เนื้อในหนัง ลีออง 1968
“อย่าทำเหมือนฉันปัญญานิ่มได้มั้ย
ถึงฉันจะไม่ได้จบนิติฯมา แต่ฉันทำคดีนี้มา 18 เดือนแล้ว ฉันรู้จักโจทก์(ผู้เสียหาย) พวกนี้มากกว่าที่คุณรู้ซะอีก”กับคำพูดอีกหลายประโยคที่มีความหมายคล้ายๆ กันนี้ของ อีริน จากภาพยนตร์เรื่อง Erin Brockovich ที่เหมือนจะบอกให้ทุกคนรู้ว่า ถึงเธอจะไม่ได้มีการศึกษาที่ดีนัก แต่จากประสบการณ์และความพยายามที่จะเรียนรู้ ก็ไม่ได้ทำให้เธอด้อยไปกว่าใครเลย จากผลงานการกำกับของ สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก ที่หยิบยกเอาเรื่องราวจากชีวิตจริงของอีริน บร็อคโควิช ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่เป็นแกนนำชาวเมืองฮิกค์ลี่ย์ เรียกร้องเงินชดเชยค่าเสียหาย จากบริษัทยักษ์ใหญ่รายหนึ่งในอเมริกา จากกรณีน้ำปนเปื้อนสารพิษที่ถูกปล่อยมาจากโรงงานผลิตแก๊สและไฟฟ้า ของบริษัท พีจี แอนด์ อี “งั้นคุณก็ไม่ได้เรียนแพทย์มา” เสียงแรกที่มาพร้อมกับภาพบนจอที่มืดสนิทคือสิ่งแรกที่ผู้ชมจะได้สัมผัสจากภาพยนตร์เรื่องนี้ มันเหมือนกับเราได้นั่งหลับตาแล้วรอคอยที่จะฟังคำตอบ ส่วนคำตอบจะดูมืดมนเหมือนกับจอภาพหรือเปล่า? เปล่าเลยภาพบนจอสว่างขึ้นอย่างฉับพลันเปลี่ยนจากจอภาพสีดำเป็นภาพใบหน้าของสาวสวยคนหนึ่งที่มาพร้อมกับคำตอบที่พรั่งพรู “ใช่ ฉันไม่ได้เรียนแพทย์มาแต่ฉันมีลูก ฉันเรียนรู้ได้เยอะจากตรงนี้ เช่น พยาบาลขูดลิ้นลูกไปเพาะเชื้อ จะต้องใช้สำลีคว้านลงไปในคอ หรือใช้ไม้คนทดสอบปริมาณเม็ดเลือดขาวในฉี่” “ฉันมนุษย์สัมพันธ์ดีนะ หัวไวด้วย เห็นอะไรในห้องแล็บครั้งเดียว ก็ทำได้ทันที” และอีกมากมายที่ดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่ไม่ค่อยจะตรงกับคำถามนักของ อีริน บร็อคโควิช หม้ายสาวลูกสามที่จบการศึกษามาเพียงแค่ชั้นมัธยม (รับบทโดย จูเลีย โรเบิร์ท) กับการสัมภาษณ์เพื่อรับพนักงานเข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งต้องการผู้สมัครที่จบแพทย์เท่านั้น เห็นไหมครับแค่ฉากแรกเธอก็แสดงให้เราเห็นแล้วว่า การศึกษาไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเธอเลย แต่สุดท้ายเธอก็ต้องเดินคอตกออกจากบริษัทแห่งนั้นไป และเมื่อเดินมาถึงรถเก่าๆ ของเธอที่จอดทิ้งไว้ข้างทาง สายตาก็สะดุดเข้ากับกระดาษแผ่นหนึ่งที่ติดอยู่ที่หน้ารถ โอ๊ย..