ส้ม…สายน้ำ “พิษ”
เมื่อ... “ส้ม” ทำ “พิษ” ให้ชุมชนธัญลักษณ์ นวลักษณกวี เรื่อง ย่านการค้า ใจกลางกรุงเทพมหานคร อรทัย : สาวออฟฟิศ ขณะเดินไปยังป้ายรถเมล์เพื่อต่อรถกลับบ้าน เธอเห็นกองส้มที่ถูกเรียงเป็นชั้นสูงลดหลั่นกันของร้านขายผลไม้ ผลส้มสีเหลืองทอง ผิวเป็นมันแวววาวดูน่ารับประทานจนเธออดใจไม่ได้ที่จะหยุดซื้อ ระหว่างรอแม่ค้าซึ่งกำลังหยิบส้มชั่งกิโลขายให้กับลูกค้าที่มาก่อนเธอ สายตาเธอจึงให้ความสนใจกับละครทีวีเบื้องหน้า ภาพของสถานที่ซึ่งดูสวยงาม ไร่ส้มท่ามกลางขุนเขาที่โอบล้อมรอบ คนงานหน้าตายิ้มแย้มสดใส กำลังช่วยกันเก็บผลส้มที่มีอยู่ดกดื่นเต็มต้นลำเลียงลงในลังพลาสติก อรทัยคิดว่าคงจะดีไม่น้อยถ้าเธอมีโอกาสไปเก็บผลส้มด้วยตนเองและรับประทานสดๆ จากต้น ในไร่ส้ม !
แหล่งปลูกส้มสายน้ำผึ้ง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ สถานที่ : หมู่บ้านสันทรายคองน้อย ต.เวียง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ หมู่บ้านที่ถูกสวนส้มล้อมรอบ พ่อหลวงจันทร์ : ผู้ใหญ่บ้าน พ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) ขี่มอเตอร์ไซด์ มาถึงวัดคลองศิลา เพื่อประชุมร่วมกับกลุ่มแกนนำชาวบ้าน ในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสวนส้ม พ่อหลวงเองพอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็หนักใจ “ตั้งแต่เกิดปัญหาสารพิษจากสวนส้มทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนทั้งเรื่องน้ำกินน้ำใช้ น้ำที่เคยใช้กินใช้อาบกันได้อย่างสบายใจ ตอนนี้ก็ไม่กล้ากินกันแล้วขนาดแค่อาบยังเป็นผื่นคันเป็นตุ่มแผล รายได้ก็ไม่ใช่จะมากมายอะไรต้องมาซื้อน้ำกินกันอีก กลิ่นสารเคมีจากพวกสวนส้มนี่ก็เหลือจะทน จะไม่ให้ชาวบ้านเครียดจนถึงขั้นเอาปืนไปขู่คนงานฉีดยาให้ หยุดฉีดยังไงไหว ฉีดกันทุกวันกลางค่ำกลางคืน กลับมาจากทำงานเหนื่อยๆ จะได้นอนหลับเต็มแรง ก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะทนกลิ่นไม่ไหว” พ่อหลวงเองที่พอจะทำได้ เมื่อรู้ว่าสวนไหนฉีดยามากไปกลิ่นโชยมารบกวนชาวบ้านก็ไปขอให้เขาหยุดฉีดก็พอจะช่วยกันได้บ้าง แต่คิดต่อไปว่า “เข้าหน้าฝนเมื่อไรเดือดร้อนกันหนักอีกแน่ พวกสวนส้มอยู่ข้างบน พวกเราอยู่ข้างล่างน้ำฝนก็ชะเอาสารเคมีไหลลงมา ซ้ำร้ายยิ่งฉีดบ่อยขึ้นอีก เป็นห่วงก็แต่ละอ่อน (เด็ก) บ้านเราต้องมารับสารพิษสะสมวันแล้ววันเล่า สมองก็คงจะฝ่อ สุขภาพก็มีแต่จะแย่ลง”
ตั้งแต่เป็นพ่อหลวงมาจนถึงขณะนี้ก็ปีกว่าแล้ว ความตั้งใจก็อยากจะให้ชาวบ้านอยู่ดีมีสุข พยายามช่วย กันกับตุ๊เจ้า (พระสงฆ์) รวมทั้งชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบเหมือนกัน แต่ก็ดูว่าปัญหานี้มันจะหนักหนาเกินกำลัง “พวกนายทุนมีทั้งอิทธิพลมีทั้งนักการเมืองและข้าราชการหนุนหลัง นี่ก็ไปปลุกปั่นชาวบ้านที่ปลูกส้มขายส้ม หาว่า กลุ่มเราไปพูดเรื่องสารเคมีจนทำให้ราคาส้มตกขายไม่ออกเพราะคนกลัวสารพิษเลยไม่กล้าซื้อส้มกิน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วก็มาจากชาวสวนส้มเองไม่แข็งพอ ถ้ามีความรับผิดชอบมีการควบคุมคุณภาพไม่เร่งเก็บส้มก่อนกำหนดจนส้มที่ออกมาไม่ได้รสชาติ ถ้าทำได้อย่างที่สวนส้มรายใหญ่ๆ เขาทำกันก็คงไม่เกิดปัญหา นี่กลายเป็นว่าทำให้ชาวบ้านทะเลาะกัน เฮาเองก็พลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย โดนทั้งถูกข่มขู่ ถูกกลั่นแกล้งถึงขนาดทำหนังสือร้องเรียนไปถึงนายอำเภอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน แค่ลำพังเฮาเองก็ไม่เท่าไร แต่นี่แม้กระทั่งตุ๊เจ้าเป็นพระที่พยายามช่วยเหลือชาวบ้านมาตลอด ก็ยังโดนทำเรื่องฟ้องร้องไปถึงฝ่ายสงฆ์ระดับจังหวัดด้วย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ท้อใจได้อย่างไร” ลุงสุทัศน์ : ภารโรงโรงเรียนสันทรายคองน้อย ต.เวียง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ถึงแม้ลุงสุทัศน์จะเป็นแค่ภารโรง โรงเรียนเล็กๆ แต่ในฐานะที่แกก็เป็นคนบ้านสันทรายคองน้อยมาตั้งแต่เกิดจนเฒ่า แกคิดว่าเป็นภาระหน้าที่ของแกเช่นกันที่จะต้องร่วมไม้ร่วมมือกันพัฒนาหมู่บ้าน เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในหมู่บ้านแกก็ต้องทำเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นตุ๊เจ้ายังต้องออกมาทำงานอนุรักษ์ป่า ทั้งตอนนี้ยังต้องมาร่วมหาแนวทางแก้ปัญหาสารพิษจากสวนส้มร่วมกับพวกชาวบ้านอีก ปัญหาสารพิษจากสวนส้มที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ลุงสุทัศน์ในฐานะที่เป็นหนึ่งในคณะ กรรม การกลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำฝาง ได้พยายามเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐเข้ามาแก้ปัญหาในเรื่องการบุกรุกพื้นที่ป่าของกลุ่มนายทุนเพื่อขยายทำสวนส้ม แหล่งน้ำสาธารณะที่ชาวบ้านเคยได้ใช้ทำไร่ทำนาถูกนายทุนเบียดบังดักเอาไปใช้เฉพาะตน แล้วยังทางสาธารณะที่เคยได้ใช้สัญจรไปมาก็โดนปิด ที่เดือดร้อนกันมากก็เรื่องสารเคมีจากสวนส้มกระจายไปทั่วหมู่บ้านเป็นอันตรายต่อสุขภาพของชาวบ้าน รวมไปถึงป่าอนุรักษ์ที่ตุ๊เจ้าเริ่มนำให้กลุ่มชาวบ้านร่วมกันดูแลก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ทั้งไม้ไผ่ก็ถูกตัดทำลายเอาไปทำไม้ค้ำต้นส้ม หน่อไม้ที่เคยได้เก็บไปกินไปขายก็ลดน้อยลง เห็ดป่าที่เคยออกดอกตามฤดูกาลก็ไม่มีแล้ว ต้นพลวงที่เคยได้ใช้ใบมาทำหลังคาก็โดนแมลงที่หนีจากสวนส้มพากันมากัดทำลาย ชาวบ้านที่เคยได้ใช้ประโยชน์เคยมีรายได้จากของในป่าเหล่านี้มาจุนเจือครอบครัวก็ขาดรายได้ไป แต่ขณะนี้ปัญหาที่กลุ่มอนุรักษ์ฯ เรียกร้องให้แก้ไข กลับถูกเบี่ยงเบนประเด็นไปกลายเป็นว่ากลุ่มอนุรักษ์ไปโจมตีทำให้ส้มราคาตก “เราไม่ได้ว่าส้มมีพิษไม่ควรกิน แต่จุดประสงค์เราคือ ต้องการให้รู้ถึงขบวนการก่อนจะออกมาเป็นผลส้มว่ามันทำลายอะไรบ้าง” ลุงสุทัศน์คิดเช่นนั้น พี่จันทร์ฟอง : อดีตคนงานไร่ส้มของนายทุนรายใหญ่ ใน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ พี่จันทร์ฟองเคยทำงานเป็นคนงานตัดแต่งกิ่งและเก็บผลส้ม เธอนึกย้อนกลับไปถึงช่วงที่เคยทำงานในไร่ส้มแล้วก็อดขนลุกไม่ได้ว่าเธอได้ผ่านอันตรายจากสารเคมีที่มีผลต่อสุขภาพและชีวิตของเธอ ด้วยเธอยังมีโอกาสเลือกที่จะเลิกทำงานนี้ ในช่วงที่ยังทำงานในไร่ส้ม เธอจะเริ่มงานตั้งแต่ 8 โมงเช้า และเลิกงานเวลา 5 โมงเย็น หน้าที่ของเธอคือการเก็บผลส้ม พร้อมทั้งตัดและแต่งกิ่งต้นส้ม ขณะตัดแต่งกิ่งต้นส้มที่มีหนามทำให้เธอไม่สามารถใส่ถุงมือได้ ด้วยหนามที่เกี่ยวติดกับถุงมือทำให้ทำได้ไม่ถนัดและล่าช้า ซึ่งจะมีผลต่อการถูกตำหนิและถูกหักเงินเดือนได้หากเธอทำหน้าที่ไม่ได้ตามที่หัวหน้ากำหนด ส่วนสารเคมีที่ติดอยู่ตามใบและกิ่งกระจายฟุ้งในอากาศโดนหน้าตาและเข้าสู่ลมหายใจวันแล้ววันเล่า เธอมักรู้สึกแสบตา เคืองตา น้ำตาไหล และมีอาการตาบวมอยู่เสมอ ส่วนมือที่ต้องสัมผัสโดนสารเคมีเริ่มมีอาการแสบร้อนและบวม ขนคิ้วเริ่มหลุดร่วง ริมฝีปากแห้งแตกทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าหนาว เธอเริ่มมีอาการปวดศีรษะ รู้สึกอยากอาเจียน บ่อยครั้งขึ้น เธอไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรจึงถามเพื่อนร่วมงานซึ่งได้คำตอบว่ามีอาการเช่นเดียวกัน ในช่วงที่มีการเรียกร้องจากกลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำฝางให้แก้ปัญหาผลกระทบจากสวนส้ม จนกระทั่งมีการส่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาตรวจสอบสารพิษในร่างกายชาวบ้าน เธอเป็น 1 ในหลายๆ คนที่ได้รับการตรวจพบว่า มีสารพิษสะสมอยู่ในร่างกาย คำแนะนำที่เธอได้รับจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการดูแลสุขภาพคือ เธอควรดื่มน้ำโซดาเป็นประจำเพื่อช่วยล้างสารพิษที่อยู่ในร่างกายออกไป หลังจากนั้นไม่นาน พี่จันทร์ฟองจึงลาออกจากงานกลับมาทำไร่ทำนาที่เธอมี เธอคิดว่าดีกว่าที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อรายได้วันละ 100 บาท แต่เธอก็อดคิดถึงคนงานจำนวนมากที่ยังต้องทนทำงานต่อไปเพราะไม่มีทางเลือกโดยเฉพาะแรงงานชาวพม่าที่เข้ามาเป็นคนงานส่วนใหญ่ในไร่ส้ม ซึ่งมีการปกปิดและแอบซ่อนคนงานผิดกฎหมายเหล่านี้โดยมีการรู้เห็นกันระหว่างนายทุนเจ้าของไร่ส้มและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เธอคิดว่าแรงงานต่างด้าวเหล่านี้ต่างหากที่จะต้องเอาชีวิตมาทิ้งในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนเพื่อแลกกับรายได้เพียงวันละ 80 บาท โดยคนภายนอกไม่สามารถรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้เลย! วัดคลองศิลา หมู่บ้านสันทรายคองน้อย ต.เวียง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่
พระอธิการเอนก หรือ ตุ๊เจ้า ของชาวบ้าน : ประธานเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำฝาง เช้านี้จะมีการประชุมเรื่อง “การจัดการทรัพยากรน้ำของชุมชน กลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำฝาง” ตุ๊เจ้าจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆที่จะต้องใช้ในการประชุม ทั้งเป็นผู้ลงแรงจัดโต๊ะเก้าอี้สำหรับบรรดาแกนนำชาวบ้านที่จะเข้าประชุมด้วยตนเอง ครั้นใกล้เวลาแกนนำชาวบ้านต่างทยอยกันมาแล้ว การประชุมจึงเริ่มขึ้น ตุ๊เจ้านั่งฟังชาวบ้านนำเสนอปัญหา ข้อคิดเห็นและแนวทางออกของการจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกันอย่างตั้งใจ ปัญหาในวันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของผลกระทบจากการทำสวนส้ม ผู้ประกอบการรายใหญ่ไปปิดกั้นเหมืองฝายที่เป็นของสาธารณะ แล้วต่อท่อเข้าสู่สวนส้มของตน หลายต่อหลายครั้งที่ชาวบ้านต้องไปเจรจากับเจ้าของสวนส้มเพื่อให้นำท่อออกเสียเนื่องจากชาวบ้านไม่สามารถใช้น้ำได้ เรื่องนี้เคยเสนอไปยังหน่วยราชการในท้องที่ให้เข้ามาดูแลแก้ไขแล้ว