มโนธรรม (Conscience)
โดย บาทหลวงชัยยะ กิจสวัสดิ์ เอกสารนี้เขียนขึ้นเพื่อประกอบการบรรยายเรื่อง “เมื่อต้องสอนอบรมมโนธรรมให้กับเด็กๆ” โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของ “การอบรม” หรือ “การหล่อหลอม” (Formation) มโนธรรมมากกว่าความรู้เรื่อง “มโนธรรม” เอง สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับมโนธรรม ขอแนะนำให้ชม VCD เรื่อง “บาป-ไม่บาป: วิเคราะห์มโนธรรมคาทอลิก” บรรยายโดยคุณพ่อ ไพบูลย์ อุดมเดช 1. ความหมาย Conscience มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก suneidēsis (ซูเนิยเดซิส) ซึ่งหมายถึง “ความรู้” โดยเฉพาะ “ความรู้ที่ได้มาจากการไตร่ตรองสิ่งที่กระทำไปแล้วในอดีต” “มโนธรรม” จึงหมายถึง “ความรู้ที่ช่วยตัดสินว่ากิจการใดกิจการหนึ่งที่ได้กระทำไปแล้วหรือวางแผนจะทำ สอดคล้องกับมาตรฐานทางด้านศีลธรรมของแต่ละคนหรือไม่” หรือ “ความสามารถของจิตใจที่จะตัดสินพฤติกรรมทางด้านศีลธรรมของมนุษย์” หรือง่ายที่สุดคือ “ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด” 2. ต้นกำเนิด สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ พวกเขา “คาดว่า” มโนธรรมมีวิวัฒนาการมาพร้อมกับมนุษยชาติ เริ่มจากสัตว์ชั้นต่ำอย่างเช่นอะมีบา เมื่อตอบสนองแรงกระตุ้นและปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมแล้วจะแพร่ขยายจำนวนโดยการแบ่งตัว สัตว์ชั้นสูงขึ้นก็มีการตอบสนองแรงกระตุ้นที่ซับซ้อนมากขึ้นตามสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไปจนเกิดสิ่งที่เรียกว่า “สัญชาติญาณ” ซึ่งสำคัญกว่าความพึงพอใจ เช่น สัตว์จำต้องแย่งอาหารกันเพื่อความอยู่รอดของลูกน้อยและพงศ์พันธุ์ทั้งๆ ที่คงไม่มีตัวใดพึงพอใจการต่อสู้ นักบุญโธมัส อะไควนัส จึงให้หลักการไว้ว่า “เป็นกฎธรรมชาติที่ธรรมชาติได้สอนสัตว์ทุกชนิด” ในกรณีของมนุษย์ เหตุผลแบบเริ่มตั้งไข่ค่อยๆ พัฒนาเป็น “มโนธรรม” ซึ่งต้องอาศัยหลายขั้นตอนด้วยกัน เริ่มด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในขั้นต้นจะมีลักษณะเป็นของเหลว ไม่มีรูปแบบแน่นอน มักผสมปนเปกันเหมือนความเพ้อฝันหรือจินตนาการของเด็ก ต่อเมื่อมนุษย์เริ่มอยู่รวมกันเป็นสังคมจึงเกิดแรงกระตุ้นให้กิจกรรมต่างๆ มีมาตรฐานทางศีลธรรมดีขึ้น มีรูปแบบชัดเจนขึ้น และพัฒนาจนกลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีในที่สุด ชาวกรีกเรียกรูปแบบพฤติกรรมที่ชัดเจนของมนุษย์นี้ว่า “ความรู้จักตัวเอง” ซึ่งจะกลายเป็นบรรทัดฐานทางด้านศีลธรรมสำหรับมนุษยชาติสืบต่อไป แต่เมื่อนำทฤษฎีวิวัฒนาการมาประยุกต์ใช้กับมนุษย์แต่ละคน เราจะพบว่าหลักปฏิบัติทางด้านศีลธรรมของแต่ละคน ทั้งๆ ที่ได้มาจากการรับรู้หลักการและอุดมการณ์ที่แตกต่างกันไปตามท้องถิ่นและสภาพแวดล้อม แต่ทำไมเรายังมีเป้าหมายทางด้านศีลธรรมเหมือนกัน ? หรืออีกนัยหนึ่งคือ จากสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ทำไมมนุษย์เรายังพูดเรื่องเดียวกันได้ โดยเฉพาะเรื่อง “ความดี – ความชั่ว” ? เพื่อแสวงหาคำตอบ ขอให้เราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ของผู้ที่มีความเชื่อต่างจากเรา ชาวเปอร์เซียรู้จักแยกแยะลักษณะของเทพเจ้า เช่นเทพเจ้า Ahura Mazda มีคุณธรรม ส่วน Ahriman เป็นเทพเจ้าชั่ว พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าคือผู้ประทานรางวัลและลงโทษ นอกจากนี้ เมื่อถูกถามว่า “สิ่งสร้างทั้งหมดที่เรามองเห็นนี้ อะไรมีคุณค่าที่สุด?” Zend-Avesta ตอบว่า “มนุษย์ที่รอดพ้นจากการคิดชั่ว การพูดชั่ว และการทำชั่ว มีคุณค่ามากที่สุด” ซึ่งใกล้เคียงกันมากกับคำสอนของพระเยซูเจ้าที่ว่า “มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่ได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต” (มธ 16:26) ชาวอียิปต์พูดถึงการตรวจสอบมโนธรรมโดยผู้พิพากษาสูงสุดหลังความตาย (พระเจ้าคือผู้พิพากษาสูงสุด ?) กฎหมายของฮัมมูราบี (บาบิโลน) มีเนื้อหาคล้ายบัญญัติสิบประการ เพียงแต่นำบัญญัติ 3 ข้อแรกไปไว้ในคำนำซึ่งยอมรับความสูงสุดของพระเจ้า ขงจื๊อ (500 B.C.) และเม่งจื๊อ (300 B.C.) สอนว่าความซื่อตรงและความเมตตากรุณาเป็นเรื่องของ “สวรรค์ลิขิต” จากที่กล่าวมาทั้งหมด เราอาจสรุปได้ว่า 1. ไม่เป็นการเพียงพอที่จะอธิบายต้นกำเนิดของมโนธรรมด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีนี้ช่วยย้ำให้เราเห็นความจำเป็นในการอบรมและพัฒนามโนธรรมตั้งแต่วัยเด็ก หรือจะพูดให้ถูกต้องกว่าคือ ตั้งแต่เด็กลืมตาดูโลก 2. แม้ผู้ที่ไม่ใช่คริสตชนก็ยอมรับว่าเรื่องของมโนธรรมและศีลธรรม มีพระเจ้าหรือสวรรค์เบื้องบนเข้ามาเกี่ยวข้อง นักบุญเปาโลจึงฟันธงตรงๆ ว่า เป็นพระเจ้าเองที่ทรงจารึกธรรมบัญญัติและมโนธรรมไว้ในจิตใจมนุษย์ (รม 2:15) พร้อมกันนี้ท่านได้เตือนคนต่างศาสนาว่า “ทั้งๆ ที่พระเจ้าทรงทำให้สิ่งที่รู้ได้เกี่ยวกับพระองค์ปรากฏชัดอยู่แล้วกล่าวคือ ตั้งแต่เมื่อทรงสร้างโลก คุณลักษณะที่ไม่อาจแลเห็นได้ของพระเจ้าคือพระอานุภาพนิรันดรและเทวภาพของพระองค์ปรากฏอย่างชัดเจนแก่ปัญญามนุษย์ในสิ่งที่ทรงสร้าง ดังนั้น คนเหล่านี้จึงไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ” (รม 1:19-20) 3. ความสำคัญ 3.1 ทำให้มนุษย์มีความสุขและมีศักดิ์ศรี พวก Stoics สอนว่า ความสุขและศักดิ์ศรีของมนุษย์เกิดจากคุณธรรม รวมถึงการดำเนินชีวิตตามหลักเหตุผลและมโนธรรม 3.2 เป็นหลักนำชีวิต ทุกคนต้องทำหน้าที่ตามที่มโนธรรมของตนเรียกร้องหรือบังคับ ดังที่นักบุญเปาโลยืนยันต่อหน้าสภาซันเฮดรินว่า “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าประพฤติตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยมโนธรรมที่บริสุทธิ์มาจนถึงวันนี้” (กจ 23:1) และ “ข้าพเจ้าพยายามอยู่เสมอที่จะรักษามโนธรรมของข้าพเจ้าให้บริสุทธิ์ไม่มีที่ติเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้ามนุษย์” (กจ 24:16) 3.3 เป็นพื้นฐานของความเชื่อ Immanuel Kant นักปรัชญาในศตวรรษที่ 18 ยืนยันว่า ความเชื่อในพระเจ้า เสรีภาพ และความเป็นอมตะ ล้วนมีพื้นฐานอยู่บนมโนธรรม 3.4 เป็นพื้นฐานของความรัก นักบุญเปาโลสอนว่า มโนธรรมที่ถูกต้องและความเชื่อแท้จริงรวมกับใจบริสุทธิ์สามารถนำไปสู่ “ความรัก” ซึ่งเป็นธรรมชาติของพระเจ้าได้ หลังจากขอร้องทิโมธีให้อยู่ที่เมืองเอเฟซัสต่อไปเพื่อกำชับบางคนมิให้สอนผิด ท่านนักบุญเสริมว่า “จุดประสงค์ที่ข้าพเจ้าแนะนำดังนี้ก็คือความรักที่มาจากใจบริสุทธิ์ มาจากมโนธรรมที่ถูกต้องและมาจากความเชื่อแท้จริง” (1ทธ 1:5) 4. การอบรม - การหล่อหลอม มโนธรรมพัฒนาควบคู่กับการเจริญวัยของเด็ก ในครอบครัวและห้องเรียนที่มีศีลธรรมอันดี เด็กจะค่อยๆ เรียนรู้พฤติกรรมที่ถูกต้องโดยอาศัยการเลียนแบบ การสั่งสอน รวมถึงการให้รางวัลและการลงโทษ สิ่งที่พึงระวังคือ หากเน้นการ “ลงโทษ” มากเกินไปจะนำไปสู่การมองบทบาทของมโนธรรมเชิงลบ (ตำหนิความผิด) เพียงด้านเดียว ดังที่ Dr. Mackenzie กล่าวไว้ว่า “ผมอยากจะบอกว่ามโนธรรมคือความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดและอยู่ควบคู่กับการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับหลักการ” หรือเหมือน Carlyle ที่กล่าวว่า “เราไม่อาจรู้ว่ามีมโนธรรมหากเราไม่เคยทำผิด” สิ่งที่สำคัญในการอบรมและหล่อหลอมมโนธรรมคือ เราต้องทำพร้อมกันทั้งสองด้านคือให้เด็กเกิดความพึงพอใจเมื่อทำสิ่งที่ถูก และเกิดความเสียใจเมื่อทำสิ่งที่ผิด ดังที่อริสโตเติ้ลได้กล่าวไว้ว่า “จงสอนผู้ที่สอนได้ให้แสวงหาความพึงพอใจจากสิ่งที่น่าพอใจ และให้ไม่พอใจในสิ่งที่ไม่น่าพอใจ” สุดยอดของการอบรมมโนธรรมด้านบวกอยู่ที่ การส่งเสริม สนับสนุน และบันดาลใจให้แต่ละคนใช้มโนธรรมของตนเพื่อความก้าวหน้าในหนทางที่ถูกต้อง การให้รางวัลและลงโทษ “ภายนอก” เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุวุฒิภาวะเพื่อพวกเขาจะมีสำนึก “ภายใน” ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดหยาบคาย สิ่งใดพ่อแม่หรือครูบาอาจารย์ ชอบหรือไม่ชอบ อนุญาตหรือไม่อนุญาต ฯลฯ ส่วนการสำนึก “ภายใน” ถึง “บาป” จริงๆ นั้น พระศาสนจักรถือว่าต้องพัฒนาจนถึงอายุ 7 ขวบบริบูรณ์ หลังจากนี้เด็กจะต้องรับผิดชอบดำเนินชีวิตตามมโนธรรมของตนเอง แม้ผู้ที่ไม่ได้รับศีลล้างบาปก็ต้องเริ่มแยกแยะได้แล้วว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธพระเจ้า และต้องรับผิดชอบต่อการเลือกนั้น (นักบุญโธมัส อะไควนัส) หลักการ 1. มโนธรรมไม่ใช่ความสามารถหรือหน้าที่ใหม่ที่เราผลิตและนำมาใส่ลงไปในตัวเด็ก แต่เป็นส่วนหนึ่งของสติปัญญาที่ทำหน้าที่พิจารณาว่าความประพฤติใดถูกหรือผิด ทั้งนี้โดยอาศัยความช่วยเหลือของน้ำใจ อารมณ์ความรู้สึก ประสบการณ์ชีวิต และความช่วยเหลือภายนอกอื่นๆ 