เนื้อในหนัง
ลีออง ๑๙๖๘
“จำไว้ ลูกไม่มีอะไรด้อยกว่าใคร”
“ได้ยินแม่มั้ย ลูกก็เหมือนคนอื่นๆ ทุกคน ไม่มีอะไรแตกต่าง”
ด้วยน้ำเสียง และท่าทางที่ดูจริงจังของ มิสซิสกัมพ์ ที่พร่ำสอนลูกชายของเธอว่าไม่แตก ต่างไปจากคนอื่นๆ ดูจะค้านกับสายตา และสร้างรอยยิ้มให้กับผู้ที่ได้ชมภาพยนต์เรื่องนี้มาแล้วเกือบทั่วโลก ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะลูกชายของเธอที่เธอบอกว่าไม่แตกต่างไปจากคนอื่นน่ะ ใส่เหล็กดามขา เดินท่าประหลาดๆ แถมซ้ำยังเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านสมองที่เราๆ ท่านๆ ต่างก็เรียกว่าปัญญาอ่อนอีกด้วย
อ่านมาถึงตรงนี้คิดว่า หลายท่านคงจะพอรู้จักกับลูกชายของเธอกันมาแล้ว
“I AM FORREST FORREST GUMP!” ลีลา การทักทายและแนะนำตัวเองเสร็จสรรพแบบนี้ และก็เป็นแบบนี้แบบเดียวมาตั้งแต่เล็กจนโตของผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งดำเนินชีวิตมาด้วยสติปัญญาที่มีระดับ IQ เพียงแค่ 75 ผ่านความสับสนวุ่นวายของสังคมอเมริกันยุคหนึ่งที่เต็มไปด้วยความโกลาหล ได้อย่าง เรียบง่าย สวยงาม จนน่าอัศจรรย์ใจ
ภาพยนต์เปิดฉากด้วยภาพขนนกที่ล่องลอย พริ้วไหวไปตามสายลมอ่อนๆ ขับคลอด้วยเสียงดนตรีเหงาๆ เหมือนจะสื่อให้รู้ถึงเรื่อง ราวบางอย่าง ไม่ต้านทาน ไม่ขัดขืน ปลิวเคว้งคว้างต่ำลง ... จนมาหยุดที่เท้าชายคนหนึ่ง
ฟอเรสท์ กัมพ์ (รับบทโดย Tom Hanks) เป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านสมอง เติบโตมาในครอบครัวที่มีปัญหาการหย่าร้าง ทำให้เขามีเพียง มิสซิสกัมพ์ (รับบทโดยSally Field) ผู้เป็นแม่เพียงคนเดียว ปัญหาดังกล่าวซึ่งน่าจะดูเลวร้ายเกินไปสำหรับเด็กอย่าง กัมพ์ แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเลย เพราะถึงกัมพ์จะมีความบกพร่องทางสมอง แต่ในขณะเดียวกันอีกด้าน เขาก็มีความเป็นอัจฉริยะอยู่ด้วย ทำให้กัมพ์มีความสามารถพิเศษมากมายอย่างยากที่จะอธิบาย ส่วนปัญหาทางครอบครัว มิสซิสกัมพ์ก็ไม่ทำให้กัมพ์รู้สึกขาดอะไรไปเลย แน่นอนการเลี้ยงดูเด็กพิเศษอย่างกัมพ์เพียงลำพัง ย่อมต้องใช้ความเอาใจใส่และความพยายามมากกว่าเด็กปกติทั่ว ไป แต่มิสซิสกัมพ์ก็ทำมันได้อย่างสมบรูณ์ และไม่ใช่เพียงแค่นั้น เธอยังปลูกฝัง สั่งสอน และพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้ลูกของเธอได้มีความเสมอภาคทางด้านสิทธิ และโอกาส เท่าเทียมกับเด็กปกติทั่วไป และจากสิ่งเหล่านี้เอง ทำให้กัมพ์ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างง่าย ดาย ภายใต้ปรัชญาชีวิตง่ายๆ
“แม่ของผมชอบพูดว่า ชีวิตก็เหมือนช็อคโกแล็ตซักกล่อง เราไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไรบ้าง” (ในที่นี้น่าจะหมายถึงกล่องช็อคโกแล็ตแบบคละรส ที่ไม่รู้ว่าจะมีรสใดบ้าง) ทำให้ทุกสิ่งที่กัมพ์ได้พบเจอ แม้บางครั้งจะหนักเกินไปในระดับสติปัญญาของเขา ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขาเลย แต่ส่งผลดีในทางกลับกันอีกด้วย เพราะจากการที่ กัมพ์ไม่สามารถเข้าใจอะไรที่ซับซ้อนได้มากนักประกอบกับสิ่งที่มิสซิสกัมพ์ปลูกฝัง ทำให้เขาก้าวข้ามพ้นกฎเกณฑ์ต่างๆ ในสังคมที่คอยปิดกั้นความคิดและสิทธิในการแสดงออกของเขาอย่างที่เราๆ ท่านๆ ไม่สามารถทำได้
