลาเกี่ยวข้าวก็ให้คิดถึงยาย” ยายแม่ม่ายได้กลายเป็นนกชื่อ "โทบีข่า" เป็นนกขวัญข้าว เรื่องเล่านี้บอกให้รู้ว่า นี่คือจิตวิญญาณของยายแม่ม่าย เพื่อให้ชาวปกาเกอะญอ ได้รักคนจนและลูกกำพร้า เพราะฉะนั้นเวลากินข้าวจงอย่าลืม เพราะข้าวมีจิตวิญญาณ ซึ่งจะคุ้มครองคนยากจนให้เป็นอย่างลูกกำพร้า ชาวปกาเกอะญอจึงให้ความสำคัญกับ “ข้าว” เป็นอย่างมาก เห็นได้จากวิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอนับจากอดีตถึงปัจจุบัน แม้พวกเขาจะหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจตามกระแสโลก แต่พวกเขายังคงต้องกันพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้ปลูกข้าวเพื่อให้มีกินและมีเก็บ ไม่ให้ข้าวขาดหายไปจากยุ้งฉางประจำบ้านซึ่งพร้อมจะเปิดออกเพื่อแบ่งปันข้าวที่พวกเขามีเหลือ เพื่อเผื่อแผ่ให้แก่ผู้ทุกข์ยากได้เสมอ และนั่นเองจึงเป็นที่มาของ “ธนาคารข้าว” และ “กองบุญข้าว” หากย้อนกลับไปสืบค้นถึงที่มาการเกิดขึ้นของธนาคารข้าวจึงได้พบว่า ในปี พ.ศ.2513 คุณพ่อมิชชันนารีคณะเบธาราม มองเห็นความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ไม่มีข้าวกิน ต้องไปกู้ข้าวกู้เงินจากหมู่บ้านใกล้เคียงซึ่งคิดดอกเบี้ยแพง คุณพ่อจึงได้ตั้งธนาคารข้าวขึ้นเพื่อให้มีข้าวหมุนเวียนภายในชุมชนจนสามารถแก้ปัญหาขาดแคลนข้าวและความอดอยากของชาวบ้านได้ ต่อมาปี 2530 ศูนย์สังคมพัฒนาเชียงใหม่ จึงได้เริ่มจัดงานกองบุญข้าวเพื่อต่อยอดธนาคารข้าวที่มีอยู่ก่อนแล้ว โดยนำมารื้อฟื้นใหม่ให้เกิดแนวทางการพัฒนาบนพื้นฐานของคุณค่าศาสนาและวัฒนธรรมแห่งการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ลุงชัย สร้างกุศลในพสุธา ประธานเครือข่ายกองบุญข้าวรุ่นบุกเบิก เล่าให้ฟังถึงที่มาการเกิดขึ้นของกองบุญข้าวโดยการริเริ่มของศูนย์สังคมพัฒนาฯ ว่า “เริ่มต้นจากคุณพ่อนิพจน์ เทียนวิหาร เข้ามาให้แนวคิดผ่านผู้นำในหมู่บ้านแม่แสะ (อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่) แนวคิดนี้ก็มาจากวิถีของคนปกาเกอะญอดั้งเดิม ซึ่งเขาอาจลืมคิดถึงเพราะมีสิ่งภายนอกอย่างอื่นเข้ามา ชาวบ้านขณะนั้นยังชีพด้วยการปลูกชาเพื่อซื้อข้าว แต่บางคนก็ไม่ได้ปลูกชาต้องไปรับจ้างข้างนอกจึงมีปัญหาขาดแคลนข้าว ช่วงนั้นเด็กและเยาวชนเริ่มออกไปจากหมู่บ้าน ชาวบ้านเริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิต การช่วยเหลือเกื้อกูลเริ่มลดน้อยลง เมื่อเกิดกิจกรรมนี้จึงเป็นการรื้อฟื้นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้เห็นว่าถ้าขาดข้าวทุกอย่างจะไม่มี มีช้างก็ต้องขายช้าง มีควายก็ต้องขายควายเพื่อซื้อข้าวกิน แต่ถ้ามีข้าวทุกอย่างจะตามมา วัตถุประสงค์หลักที่ก่อตั้ง คือ 1.เพื่อช่วยเหลือหมู่บ้านที่ขาดแคลน 2.เพื่อสืบทอดวัฒนธรรม 3.เพื่อให้การศึกษาเรียนรู้แก่คนรุ่นใหม่ ครั้งแรกจัดที่บ้านแม่แสะ ซึ่งเป็นบ้านของลุงชัยเอง ได้ข้าว 400 ถัง เป็นเงิน 2,000 บาท นำไปช่วยชาวบ้านหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงที่มีความเดือดร้อนได้ 2 - 3 หย่อมบ้าน หย่อมละ 200 ถัง ต่อมาเริ่มที่เขตขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน จึงเกิดเป็นธนาคารข้าวขึ้น คนที่เอาข้าวมาร่วมทำบุญ ต่างเต็มใจมาให้ เนื่องจากเห็นความทุกข์ยาก เพราะเขาเคยลำบากหิวโหยมาก่อน ความช่วยเหลือนี้ไม่จำกัด ใครจะให้กี่ถังก็แล้วแต่ความสามารถ ครั้งแรกประสบความสำเร็จ ชาวบ้านอยากทำต่อ เช่น เขตแม่แจ่ม แล้วเขตอื่นๆ ก็ทำตาม ตั้งแต่นั้นก็จัดต่อเนื่องทุกปีจนถึงปัจจุบันนี้" ลุงชัย เล่าให้ฟังถึงกิจกรรมกองบุญข้าวว่า “การจัดจะมีเป้าหมายว่าจะช่วยเหลือใครบ้างตามวัตถุประสงค์ที่เราวางไว้ แต่ละเขตจะมีคณะกรรมการเขตดูแลว่าหมู่บ้านไหนต้องการธนาคารข้าว ต้องช่วยแม่ม่าย เด็กกำพร้ากี่คน กรรมการช่วยกันชี้แจงว่าจะจัดอย่างไร มีการสนับสนุนกลุ่มแม่บ้าน กองทุนหมุนเวียน เมื่องานเสร็จจะจัดสรรตามส่วน แบ่งเป็น 3 ส่วน 1) ให้ชาวบ้าน 70 % 2) ให้เครือข่าย 10 % 3) ให้เป็นกองทุนของเขต 20 % เพื่อเป็นทุนสำรองค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น สืบเนื่องจากตอนจัดครั้งแรกขอบริจาคเฉพาะข้าว ต้องเอารถของศูนย์ฯ ไปขนข้าวแต่ละหมู่บ้านซึ่งมีค่าใช้จ่ายมาก ตอนหลังเลยบอกว่าถ้าไม่สามารถเอาข้าวมาได้ ให้เอาเงินมาแทน หมู่บ้านที่อยู่ไกลๆ จากที่จัด ก็มักจะเอาเงินมาช่วย ที่อยู่ใกล้ก็เอาข้าวมา และการรณรงค์จากภายนอก เช่น อบต. ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำที่ชาวบ้านใกล้ชิด มักจะเอาปัจจัย เอาเงินมาให้ การจัดแต่ละครั้งจึงได้ทั้งเงินได้ทั้งข้าว จัดแต่ละครั้งได้เงินอย่างต่ำ 2-3 หมื่นบาทในแต่ละที่ ได้ข้าวประมาณ 500 - 600 ถัง ถ้าเหลือปีๆ หนึ่งได้ 1,000 กว่าถัง เงินเป็นแสน ทุกๆ เขต” ประธานเครือข่ายกองบุญข้าวชี้แจงวัตถุประสงค์งานกองบุญข้าว (ภาพซ้าย) คุณพ่อเจ้าอาวาสวัดคาทอลิกในเขตแม่ฮ่องสอนร่วมกันประกอบพิธีมิสซา (ภาพขวา)
คุณพ่อแจกแผ่นปังในพิธีรับศีลมหาสนิท (ภาพซ้าย) อุปกรณ์เครื่องใช้เกี่ยวกับ “ข้าว” (ภาพขวา)
สำหรับชาวปกาเกอะญอซึ่งส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก งานรณรงค์กองบุญข้าวถือเป็นงานประเพณีสำคัญงานหนึ่งในรอบปีเลยก็ว่าได้ และเป็นโอกาสที่คนภายนอกจะได้สัมผัสกับวัฒนธรรมประเพณีของปกาเกอะญอในเครื่องแต่งกายชนเผ่าที่สวยงามแปลกตา ทั้งยังได้รู้จักกับอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ที่ประกอบกิจกรรมเกี่ยวกับ “ข้าว” แบบดั้งเดิมซึ่งปัจจุบันแทบจะหาไม่ได้แล้ว อย่าง คราด หรือที่ ปกาเกอะญอ เรียกว่า “เผ่อ” และ “แถ่” อุปกรณ์ใส่คอควายใช้ไถนา ในวันงานกองบุญข้าวจะเริ่มด้วยขบวนแห่ต้นเงินที่ได้รับบริจาคจากชาวบ้าน รวมทั้งข้าวเปลือกซึ่งถือเป็นหัวใจของงาน คุณพ่อเจ้าอาวาสวัดคาทอลิกในเขตนั้นจะประกอบพิธีมิสซา เสกข้าว และต้นเงิน เมื่อเสร็จพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายสังคมพัฒนาจะสานต่อโดยจัดสรรเงินและข้าวที่ได้รับมาแจกจ่ายไปยังชาวบ้านในเขตและบริเวณใกล้เคียงซึ่งกลุ่มเป้าหมายนี้จะต้องเป็นผู้ที่ลำบากจริงๆ อาทิ ผู้สูงอายุ คนพิการ คนป่วย ฯลฯ เพื่อให้สำเร็จดังวัตถุประสงค์ของเครือข่ายกองบุญข้าวที่เน้นความต้องการของชุมชนเป็นหลัก ดังที่ลุงชัยช่วยอธิบายต่อว่า “ปัจจุบันนี้ ชาวบ้านเห็นความสำคัญของกองบุญข้าว เมื่อพูดถึงกองบุญข้าวก็จะมีทั้งเรื่องข้าว วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ ภูมิปัญญา ตอนนี้หลายหมู่บ้านอาจไม่มีความจำเป็นเรื่องข้าวแต่ยังมีปัญหาอื่นอยู่ กองบุญข้าวจึงสนับสนุนอย่างอื่นด้วย เช่น ช่วยเรื่องการศึกษา กองทุนฉุกเฉิน น้ำท่วม เมื่อก่อนมีเหตุการณ์ที่น้ำท่วมนาเสียหายหมด เราก็เข้าไปช่วยเหลือทั้งเงินทั้งข้าว” งานรณรงค์กองบุญข้าวดำเนินอย่างต่อเนื่องมาสู่ปีที่ 19 ในปี 2550 นี้แล้ว ณ ปัจจุบัน มีเครือข่ายกองบุญข้าวเกิดขึ้นเกือบ 400 หมู่บ้าน ใน 16 อำเภอ 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วย อำเภอเมือง จอมทอง ฮอด แม่แจ่ม แม่วาง สะเมิง แม่อาย ฝาง ไชยปราการ อมก๋อย และพร้าว ส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประกอบด้วยอำเภอ สบเมย แม่สะเรียง แม่ลาน้อย ขุนยวม และปาย เครือข่ายที่เกิดขึ้นนี้ย่อมยืนยันได้ถึงความสำเร็จซึ่งล้วนมาจากความร่วมมือร่วมใจของชาวปกาเกอะญอเพื่อช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบปัญหาให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ในสังคมอย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรี แต่สิ่งที่เหนือไปกว่านั้นก็คือ การที่พวกเขายังคงยึดถือในคุณธรรมของ “ข้าว” นั่นเพราะ “ข้าว คือ ชีวิต” ของพวกเขา ข้าวเปลือกบริจาคจากชาวบ้านจะถูกนำไปแจกจ่ายให้ผู้ทุกข์ยาก
ลุงชัย กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า “ยุคการเปลี่ยนแปลงนี้ คนเราคิดถึงตัวเงินมากกว่าข้าวจะทำให้มีปัญหา เช่น ทำแต่สวนผัก สวนกะหล่ำ จนลืมทำไร่ทำนา พวกนี้เราไม่อาจกำหนดราคาเองได้ เมื่อราคาดีก็ดีไป ขึ้นอยู่กับพ่อค้า แต่ข้าวเราสามารถกำหนดได้ ถึงแม้เรากำหนดราคาไม่ได้ เราก็มีข้าวกิน ข้าวเรากินทุกวัน วันละ 3 มื้อ ถ้าเราขาดข้าวแค่เดือน 2 เดือน ก็ต้องใช้เงินหลายตังค์ไปซื้อมา ปีนี้จึงรณรงค์เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง “ข้าวอยู่ได้ คนอยู่ได้เพราะข้าว” เพราะฉะนั้นเราต้องรักษาดินเพื่อปลูกข้าว เพราะถ้าไม่มีดินเราจะปลูกข้าวที่ไหน แล้วในที่สุดเราจะเอาอะไรกิน เราจึงต้องปลูกข้าวเพื่อจะได้มีชีวิตมีข้าวกิน กองบุญข้าวจะสืบต่อไปได้ชั่วลูกชั่วหลานเพราะผู้ใหญ่และเยาวชนเข้าใจ ลุงจัดอบรมเยาวชนตามหมู่บ้าน ก็รู้สึกว่างานเกษตรไม่ได้น่ารังเกียจ ไม่ได้ต่ำต้อย แม้ไม่มีหน้ามีตา แต่เราน่าจะภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นให้มีข้าวกินได้ ถ้าออกไปหางานทำข้างนอกกันหมด แล้วใครจะปลูกข้าวให้กิน เราจึงต้องสืบทอด” ท้ายสุด ลุงชัย ยังได้ยกตัวอย่าง สุภาษิตของชาวปกาเกอะญอ ที่ให้ความหมายและความสำคัญของ “ข้าว” ไว้ให้เราได้ฉุกคิดว่า “ถึงแม้พายุจะแรงขนาดไหน เราไม่สามารถจะถืออะไรได้นอกจากตอข้าว และถ้าภายนอกมืดทำอะไรไม่ได้นอกจากมีเทียนจุดให้มองเห็น เรายึด 2 อย่างเป็นหลัก “เทียน” เปรียบเหมือนประตู “ตอข้าว” หมายถึง ข้าวที่เรากิน ถ้าเราจะกินอย่างอื่นก็กินไม่ได้ แค่เรามีข้าวกินเราก็สบายใจแล้ว ถึงลูกจะไม่ได้เรียนก็ไม่เป็นไร ขอให้มีข้าวกิน” ข้อมูลอ้างอิง
ข้าวกับวัฒนธรรม : บทสัมภาษณ์จากบาทหลวงนิพจน์ เทียนวิหาร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและฝึกอบรมศาสนาและวัฒนธรรมชุมชน จาก http://www.montfort.ac.th/ สังฆมณฑลเชียงใหม่ http://www.chiangmaidiocese.org
Powered by AkoComment 2.0! |