แต่พอเผลอเจ้าของสวนส้มก็แอบไปต่อท่ออีกแล้ว เช่นเดียวกับเรื่องขยายพื้นที่ปลูกส้มรุกล้ำเขตป่าสงวน ตุ๊เจ้าร่วมรับรู้ปัญหาของชาวบ้านเรื่องแล้วเรื่องเล่าของความเดือดร้อน ตลอดระยะเวลา 4 – 5 ปี มานี้ หมู่บ้านที่เคยสงบ ร่มเย็น อยู่กันด้วยความสามัคคีปรองดอง แต่กลับต้องมาแตกแยกขัดแย้ง เผชิญกับความหวาดกลัวจากพิษภัยสารเคมีที่ปกคลุมไปทั่วทุกหัวระแหง ในถิ่นเกิดที่อยู่กันมานานชั่วลูกชั่วหลาน นับแต่การรุกเข้ามาของผลไม้ที่ชื่อ “ส้มสายน้ำผึ้ง” หากอรทัย ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับผู้คนในอีกมุมหนึ่งของประเทศไทยเช่นนี้ เธอจะคิดและทำอย่างไร?
ทุกครั้งที่ซื้อ เคยรู้บ้างไหม? อะไรคือความแตกต่าง มิใช่แค่รูปร่าง ขนาด สีสัน และปลอดสารพิษเท่านั้นแต่ควรมองลึกลงไปถึงกระบวนการผลิต ใครถูกเอาเปรียบ ? ช่วยกันเลือกอีกสักนิด เพื่อหลายชีวิต ไม่ถูกทำร้าย.... - ไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ทางการเกษตร
- ไม่กดขี่และเอาเปรียบแรงงาน
- ไม่แย่งชิงทรัพยากร ที่ดิน น้ำ ป่า ของคนท้องถิ่น
ที่มาของปัญหาส้มพันธุ์สายน้ำผึ้ง เมืองฝาง จ.เชียงใหม่ ปี 2525 เจ้าของสวนส้มธนาธร ได้นำพันธุ์ส้มจากประเทศจีนที่ตนรับประทานแล้วชื่นชอบในรสชาติของผลส้ม มาปลูกที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ด้วยสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสมของเมืองฝาง คือเป็นที่ราบลุ่มในหุบเขา อากาศเย็นชื้น มีแหล่งน้ำปริมาณมาก มีฤดูฝนและฤดูหนาวยาวนาน ส้มที่นำมาปลูกจึงออกผลผลิตที่ได้รสชาติดีและผิวสีเหลืองสวยงามน่ารับประทาน จึงมีการคัดสายพันธุ์ส้มสายน้ำผึ้งและขยายจนประสบความสำเร็จด้วยคุณภาพของส้มประกอบกับการจัดการด้านการตลาดแบบมืออาชีพ นับเป็นสวนส้มรายแรกที่มีการนำตราสติกเกอร์มาเป็นสัญลักษณ์ของตนติดบนผลส้มเช่นเดียวกับผลไม้จากต่างประเทศ มีการเคลือบผิวส้มหรือที่เรียกกันว่าการแว๊กซ์ผิวส้มเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ ยืดอายุผลส้ม และทำให้ผิวส้มดูเงาแวววาวน่ารับประทาน รวมไปถึงการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า จนเป็นที่ยอมรับกันว่าส้มสายน้ำผึ้งของสวนส้มธนาธรมีราคาสูงและเป็นที่นิยมของผู้ชอบรับประทานส้ม ส้มสายน้ำผึ้งจากสวนธนาธรได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศ มีวางขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตของห้างสรรพสินค้าต่างๆ และมีการส่งออกไปขายยังต่างประเทศ อีกด้วย ความสำเร็จของสวนส้มธนาธร เป็นแบบอย่างให้ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายย่อย หันมาปลูกส้มสายน้ำผึ้งกันเป็นจำนวนมาก นำไปสู่การขยายพื้นที่ปลูกส้มจาก อ.ฝาง ไปสู่ อ.แม่อาย และ อ.ไชยปราการ ซึ่งจัดเป็นพื้นที่เหมาะสมในการปลูกส้มเช่นกัน มีการกว้านซื้อที่ดินจากชาวบ้านทั้งที่เป็นที่นาและพื้นที่สูง และเริ่มขยายรุกล้ำไปยังเขตป่าสงวนแห่งชาติ โครงการวิจัยเพื่อกำหนดขอบเขตและแนวทางประเมินผลกระทบทางสุขภาพจากการทำพืชเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในพื้นที่ลุ่มน้ำฝาง โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ประเมินว่า พื้นที่ปลูกส้ม 3 อำเภอคือ ฝาง แม่อาย และไชยปราการ มีประมาณ 300,000 ไร่ (ปี 2546) มีการใช้พื้นที่อนุรักษ์และพื้นที่สาธารณะด้วย และจากภาพถ่ายดาวเทียม โดยคณะทำงานแก้ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่า พบว่า เฉพาะพื้นที่ อ.