ดังนั้น สิ่งที่กัมพ์พูดและแสดงออก ล้วนออกมาจากความรู้สึกของหัวใจจริงๆ เป็นไปตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องคำนึงถึงชนชั้น ฐานะและความเลื่อมล้ำใดๆ ในสังคม
อย่างเมื่อคราวที่กัมพ์ได้มีโอกาสเข้าพบประธานา ธิบดีเคนเนดี้ ในฐานะที่เขาได้เป็นนักอเมริกันฟุตบอลทีมชาติ และได้รับการเลี้ยงต้อนรับที่ทำเนียบขาว กัมพ์ก็ไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจกับเหตุการณ์ครั้งนั้นเลย
“ข้อดีของการเข้าพบประธานาธิบดี ก็คือ อาหาร ในห้องนั้นมีทุกอย่างให้เรากิน” กัมพ์กลับให้ความสนใจกับสิ่งที่เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เท่านั้นเอง และจากเหตุการณ์เดียวกันนี้ นักกีฬาทีมชาติทุกคนได้รับโอกาสสัมผัสมือกับประธานาธิบดีอีกด้วย
“รู้สึกอย่างไรบ้าง” “รู้สึกดีครับ” คำถาม - คำตอบที่คล้ายๆ กันแบบนี้เกิดขึ้น ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซึ่งก็เป็นไปตามมารยาท ระหว่างประธานาธิบดีกับนักอเมริกันฟุตบอลทีมชาติ จนมาถึงกัมพ์ ก็ยังเป็นคำถามเดียวกัน แต่คำตอบจากความรู้สึกจริงๆ ของเขา หลังจากที่ดื่มน้ำอัดลมมาเต็มคราบ กลับต่างออกไปจากเพื่อนร่วมทีม แบบที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง
“ผมปวดฉี่ครับ” เป็นไงครับ! เห็นอิสระทางความคิดและสิทธิในการแสดงออกที่ตรงไปตรงมา ของ กัมพ์ หรือยัง?
ส่วนสิทธิของผู้อื่น กัมพ์ก็ไม่ได้ละเลย จะเห็นได้จากเมื่อคราวที่กัมพ์เป็นทหารและได้เข้าร่วมรบในสงครามเวียดนาม ในขณะที่กองร้อยของเขาถูกโจมตีอย่างหนัก กัมพ์เป็นคนเดียวที่หนีรอดออกมาได้ แต่เขาก็ตัดสินใจกลับเข้าไปในสนามรบอีกครั้งเพื่อที่จะช่วยบั๊บบ้าเพื่อนสนิทของเขาที่บาดเจ็บและติดอยู่ในนั้น แต่ระหว่างทาง กัมพ์ได้เจอกับทหารร่วมกองร้อยที่บาดเจ็บและร้องขอความช่วยเหลืออีกหลายคน กัมพ์ก็ไม่รีรอที่จะช่วยคนเหล่านั้นเลย ถึงจะไม่ใช่เพื่อนสนิท แต่ทุกคนก็มีสิทธิที่จะมีชีวิตและมีสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือ อย่างเท่าเทียมกัน และด้วยเหตุนี้เองทำให้กัมพ์เป็นวีรบุรุษสงครามเวียด นาม และได้รับเหรียญกล้าหาญจากประธานาธิบดี ลินคอล์น บี จอห์นสัน
และจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังมีความ สำเร็จของกัมพ์อีกมากมายที่ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึง แน่นอนความสำเร็จเหล่านั้นมาจากความสามารถพิเศษที่เป็นพรสวรรค์ของเขาเอง ซึ่งคงเป็นไปได้เพียงในภาพยนตร์ แต่ก็ไม่ใช่เสียทั้งหมด เพราะถ้ากัมพ์ขาดความเอาใจใส่ อบรมเลี้ยงดู ด้วยวิธีที่ถูกต้องจากผู้เป็นแม่ที่ทำให้เขาไม่รู้สึกด้อยหรือแตกต่างไปจากใคร มีสิทธิและโอกาสเท่าเทียมกับคนอื่นๆ ความสำเร็จเหล่านั้นคงไม่เกิดกับคนที่บกพร่องทางสมองอย่างกัมพ์แน่นอน อันหลังนี้เอาไปใช้ในชีวิตจริงกับเด็กที่มีปัญหาเหมือนกัมพ์ได้ไหม? ฝากให้คิดกัน
Powered by AkoComment 2.0! |