2. มโนธรรมของคริสตชนไม่ได้มาจากความรู้เพียงอย่างเดียว แต่มาจากความสว่างและแรงบันดาลใจที่ได้รับจากการไขแสดงและพระหรรษทานเหนือธรรมชาติ 3. เพื่อจะมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและหน้าที่ด้านศีลธรรม มนุษย์จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า จึงจะมีความรู้ครอบคลุม ชัดเจน แน่นอน เกิดผล และพอเพียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่นิยมวัตถุดังเช่นปัจจุบันนี้ 4. ในทางปฏิบัติ ความถูกต้องของมโนธรรมขึ้นกับการใช้อย่างดี การปลูกฝังอย่างเอาใจใส่ การเชื่อฟังมโนธรรม และการกำจัดสิ่งที่มีผลลบต่อมโนธรรม 5. แม้จะระมัดระวังการใช้มโนธรรมอย่างดีแล้ว ความผิดพลาดก็ยังอาจเกิดขึ้นได้ แต่ความผิดพลาดเช่นนี้ถือว่าไม่น่าตำหนิ (inculpable) และไม่เป็นบาป แนวปฏิบัติ (ขยายความข้อ 4) 1. ตรวจสอบอำเภอใจของแต่ละคนกับคำสอนหรือการดำเนินชีวิตของผู้ที่มีชื่อเสียงดีทั้งในอดีตและปัจจุบัน 2. ต้องกระตือรือร้นแสวงหาข้อผิดพลาดในมโนธรรม เพื่อป้องกันการประพฤติผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 3. นำความผิดพลาดในอดีตมาเป็นบทเรียน 4. ขยันหมั่นเพียรในการตรวจสอบแก้ไขมโนธรรมของตนให้มีความประณีตและสามารถตอบสนองต่อหน้าที่หรือคุณธรรมในขั้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ (ดู “การพิจารณามโนธรรมเพื่อเพิ่มพูนความศรัทธา” ในหัวข้อถัดไป) หากละเลยหรือดันทุรังอยู่ในความผิดหลง อาจทำให้มโนธรรมตายด้านได้ 5. ให้ถือเป็นกฎว่า “เมื่อจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งต้องแน่ใจจริงๆ ว่าได้รับอนุญาตจากมโนธรรมแล้ว แม้ว่าหนทางอื่นจะน่ายกย่องมากกว่าก็ตาม” เช่นการเลือกระหว่าง “บวช – ดูแลพ่อแม่”, “ถอดเครื่องช่วยหายใจ – ยื้อชีวิต” ฯลฯ 5. การพิจารณามโนธรรม คือการตรวจสอบความคิด วาจา และกิจการในอดีตว่าสอดคล้องกับหลักศีลธรรมหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อมุ่งหน้าสู่ความครบครันและความศักดิ์สิทธิ์ ในพระธรรมเก่า พระเจ้าตรัสสั่งอับราฮัมว่า “จงดำเนินอยู่ต่อหน้าเราและเป็นคนดีพร้อม” (ปฐก 17:1) และประกาศกเยเรมีย์ย้ำว่า “ให้พวกเราทดสอบและพิจารณาวิถีของพวกเรา และกลับมาหาพระเจ้าเถิด” (พคค 3:40) ในพระธรรมใหม่ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา” (ยน 14:6) ทั้งการอยู่ต่อหน้าพระเจ้า การกลับมาหาพระเจ้า และการไปเฝ้าพระบิดา ล้วนแสดงว่าหนทางสู่พระเจ้าเปิดออกแล้ว เมื่อหนทางสู่พระเจ้าเปิดออกเช่นนี้แล้ว การพิจารณามโนธรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ดังที่นักบุญเปาโลกล่าวไว้ว่า “แต่ละคนจงพิจารณาตนเอง....