ฝาง มีสวนส้มมากกว่า 100,600 ไร่ ซึ่งกว่าครึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ การขยายตัวของสวนส้มส่งผลกระทบตามมาหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการแย่งชิงทรัพยากร แหล่งน้ำ ที่ดิน ป่าไม้ในท้องถิ่น, ปัญหาสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดมลพิษในชุมชนและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนในชุมชน, ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านและนายทุนรายใหญ่ รวมไปถึงปัญหาแรงงานต่างด้าวที่หลั่งไหลเข้ามาทำงาน และนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ตามมาในอนาคต
ผู้ได้รับผลกระทบ เครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำฝาง 3 อำเภอ ( อ.ฝาง อ.แม่อาย และ อ.ไชยปราการ) เครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำฝาง เกิดจากการรวมตัวกันของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำสวนส้มในเขต อ.ฝาง, อ.แม่อาย และ อ.ไชยปราการ ประกอบด้วยชุมชน 6 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านหนองขี้นกยาง ต.แม่นาวาง อ.แม่อาย, บ้านหัวยาว ต.ดงเย็น อ.ไชยปราการ, บ้านแม่ฮ่าง แม่สาย ต.แม่สาย อ.แม่อาย, บ้านล้องอ้อ ต.แม่สูน อ.ฝาง, บ้านใหม่กองทราย ต.สันต้นหมื้อ อ.แม่อาย และบ้านสันทรายคองน้อย ต.เวียง อ.ฝาง กลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำฝาง ได้เคลื่อนไหวเรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามาดูแลแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง โดยได้เสนอข้อสรุปปัญหาผลกระทบจากสวนส้ม จากผลการวิจัยของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ซึ่งได้เข้ามาทำวิจัยเพื่อกำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบทางสุขภาพจากการทำพืชเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในลุ่มน้ำฝาง แบ่ง เป็น 2 ประเด็นใหญ่ คือ 1. ทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นปัจจัยการผลิตและสิ่งแวดล้อม 1.1 ที่ดิน นายทุนเบียดบังเอาที่สาธารณะไปจากชาวบ้าน เช่น แย่งที่วัดร้างของบ้านหนองบัวงาม อ.แม่อาย แย่งถนนของบ้านสันทราย คองน้อย อ.ฝาง 1.2 น้ำ ก่อนที่จะมีสวนส้มเข้ามาในหมู่บ้าน เกษตรกรใช้น้ำที่สะอาดจากบ่อน้ำตื้นเพื่ออุปโภคและบริโภค และมีน้ำเพียงพอสำหรับใช้เพื่อการเกษตร แต่หลังจากสวนส้มเข้ามาในชุมชน ชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงสวนส้ม (0-500 เมตร) ต้องซื้อน้ำดื่มมากกว่า 20.1% ในฤดูฝน เมื่ออาบน้ำจะมีอาการคัน เป็นตุ่ม เป็นฝี น้ำเพื่อการเกษตรลดน้อยลง ถูกสวนส้มขนาดใหญ่ขุดสระขนาดใหญ่หลายจุดติดลำเหมืองสาธารณะ เพื่อดักน้ำไปใช้เพียงคนเดียว มีการเบี่ยงเบนเส้นทางน้ำ จากลำเหมืองเข้าสู่สวน 1.3 ป่า ด้วยการปลูกส้มต้องใช้ไม้ไผ่เพื่อใช้ค้ำยันต้นส้มเพื่อไม่ให้ล้ม ปกติต้องใช้ 1,200 ลำต่อพื้นที่ 