เนื่องด้วยวันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ เป็นวันสิทธิมนุษยชนของพระศาสนจักรคาทอลิกแห่งประเทศไทย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อรณรงค์ให้คริสตชนตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ที่เท่าเทียมกันตามจิตตารมณ์พระวรสาร และมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสันติภาพให้เกิดขึ้นในสังคม
ในปี ๒๕๔๘ นี้ ประเทศไทยได้จัดงานฉลองในโอกาสครบรอบ ๖๐ ปี สันติภาพไทยและสันติภาพสากล (การก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ เมื่อ ๒๖ มิถุนายน ๒๔๘๘) เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณงามความดีของเสรีไทยและผู้เสียสละชีวิตเพื่อรักษาสันติภาพในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง และเพื่อเป็นการเผยแพร่แนวทางแห่งสันติภาพและการรักใคร่ปรองดองในหมู่มวลมนุษย์ โดยไม่จำแนกเชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อและวัฒนธรรม ให้ธำรงไว้ซึ่งการยึดมั่นในแนวทางแห่งสันติ
แต่ในความเป็นจริง สถานการณ์ปัจจุบันทั้งในสังคมโลกและสังคมไทยยังปราศจากสันติภาพอย่างแท้จริง ซึ่งเกิดจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มากขึ้น โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีของมนุษย์ที่พระเจ้ามอบให้อย่างเท่าเทียมกัน มนุษย์ตระหนักในคุณค่าของมนุษย์ด้วยกันเองน้อยลง ศาสนาถูกลดคุณค่าและความสำคัญลง ขณะเดียวกันสังคมกลับให้ความสำคัญกับทุนนิยมและบริโภคนิยมมากยิ่งขึ้น เกิดการแข่งขัน แก่งแย่ง เกิดความขัดแย้ง มนุษย์ยินยอมให้ความละโมบและอคติ ความเย็นชาต่อผู้ที่เดือดร้อนครอบงำจิตใจและมโนธรรมแห่งสันติ จนนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งทุกคนต่างมีส่วนได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังเช่นสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันในหลายๆ พื้นที่ โดยเฉพาะ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ของเรา ที่ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก นำมาซึ่งความไม่ไว้วางใจต่อกัน ทำให้ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในอดีตกลายเป็นความระแวงสงสัย และนำเอาเรื่องความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม และสถานะทางสังคม ฯลฯ มาเป็นเงื่อนไขที่นำไปสู่ความเกลียดชัง การเลือกปฏิบัติ และการแบ่งแยกฝ่าย จนในที่สุดกลายเป็นความไม่สงบที่เกิดขึ้นในสังคม
จำเป็นอย่างยิ่งที่พระศาสนจักรคาทอลิกแห่งประเทศไทย ต้องหันมาพิจารณาอย่างถ่องแท้ และให้ความสำคัญต่อกรณีดังกล่าว ทั้งนี้เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นเรื่องที่สวนทางกับแนวคิดและวิถีปฏิบัติของคริสตชน ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ‘องค์แห่งสันติ’ ทรงเป็นผู้ริเริ่มและวางรากฐานแห่งสันติภาพโลก พระคริสตเจ้าเป็นผู้ทำลายพรมแดนแห่งอุปสรรคความแตกต่างนี้ บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร (มธ. ๕:๙)
ดังคำสอนในพระคัมภีร์ที่ว่า แม้ร่างกายเป็นร่างกายเดียว แต่ก็มีอวัยวะหลายส่วน อวัยวะต่างๆ เหล่านี้ แม้จะมีหลายส่วนก็ร่วมเป็นร่างกายเดียวกันฉันใด พระคริสตเจ้าก็ฉันนั้น เดชะพระจิตเจ้าพระองค์เดียว เราทุกคนจึงได้รับการล้างมารวมเข้าเป็นร่างกายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือเป็นไทก็ตาม เราทุกคนต่างได้รับพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน
(๑ คร. ๑๒:๑๒-๑๓)
เราต้องไม่มองเพื่อนพี่น้องด้วยสายตาที่เห็นเขาเป็นศัตรู คนแปลกหน้า หรือเป็นคนอื่น หากเรามีความเชื่อในพระเจ้า ผู้เป็นองค์แห่งการคืนดี พระองค์ทรงมอบหมายหน้าที่ฑูตแห่งการสร้างการคืนดี (๒ คร.๕:๑๙-๒๐) ให้แก่เรา พระองค์ประกาศให้เราเอาใจใส่ต่อเพื่อนพี่น้องทุกคน ทั้งนี้การรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง ก็มาจากการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องผู้อื่นที่กำลังทุกข์ยาก (๒ คร.๕ :๑๔-๑๖)
นอกจากนี้ พระศาสนจักรคาทอลิกแห่งประเทศไทยยังตระหนักดีว่าในการฟื้นฟูสันติภาพ มีองค์ประกอบที่สำคัญ คือการเคารพศักดิ์ศรีและสิทธิแห่งความเป็นมนุษย์ และการปฏิบัติความรักและความยุติธรรม แต่กระบวนการสร้างสันติภาพในสังคมจะเป็นจริงไม่ได้ หากขาดทัศนคติแห่งการคืนดีและการให้อภัยที่ต้องหยั่งรากอยู่ในจิตใจมนุษย์ทุกคน
(๑) วิถีทางแห่งสันติภาพก็ยากที่จะบรรลุได้
ในวาระนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องคริสตชนร่วมใจกันภาวนาสร้างวิถีแห่งสันติภาพ ด้วยการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้องที่ต้องเผชิญกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคม โดยการพยายามเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสายตาแห่งความรัก เมตตา และขันติธรรม เปิดใจกว้าง ลดอคติ รวมทั้งยอมรับในความแตกต่างทางความคิด เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม และสถานะภาพทางสังคมที่แตกต่างกันพร้อมกันนี้ ช่วยกันแสวงหาแนวทางและลงมือปฏิบัติเพื่อช่วยให้สันติสุขกลับคืนมาโดยเร็ว และขอให้หัวใจของทุกคนเต็มไปด้วยการให้อภัยและการคืนดี เพื่อสันติภาพที่แท้จริงจะได้เกิดขึ้นและดำรงอยู่อย่างถาวร