ถ้าเราได้พิจารณาตนอย่างละเอียด เราจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ” (1 คร 11:28-31) การพิจารณามโนธรรมอาจแบ่งตามวัตถุประสงค์ได้ 2 ประเภทคือ เพื่อเตรียมตัวรับศีลอภัยบาป และเพื่อเพิ่มพูนความศรัทธา การพิจารณามโนธรรมก่อนสารภาพบาป ต้องกระทำอย่างจริงจังเพื่อจะได้เป็นทุกข์ถึงบาปและเกิดความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขความผิดพลาด หากทำแบบลวกๆ หรือแบบสุกเอาเผากิน โอกาสที่จะกลับมาหาพระเจ้าแบบลูกล้างผลาญ (ลก 15:11-32) ย่อมยืดเยื้อออกไปอีก วิธีที่นิยมใช้กันทั่วไปคือ ตรวจสอบมโนธรรมไล่เรียงกันไปตามลำดับ โดยเริ่มต้นจากบัญญัติสิบประการ บัญญัติพระศาสนจักร บาปต้นเจ็ดประการ หน้าที่ตามสถานภาพของแต่ละคน เช่น ในฐานะพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์ นักบวช ฯลฯ และท้ายสุดให้พิจารณาว่าตนมีส่วนร่วมในบาปของผู้อื่นด้วยหรือไม่ (ดู VCD เรื่อง “บาป-ไม่บาป: วิเคราะห์มโนธรรมคาทอลิก” แผ่น B) ส่วนการพิจารณามโนธรรมเพื่อเพิ่มพูนความศรัทธานั้น นิยมปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน โดยแบ่งเป็น 2 แนวทางด้วยกัน กล่าวคือ 1. การพิจารณามโนธรรมแบบทั่วไป มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขความผิดพลาดทุกชนิด (ทั่วไป) นักบุญอิกญาซีโอแห่งโลโยลา ได้ให้ขั้นตอนปฏิบัติไว้ 5 ขั้นด้วยกันคือ 1.1 โมทนาคุณพระเจ้าสำหรับพระพรต่างๆ ที่ได้รับ 1.2 วอนขอพระหรรษทานเพื่อจะได้รู้และแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ 1.3 พิจารณาไล่เรียงแต่ละชั่วโมงตลอดวันว่าได้กระทำสิ่งใดผิดพลาดไปบ้าง ทั้งด้วยความคิด วาจา กิจการ และการละเลย 1.4 วอนขอการอภัยจากพระเจ้า 1.5 ตั้งใจแน่วแน่จะแก้ไขในสิ่งผิด 2. การพิจารณามโนธรรมแบบเฉพาะเจาะจง มีวัตถุประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดหนึ่งๆ (เฉพาะเจาะจง) หรือเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมหนึ่งๆ นักบุญอิกญาซีโอแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้ 2.1 เมื่อตื่นนอน ให้หาข้อตั้งใจว่าจะหลีกเลี่ยงหรือจะทำสิ่งใด 2.2 ตกเที่ยงให้ตรวจสอบว่าได้ทำผิดพลาดหรือทำดีอะไรบ้าง? กี่ครั้ง? แล้วบันทึกลงสมุดที่เตรียมไว้ พร้อมกับรื้อฟื้นข้อตั้งใจสำหรับเวลาที่เหลือ 2.3 เวลากลางคืนให้ดำเนินการเหมือนตอนเที่ยง ต่างกันเพียงให้หาข้อตั้งใจสำหรับวันรุ่งขึ้นด้วย ท่านนักบุญยังแนะนำให้กำหนดกิจใช้โทษบาปสำหรับตัวเอง พร้อมกับนำข้อมูลที่ได้วันนี้ไปเปรียบเทียบกันวันก่อนๆ อาทิตย์ก่อนๆ และเดือนก่อนๆ ด้วย ฟังดูเหมือนยุ่งยาก แต่อย่าลืมว่าในการดำเนินชีวิตหรือดำเนินธุรกิจทุกวันนี้ เรามีระบบตรวจสอบ ระบบพัฒนาคุณภาพ ฯลฯ มากมายจนพระเยซูเจ้าเองยังนึกชมกึ่งน้อยใจว่า ‘บุตรของโลกนี้มีความเฉลียวฉลาดในการติดต่อกับคนประเภทเดียวกันมากกว่าบุตรของความสว่าง' (ลก 16:8) 6. เรื่องสืบเนื่อง การที่ความประพฤติบางอย่างเป็นสิ่งน่ายกย่องสำหรับสังคมหนึ่ง แต่กลับเป็นสิ่งต้องห้ามในอีกสังคมหนึ่ง ย่อมแสดงว่าเราจะหล่อหลอมมโนธรรมของเราตามมาตรฐานของสังคม