1 ไร่ ดังนั้นในพื้นที่ลุ่มน้ำฝาง 100,000 ไร่ ต้องใช้ไม้ค้ำยันมากกว่า 120,000,000 ลำต่อปี ซึ่งเป็นการทำลายป่า และทำให้ไม้ไผ่ลดลงจำนวนมาก หน่อไม้ซึ่งเป็นอาหารและรายได้ธรรมชาติของชาวบ้านได้ลดลง 1.4 ลม การได้รับกลิ่นสารเคมี พบว่าชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงสวนส้ม (0-500 เมตร) ร้อยละ 12.4 ได้กลิ่นสารเคมีทุกวัน, ร้อยละ 6.7 ได้กลิ่นวันเว้นวัน และร้อยละ 6.1 ได้กลิ่นทุก 2 วัน ขณะเดียวกันร้อยละ 65.3 มีความมั่นใจว่าอากาศไม่บริสุทธิ์ 2. การปนเปื้อนของสารเคมีในอาหารธรรมชาติ ปัจจุบันอาหารธรรมชาติลดลงมาก ชาวบ้านไม่กล้าเก็บกิน เพราะกลัวการปนเปื้อนของสารเคมี โดยเฉพาะหมู่บ้านที่อยู่ใกล้สวนส้ม ชาวบ้านมากกว่า 23.9 ไม่กล้าเก็บผักและอาหารธรรมชาติกิน
2.1 กาย จากการศึกษาพบว่าชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงสวนส้ม (0 - 500 เมตร) มีโรคมากกว่า 38 ชนิด และค่อนข้างรุนแรง เช่น เป็นหวัด 35.9%, เวียนหัว 33.8%, น้ำมูกไหล 29.6%, คัน 29.5%, ปวดศีรษะ 29.3%, ไอ 15.3%, ท้องร่วง 13.2%, เจ็บคอ 12.4%, ครั่นเนื้อครั่นตัว 11.1% เป็นต้น 2.2 จิตใจ จากการศึกษาสุขภาพทางจิตพบว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงสวนส้ม (0 - 500 เมตร) มีอาการเครียด 27.3%, อาการโวยวาย 5.1%, ก้าวร้าว 1.1 %, ยิงปืนขึ้นฟ้า 0.9 %, ยิงถังพ่นยา 0.1 % 2.3 สังคม จากการศึกษาพบว่าชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงสวนส้ม (0 - 500 เมตร) มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน มีความเห็นไม่ลงรอยกันทั้งคนในชุมชนกับคนในชุมชน และคนในชุมชนกับแรงงานต่างด้าว ทำให้ชุมชนมีความเห็นแตกแยกมากขึ้น 2.4 ศีลธรรมหรือจิตวิญญาณ จากการศึกษาพบว่า คนในชุมชนเอาเปรียบกัน เห็นแก่ตัวมากขึ้น หลายครอบครัวย้ายออกนอกพื้นที่ ส่วนใหญ่ต้องการย้ายออกจากชุมชนแต่ไม่มีที่ไป เยาวชนที่มีโอกาสไปทำงานข้างนอกไม่ยอมกลับบ้าน ข้อสรุปปัญหาดังกล่าว ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยการนำเสนอของนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะรัฐมนตรีมีมติ วันที่ 9 ก.ย.46 เรื่องการแก้ปัญหาสวนส้ม 3 อำเภอที่ จ.เชียงใหม่ โดยมอบให้กระทรวงทรัพยากรฯ และกระทรวงสาธารณสุข รับไปดูแลและแก้ไข ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติวันที่ 23 ก.ย.46 เห็นชอบตามที่นายประพัฒน์ รายงานโดยให้ดำเนินการแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ใน 4 กรอบปัญหาคือ 1. เห็นควรประกาศให้กิจการสวนส้มเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามพ.ร.บ.สาธารณสุข 2535 2. ให้มีการออกประกาศให้พื้นที่ อ.แม่อาย, ฝาง และไชยปราการ เป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 2535 และให้มีการจัดทำแผนการจัดการดิน น้ำ และสารเคมีต่างๆ ร่วมกับราษฎรในพื้นที่ 3. ให้เร่งพิสูจน์สิทธิในที่ดิน และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 4. ให้พิจารณาเกี่ยวกับการจัดระเบียบใช้ที่ดินในที่สูงหรือพื้นที่อนุรักษ์ โดยได้มอบหมายให้ทางจังหวัดรับไปดำเนินการ
ปัญหาที่ตามมา
