“พระ” ผู้ใช้ “ศาสนธรรม” นำพาชาวบ้านสร้าง “สันติวิธี”
พระอธิการเอนก จนฺทปฺญโญ พระนักอนุรักษ์ ชาวล้านนา
ธัญลักษณ์ นวลักษณกวี : สัมภาษณ์ ท่ามกลางปัญหาผลกระทบจากการทำสวนส้มที่ชาวบ้านในเขตลุ่มน้ำฝาง ต้องเผชิญตลอดระยะเวลา 4 -5 ปีมาจนถึงขณะนี้ พระสงฆ์รูปหนึ่งได้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน วัดได้เป็นศาสนสถานให้ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนอันเกิดจากการแผ่ขยายตัวของพื้นที่สวนส้มของกลุ่มนายทุน โดยการจัดตั้งกลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำฝาง และเมื่อปัญหานี้กลับไม่ได้รับการแก้ไขอย่างที่ควรเป็น สถานการณ์ความขัดแย้งกลับรุนแรงยิ่งขึ้น พระสงฆ์รูปนี้ยังคงทำหน้าที่ให้ขวัญและกำลังใจ ใช้หลักธรรมโน้มนำชาวบ้านมิให้ท้อถอย หรือแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงตอบโต้
พระอธิการเอนก จนฺทปฺญโญ เจ้าอาวาสวัดคลองศิลา หมู่บ้านสันทรายคองน้อย ต.เวียง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ พระสงฆ์ผู้ได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 4 ปี 2545 ประเภทบุคคลดีเด่น - พระนักอนุรักษ์ผู้พลิกผืนป่าเสื่อมโทรมที่ชื่อ ป่าเวียงด้ง หรือ ดงแม่หลักหมื่น จนกลายเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ นำชาวบ้านเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติและตระหนักถึงคุณค่าสิ่งแวดล้อม
- ผู้นำในการต่อสู้เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่ยึดมั่นในหลักสันติธรรม ดำเนินงานด้วยกุศโลบายทางพุทธศาสนาผสานกับประเพณีท้องถิ่น แสวงหาแนวทางในการแบ่งปันการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันอย่างเกื้อกูล
- ประสานความร่วมมือกับองค์กรพัฒนาเอกชน สถาบันชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืน ในการร่วมวิจัยศึกษาผลกระทบทางสุขภาพ จากการปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวขนาดใหญ่กรณีสวนส้มในพื้นที่ลุ่มน้ำฝาง อ.ไชยปราการ อ.แม่อาย และ อ.ฝาง
ผู้ไถ่ : อยากทราบถึงสถานการณ์ปัญหาความขัดแย้งในขณะนี้ พระอธิการเอนก : ความขัดแย้งเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ช่วงที่มีการแก้ปัญหาตามที่ชาวบ้านได้เรียกร้องไป และมีมติคณะรัฐมนตรีออกมาซึ่งได้แต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาในระดับจังหวัด ระดับอำเภอ คณะทำงานส่วนต่างๆ มีทั้งชาวบ้าน ผู้ประกอบการ นักวิชาการ และส่วนราชการ แต่ปรากฏว่าทางผู้ประกอบการสวนส้มรายใหญไปปลุกปั่นให้ข้อมูล ผิดๆ กับชาวบ้านที่ปลูกส้มรายย่อยให้ออกมาต่อ ต้านชาวบ้านที่เรียกร้องเรื่องปัญหาสวนส้ม ว่าทำให้ราคาส้มตกต่ำ ทำให้เกิดการพูดจากระทบกระทั่งกัน ไม่พอใจกัน ขณะนี้คณะกรรมการกลุ่มอนุรักษ์และแกนนำชาวบ้านได้รับแรงกดดันจากทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อย รวมทั้งส่วนราชการที่วางตัวไม่เป็นกลาง ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ได้มีการร้องเรียนเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหามาเป็นเวลาตั้ง 4 – 5 ปี เรามีหนังสือมีการไปพบปะและร้องเรียนตั้งแต่ระดับ อบต. (องค์การบริหารส่วนตำบล) ไปจนถึงระดับรัฐมนตรี โดยไม่มีใครสนใจและไม่มีใครแก้ไข แต่พอมาปีนี้จากการที่รัฐมนตรีประพัฒน์ลงมาพื้นที่ และได้มีการสั่งการจากนายกฯ ให้มีมติคณะรัฐมนตรีออกมา มีการแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาขึ้นมา ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ไปปลุกปั่นรายย่อยให้ออกมาร้องเรียนต่อต้าน มีการไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ ส.ส. (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) นายอำเภอและทางจังหวัด ปรากฏว่าพอสวนส้มได้รับผลกระทบมีการร้องเรียนเช่นนี้ทาง ส.ส. นายอำเภอ และทางจังหวัด มีการตื่นตัว ซึ่งเป็นข้อสังเกตว่า ทำไมชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบได้รับความเดือดร้อนมาเป็นเวลา 4 - 5 ปี เราดำเนินการร้องเรียนต่างๆ ทำไมถึงไม่ออกมา แต่พอผู้ประกอบการเดือดร้อนขึ้นมานิดหน่อยกลับออกมาและกล่าวโจมตีชาวบ้านที่ร้องเรียนปัญหาสวนส้มว่า เป็นผู้ทำลายการลงทุน ทำลายเศรษฐกิจ ทำให้ราคาส้มตกต่ำ ข้อนี้ทำให้เราคิดว่า เอ๊ะ! ทำไมส่วนราชการถึงวางตัวไม่เป็นกลาง ทั้งๆ ที่นายอำเภอก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการคนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาจากมติครม.ในฐานะที่ท่านเป็นหน่วยงานราชการ ท่านควรจะวางตัวเป็นกลางไม่ควรเข้าไปฝักใฝ่ฝ่ายใด เพราะว่าทุกฝ่ายก็คือประชาชนที่ท่านจะต้องดูแล รักษาความสงบ และให้ความอุ่นใจ ผู้ไถ่ : ทราบมาว่าขณะนี้ชาวบ้านไม่กล้าออกมาเรียกร้อง
พระอธิการเอนก : มีการคุกคาม ข่มขู่ เฝ้าดูพฤติกรรมติดตามดูชาวบ้าน แกนนำที่เรียกร้องก็มีมือปืนมีเจ้าหน้าที่ไปสอดส่องติดตาม บางอำเภอ เช่น อ.แม่อาย ทำให้แกนนำชาวบ้านตลอดจนญาติพี่น้องแกนนำเกิดการหวาดผวา กลัว บางคนต้องให้ลูกหลานออกไปจากพื้นที่ ไปหลบก่อน ผู้ไถ่ : คิดว่าคณะทำงานแก้ไขปัญหาสวนส้มที่มีการแต่งตั้งขึ้นมาจะช่วยชาวบ้านได้หรือไม่