หรือตามความพึงพอใจส่วนตัวเท่านั้นไม่ได้ แม้สังคมคริสตชนแต่ละแห่งจะมีความแตกต่างกัน แต่ทุกแห่งต่างเห็นพ้องต้องกันว่ามาตรฐานด้านศีลธรรมจะขึ้นกับโครงสร้างแคบ ๆ ของสังคมแต่ละแห่งไม่ได้ จำเป็นต้องขึ้นกับแสงสว่างจากพระคัมภีร์ ดังที่นักบุญยอห์นกล่าวไว้ว่า “ถ้าเราดำเนินชีวิตในความสว่าง ดังที่พระองค์ทรงดำรงอยู่ในความสว่างแล้ว เราทุกคนก็สนิทสัมพันธ์กันด้วย” (1ยน 1:7) และอีกตอนหนึ่งนักบุญเปาโลกล่าวว่า “มโนธรรมของข้าพเจ้าและพระจิตเจ้าร่วมเป็นพยานได้....” (รม 9:1) เท่ากับว่าอาศัยความสว่างในพระคัมภีร์และพระจิตเจ้า เราจะค้นพบ “หลักการและความจริงอันยิ่งใหญ่ไพศาล” สำหรับหล่อหลอมมโนธรรมที่ถูกต้อง อาศัย “หลักการและความจริง” เหล่านี้เองที่ทำให้มโนธรรมของเรากลายเป็น “เสียงของพระเจ้า” หรือ “พระประสงค์ของพระเจ้า” เมื่อเราดำเนินชีวิตตามมโนธรรม เท่ากับเรากำลังปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งเท่ากับว่า 1. เรากำลังเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งทำให้เรามีเสรีภาพที่แท้จริงสูงสุด ตราบใดที่การเลือกของเรายังไม่สิ้นสุด นั่นแสดงว่าเรายังไม่มีเสรีภาพ แต่กำลังตกเป็นทาสของการแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด ตรงกันข้าม ถ้าเราเลือกพระประสงค์ของพระเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เราจะมีเสรีภาพสูงสุดและพึงพอใจสูงสุด เพราะไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดอีก 2. เรากำลังเป็นอิสระจากอัตตาและแรงกระตุ้นต่างๆ ได้อย่างสิ้นเชิง เปรียบได้กับ “นิพพาน” ในพระพุทธศาสนา 3. เรากำลังเป็นสมาชิกของพระอาณาจักรสวรรค์ ดังที่เราวอนขอทุกครั้งที่สวดบทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ภาษาฮีบรูมีลีลาการเขียนที่เรียกว่า Parallelism กล่าวคือชาวฮีบรูนิยมพูดสิ่งเดียวกันซ้ำ 2 ครั้ง โดยครั้งที่สองอาจเป็นเพียงการซ้ำท่อนแรก หรืออาจเป็นการขยายความเพิ่มเติมให้กับท่อนแรกก็ได้ แทบทุกข้อในหนังสือเพลงสดุดีล้วนใช้ลีลาการเขียนแบบนี้ เมื่อเราจับเอาคำวอนขอ 2 ประการในบทข้าแต่พระบิดามาเรียงขนานกันดังนี้ ท่อนแรก “พระอาณาจักรจงมาถึง” ท่อนที่สอง “พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์” เราอาจให้คำนิยามของพระอาณาจักรของพระเจ้าได้ว่าเป็น “สังคมบนโลกนี้ที่พระประสงค์ของพระเจ้าได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์เหมือนในสวรรค์” เมื่อใดก็ตามที่เราปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า เมื่อนั้นเราเป็นสมาชิกของพระอาณาจักรสวรรค์ทันที 4. เรากำลังมีความสุขสูงสุด เพราะได้คิดแบบพระเจ้า ปรารถนาแบบพระเจ้า และทำแบบพระเจ้า พระเจ้าซึ่งทรงรักเรา และเรารักมากที่สุด ! แล้วเรายังไม่คิดจะแสวงหา “หลักการและความจริง” จากขุมทรัพย์อันล้ำค่าดังเช่นหนังสือพระคัมภีร์นี้อีกหรือ?
Powered by AkoComment 2.0! |