ภายหลังมติคณะรัฐมนตรี ที่ให้ดำเนินการศึกษาผลกระทบและวางแนวทางในการแก้ไขปัญหาจากการประกอบกิจการสวนส้ม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหานี้ในพื้นที่ อ.ฝาง, แม่อายและไชยปราการ ทั้งหมด 6 ชุด ได้แก่ 1. คณะทำงานประกาศให้กิจการสวนส้มเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 2. คณะทำงานเพื่อประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม 3 อำเภอ 3. คณะทำงานพิสูจน์สิทธิในที่ดิน 4. คณะทำงานจัดระเบียบการใช้ที่ดินในที่สูงหรือในพื้นที่อนุรักษ์ 5. คณะทำงานศึกษาผลกระทบเรื่องแรงงานต่างด้าว 6. คณะทำงานศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ดูเหมือนว่า ปัญหาผลกระทบจากสวนส้มที่กลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำฝางเรียกร้องให้แก้ไขในเรื่องที่ทำให้พวกเขาเดือดร้อน กลับเริ่มส่อเค้ากลายเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอนุรักษ์ฯ กับผู้ประกอบการส้มรายย่อยและสหกรณ์สวนส้ม เมื่อมีความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่ากลุ่มอนุรักษ์ฯ ทำลายบรรยากาศการลงทุน การท่องเที่ยว และทำให้ส้มราคาตกต่ำ มีการข่มขู่ คุกคาม แกนนำชาวบ้าน จนกระทั่งบางคนต้องยุติบทบาทตัวเอง และอยู่ด้วยความหวาดกลัวต่ออิทธิพลของนายทุนรายใหญ่ซึ่งมีทั้งเงินและอำนาจภายใต้การสนับสนุนของข้าราชการและนักการเมืองท้องถิ่น สำหรับคณะทำงาน 6 ชุดที่แต่งตั้งขึ้นมา ก็เริ่มมองเห็นถึงความไม่ยุติธรรมในความเอนเอียงของข้าราชการท้องถิ่นและอิทธิพลของนายทุนรายใหญ่ สิทธิและเสียงของชาวบ้านเริ่มถูกลิดรอน ความหวังของกลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำฝางที่พยายามเรียกร้องความเป็นธรรม และสิทธิในชุมชนในท้องถิ่นของตนเมื่อถูกละเมิด สิ่งที่พวกเขาเรียกร้องเพียงต้องการดำรงชีวิตอยู่ในถิ่นเกิดอย่างปลอดภัยในร่างกายและทรัพย์สิน สามารถที่จะร่วมจัดการดูแลทรัพยากรในท้องถิ่นทั้ง ดิน น้ำ ป่าไม้ มิใช่ใครบางคนเป็นเจ้าของและนำไปใช้เท่านั้น “หรือจะต้องรอให้มีคนตายขึ้นมา นายกฯ ถึงจะรู้ แล้วลงมาดู” เสียงตัดพ้อที่เริ่มจะบางเบา จากชาวบ้านสันทรายคองน้อย ในวันนี้
ทางออกที่ยั่งยืน
ปัญหาสวนส้มในลุ่มน้ำฝาง - ตัวอย่างของระบบการเกษตรเชิงเดี่ยวที่เปลี่ยนให้ส้มกลายเป็นอุตสาหกรรมเกษตรเคมี เนื่องจากส้มเป็นพืชที่เสี่ยงต่อโรคหลายชนิด ต้องฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืชกลุ่มต่างๆ ทั้งกลุ่มสารกำจัดเชื้อรา กลุ่มอาหารเสริมและฮอร์โมน สลับกันไปทั้งแบบฉีดพ่นและแบบใส่ลงดินโดยเฉลี่ยสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งสารเคมีส่วนใหญ่ที่สวนส้มใช้จัดเป็นสารเคมีกลุ่มที่องค์การอนามัยโลกจัดอยู่ในกลุ่ม 1 เอ พิษร้ายแรงสูงมาก (1a, extremel hazardous)* และกลุ่ม 1 บี พิษร้ายแรงสูง (1b, highly hazardous)** ปุ๋ยเคมีต่างๆ ล้วนมีผลต่อสภาพดิน ดินที่ผ่านการปลูกส้มและมีการสะสมของปุ๋ยเคมีจะแข็งและหมดความอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาตุต่างๆ เจ้าของสวนส้มจึงต้องปรับสภาพด้วยการเติมอินทรีย์สาร เช่น มูลวัว มูลควายสดใต้ต้น วงการวิชาการยอมรับว่าพื้นที่ปลูกส้มมานานจะหมดสภาพความอุดมสมบูรณ์ คนทำสวนส้มจึงมักย้ายถิ่นทุก 15-20 ปีเพื่อหลีกหนีปัญหาต้นทุนและผลผลิตตกต่ำ การย้ายแหล่งปลูกส้มจากถิ่นเดิมตั้งแต่ ย่านบางมดเขตธนบุรี สู่เขตรังสิต จ.