พระอธิการเอนก : คณะกรรมการที่ทางจังหวัดแต่งตั้งขึ้นมา โดยส่วนของทางราชการทำให้ชาว บ้านมองว่าวางตัวไม่เป็นกลาง ทำให้เกิดความท้อใจและหมดความมั่นใจว่าการแก้ไขเป็นไปในลักษณะที่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็คงไม่ส่งผลดีกับชาวบ้านผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน เพราะฉะนั้นแกนนำชาวบ้านจึงมีการประชุมปรึกษาหารือกันว่าเราจะยื่นหนังสือไปทางรัฐมนตรีเพื่อให้ได้รับการแก้ไขหรือสั่งการลงมา เพราะว่าเราอยากให้ทางจังหวัดลงมาทำความเข้าใจกับชุมชนชาวบ้านในท้องถิ่น แม้กระทั่งระดับอำเภอก็ไม่มีการประชาสมพันธ์หรือทำความเข้าใจกับชาวบ้านเลย เราเคยขอร้องและร้องเรียนไปทางจังหวัด ถึงประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาให้ลงมาทำความเข้าใจเขาก็บอกว่าไม่มีเวลา ส่วนทางอำเภอเราคิดว่าพึ่งไม่ได้เพราะเห็นพฤติกรรมของท่านวางตัวไม่เป็นกลาง การแก้ไขปัญหาถ้าเป็นในลักษณะนี้ยังไม่มีการแก้ไขหรือตักเตือนในระดับสูงลงมา ระดับอำเภอระดับจังหวัด คงจะไม่เป็นที่คาดหวังถึงความเป็นกลาง ผู้ไถ่ : กลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำฝางจะทำอย่างไรต่อไป
พระอธิการเอนก : มีการปรึกษาหารือกันว่าเราจะมีการร้องเรียนและรวมตัวกันลาออกจากคณะกรรมการแก้ไขฯ และมีการยื่นหนังสือไปทางรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่าเราไม่ได้รับการคุ้มครอง แต่ถูกข่มขู่ คุกคาม และไม่ได้รับความเป็นธรรมจากส่วนราชการ ในระดับอำเภอซึ่งเป็นสาเหตุที่เราจะลาออก ผู้ไถ่ : หลังจากนั้นแล้ว แนวทางของกลุ่มอนุรักษ์จะเดินหน้าอย่างไร
พระอธิการเอนก : ในส่วนของภาระหน้าที่ที่จะต้องต่อสู้กับความเป็นธรรมหรือเรียกร้องให้มีการแก้ไขก็คงต้องทำไปตลอด ตราบใดที่เรายังได้รับผลกระทบอยู่ยังไม่มีการแก้ไขเราก็ต้องทำไป ก็คงจะต้องทำตามประสาของชาวบ้าน ถ้าเราทำในรูปแบบของคณะกรรมการรูปแบบของทางราชการแล้วเราไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งตามรูปแบบของชาวบ้านเราที่เคยใช้กันมาคือ การใช้สันติวิธี ใช้ความอดทน อะลุ่มอล่วย การเจรจากัน ส่วนนี้ทางวัดเราก็เป็นหลักให้ เราไม่อยากให้ชาวบ้านแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรง ด้วยความโมโห เราพยายามไม่ให้เกิดสถานการณ์การเผชิญกันที่รุนแรง ซึ่งก็ได้ผลดีและชาวบ้านก็เชื่อฟังมาตลอด ผู้ไถ่ : ท่านรู้สึกหนักใจ ท้อใจ ในการดูแลแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านบ้างไหม
พระอธิการเอนก : ทีแรกเราก็ตั้งความหวังในส่วนราชการเพราะเมื่อก่อนเราแก้ปัญหาในส่วนของชาวบ้านเรา มีการเจรจาพูดคุยกันและตกลง แต่เมื่อไม่เป็นไปตามที่เจรจาที่ตกลง เมื่อไปถึงส่วนราชการทุกระดับก็มีความมั่นใจว่าปัญหาคงจะแก้ได้ จากที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการและส่วนราชการ แต่ปรากฏชัดออกมาว่าวางตัวไม่เป็นกลางเราก็หมดความหวังว่าจะพึ่งส่วนราชการ ถ้ายังเป็นภาพลักษณ์แบบนี้ก็ไม่มีความหวังแล้ว ก็คงต้องอาศัยตนเอง ชุมชนของชาวบ้านที่จะแก้ไขกันเอง ส่วนชาวบ้านก็ท้อถอยว่าเขาเป็นชาวบ้านได้ทำตัวเป็นพลเมืองดีของชาติมาด้วยดีตลอด ทำไมเมื่อมีความเดือดร้อนขึ้นมาถึงไม่ได้รับความสนใจและเอาใจใส่จากภาครัฐเลย ก็มีการท้อใจบ้าง แต่ที่ยังมีกำลังใจกันอยู่ก็คือทางส่วนของวัดเราที่ให้คติให้ธรรมะกับชาวบ้าน ผู้ไถ่ : ท่านให้คติ ให้โอวาทอย่างไรแก่ชาวบ้านในสถานการณ์เช่นนี้
พระอธิการเอนก : เราไม่ได้ให้ธรรมะโดยตรง แต่เราจะให้ตามสถานการณ์ ยกตัวอย่างว่า ชาวบ้านทนไม่ไหวแล้ว โมโหแล้ว จะไปบุกรุกล่ะ ส่วนของใครก็จะเข้าไปรื้อทำลายแล้ว ตรงจุดนี้พระก็เข้าไปบอกว่า อย่าทำอย่างนั้นเลยถ้าทำแบบนั้นก็เป็นผลเสียทั้งสองฝ่าย ฝ่ายเขาก็เสียหายทรัพย์สินฝ่ายชาวบ้านก็จะเสียทีเขา ร้องเรียนฟ้องร้องก็จะเป็นข้อพิพาทกันทำให้เสียเวลา เอาเวลามาแก้ไขให้มันตรง อีกตัวอย่างหนึ่ง เมื่อมีการบุกรุกป่า ชาว บ้านร้องเรียนเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนรับผิดชอบ เขาก็ไม่สนใจที่จะแก้ไขปัญหาปล่อย ให้มีการบุกรุกต่อไป ชาวบ้านก็คิดตามประสาชาวบ้านว่า “เออ เมื่อนายทุนเอาได้และเจ้าหน้าที่ไม่จัดการ ชาวบ้านก็ควรจะไปเอาอย่างน้อยได้คนละ 4 - 5 ไร่ หรือคนละไร่ก็ยังดีเพราะปล่อยไว้นายทุนก็เอาไป เราไปร้องเรียนบอกเจ้าหน้าที่ เขาก็ไม่มีการปราบปราม เราไปเอากันบ้างดีกว่า” เขาจะพูดลักษณะนี้ก็จะทำกันตามแบบชาวบ้าน พระก็เข้าไปบอกว่า “อย่าทำอย่างนั้นเลย ถ้าทำแบบนี้ก็เหมือนเราไปตกหลุมพรางนายทุนเพราะชาวบ้านเราก็คงจะรักษาไว้ไม่ได้ ถึงจะได้กันคนละไร่ 5 ไร่ ต่อไป 5 ปี 10 ปี ก็ต้องขายให้นายทุนเพราะว่าทุนที่จะทำไม่มี” เราก็พูดคุยให้สติชาวบ้านในลักษณะนี้ ส่วนหนึ่งเมื่อส่วนราชการเขาไม่มาทำ ชาวบ้านเราก็รักษาดูแลกันเอง เรารักษาดูแลของเรา เราก็ได้รับประโยชน์ของเรา ผู้ไถ่ : ท่านเองมีหลักอย่างไรที่ใช้ยึดถือ ทำให้มีกำลังใจช่วยชาวบ้าน
พระอธิการเอนก : คือจิตสำนึกว่าเราเป็นคนในชุมชนในหมู่บ้าน เมื่อชุมชน หมู่บ้านได้รับผลกระทบ ได้รับความเดือดร้อน ความเดือดร้อนและผลกระทบนี้ก็ต้องมาถึงตัวเรา เพราะฉะนั้นในฐานะที่ว่าอยู่ในสถานะที่จะช่วยเขาได้ ถึงไม่ได้ช่วยโดยตรงก็จะช่วยทางอ้อม ถึงตนเองไม่ได้เข้าไปช่วยก็อาจจะสื่อหรือหาวิธีอื่นมาช่วยเหลือเขาได้ เรามีความคิดและจิตสำนึกแบบนี้เราจึงมาทำงานนี้
Powered by AkoComment 2.0! |