ปทุมธานี ไปอยุธยา กระจายไปตามภูมิภาคต่างๆ เนื่องจากปัญหาดินเสื่อมเพราะสารเคมี และแหล่งน้ำไม่เพียง พอเพราะส้มเป็นพืชที่ต้องการน้ำจำนวนมากตลอดทั้งปี การขยายตัวของสวนส้มในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไปสู่เขตภาคกลางตอนบน และภาคเหนือ เช่น เขต อ.พบพระ จ.ตาก, จ.กำแพงเพชร, จ.อุตรดิตถ์, อ.เถิน จ.ลำปาง, จ.น่าน, จ.เลย และ จ.เชียงใหม่ ได้ลุกลามนำไปสู่ปัญหาต่อชุมชนแทบทุกแห่งที่มีการทำสวนส้ม แนวคิดในการแก้ปัญหาพืชเกษตรเชิง เดี่ยวที่ต้องใช้สารเคมีจำนวนมาก โดยเปลี่ยนมาเป็นการทำการเกษตรอินทรีย์ ซึ่งก็คือการทำเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมี ดังนั้นการปลูกส้มปลอดสารเคมี จึงเป็น ทางออกที่เหมาะสม เป็นไปได้ในปัจจุบันและจำเป็นต่อไปในอนาคต คุณชมชวน บุญระหงษ์ ผู้อำนวยการสถาบันชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืน ภายใต้มูลนิธิพัฒนาศักยภาพชุมชน จ.เชียงใหม่ ยกตัวอย่าง สวนส้มเกษตรอินทรีย์ ที่เมืองฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ทำสวนส้มด้วยระบบผสมผสานโดยปลูกพืชผักสวนครัวเช่น ผักกาดหัว เป็นพืชคลุมดิน และใช้ฟางคลุมใต้ต้นส้ม ซึ่งการทำเกษตรผสมผสานเช่นนี้ ทำให้ได้ผลผลิตส้มที่มีคุณภาพและออกผลจำนวนมาก เช่นเดียวกับประเทศเนปาลที่มีการปลูกส้มโดยไม่ใช้สารเคมี และอีกหลายประเทศซึ่งเคยมีปัญหาจากการใช้สารเคมีได้เปลี่ยนมาทำสวนส้มด้วยวิธีชีวภาพหรือเกษตรอินทรีย์ สถาบันชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืน จึงได้เริ่มโครงการทดลองปลูกส้มแบบเกษตรอินทรีย์ในหลายแห่ง โดยเข้าไปสนับสนุนชาวบ้าน เช่น ที่ อ.ฝาง, อ.แม่อาย และ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ซึ่งในบางแห่งเริ่มให้ผลผลิตออกมาเป็นที่น่าพอใจ “เราคาดว่าไม่เกิน 2 ปีข้างหน้าจะมีตัวอย่างสวนส้มอินทรีย์ให้ดู” คุณชมชวนยืนยันในเรื่องนี้ ไม่เพียงเฉพาะส้มเท่านั้นที่ต้องเปลี่ยนกระบวนการผลิตเลิกพึ่งพิงสารเคมี แต่หมายถึงเกษตรกรรมทั้งระบบที่ควรปรับเปลี่ยนไปสู่การเกษตรแบบยั่งยืนเช่นที่คุณชมชวนมองว่า “สถานการณ์ของโลกต้องไปสู่อาหารอินทรีย์ เกษตรอิน ทรีย์ มิติเรื่องสุขภาพและความต้องการอาหารสุขภาพที่เพิ่มขึ้น เช่น การส่งไปยังสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ขณะนี้ต้องเป็นสินค้าอินทรีย์ ประกอบกับการที่รัฐบาลกำหนดให้ประเทศไทยเป็น Food Safety ก็เป็นโอกาสในการส่งเสริมระบบเกษตรยั่งยืนได้มากขึ้น” * สารในกลุ่ม 1 เอ. มีชื่อการค้าในไทย เช่น โฟริดอน มอเรนดอน ทรีท็อกซ์ อีซี่ท็อกซ์ สะตอม แขกดำ ** สารในกลุ่ม 1 บี. เช่น แลนเนท ไดนามิล เมทโอเวอร์ ฟูราดาน คูราแทร์ พอสซ์ เฟมวอส ไดคาร์โซล20 แหล่งข้อมูล : - หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
- http://www.thaingo.org/
- นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 222 เดือน สิงหาคม 2546
- คุณชมชวน บุญระหงษ์ สถาบันชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืนภายใต้มูลนิธิพัฒนาศักยภาพชุมชน จ.เชียงใหม่
Powered by AkoComment 2.0! |