ซวยฉิบ ประโยคสั้นๆ จากปากของเธอประโยคเดียว แต่สื่อถึงอารมณ์ตอนนั้นได้ตรงที่สุด หลังจากรู้ว่ากระดาษแผ่นนั้นเป็นใบสั่งปรับของตำรวจจราจร และมันคงไม่ใช่เป็นแค่ใบสั่ง แต่เป็นเหมือนใบเบิกทางซึ่งจะนำพาเธอไปพบกับเรื่องราวต่างๆ ที่กำลังจะประดังประเดเข้ามา เริ่มขึ้นหลังจากนั้นไม่ถึงนาที ขณะที่เธอขับรถผ่านสี่แยกด้วยอาการหัวเสีย ก็มีรถจากัวร์ คันหรูของหมอผ่าตัด ขับฝ่าไฟแดงมาชนรถของเธอเข้าอย่างจัง และจากอุบัติเหตุครั้งนี้ ทำให้อีรินได้รู้จักกับเอ็ด มาร์ชรี่ เจ้าของสำนักงานทนายความเล็กๆแห่งหนึ่งในเมืองฮิกค์ลี่ย์ (รับบทโดย อัลเบิร์ท ฟินนี่) อีรินพาร่างกายที่บอบช้ำและลำคอสวยระหงของเธอที่ถูกบดบังด้วยเฝือกหนาเตอะมาพบกับเอ็ด “ใครก็ตามที่ทำให้คุณเป็นแบบนี้ผิดมหันต์ และเราจะทำให้เขาชดใช้” คำพูดของเอ็ด ทำให้เธอเกิดความหวังและรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย ที่จะทำให้เธอได้รับเงินชดเชยอย่างเป็นธรรมในชั้นศาล แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเธอแพ้คดีพร้อมกับมีหนี้สินเพิ่มขึ้นมากมาย และเมื่อบวกกับภาระค่าใช้จ่ายที่เธอมีอยู่แล้วมันก็ดูจะหนักเกินไปสำหรับหม้ายลูกสามที่ตกงานอย่างเธอ ในช่วงเวลาที่ย่ำแย่อย่างนี้เธอมองไม่เห็นใครเลยจริงๆ คนเดียวที่เธอนึกถึงก็คือเอ็ด เพราะเธอยังผูกใจเจ็บที่เอ็ดทำให้เธอชนะคดีไม่ได้ แล้ว เอ็ดก็น่าจะต้องรับผิดชอบชีวิตที่ตกต่ำของเธอ “ฉันหัวไว สู้งานและฉันจะไม่ไปจากที่นี่จนกว่าจะได้งานทำ” “จะให้ฉันคุกเข่าไหมเอ็ด ให้ฉันลองทำงานดูก่อน ไม่ดีแล้วค่อยไล่ออกก็ได้” ครั้งนี้สำเร็จ ถึงเอ็ดจะไม่เต็มใจนักแต่เธอก็ได้งานทำ อีรินเริ่มงานของเธอใหม่ได้ไม่นาน ก็ได้รับมอบหมายจากเอ็ดให้ช่วยค้นหาเอกสารที่เกี่ยวกับการเสนอซื้อที่ดิน ระหว่างบริษัท พีจี แอนด์ อี กับชาวเมืองฮิกค์ลีย์ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งจากเอกสารเหล่านี้นี่เองที่ทำให้อีรินเกิดความสงสัยว่าทำไมเอกสารของที่ดินจึงมีใบรายงานแพทย์ปะปนอยู่ เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ เธอเดินทางไปหาครอบครัวของดอนน่า เจนเซ่น ในทันที จากความสงสัยนี้เองทำให้ชีวิตของผู้หญิงธรรมดาอย่างเธอ กลายมาเป็นผู้นำการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ เพราะจากคำบอกเล่าของดอนน่าที่ว่า เธอเก็บเอกสารสองอย่างไว้ด้วยกันก็เพราะว่า เธอและเพื่อนบ้านทุกๆ คนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงกับโรงงานของ พีจี แอนด์ อี จะต้องส่งใบรายงานสุขภาพนี้ให้กับบริษัท พีจี แอนด์ อี ซึ่งเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ สำหรับเหตุผลที่จ่ายให้ก็เพราะสารเคมีที่ทางโรงงานใช้ ซึ่งทาง พีจี แอนด์ อีบอกว่า มันเป็นสารโครเมี่ยม 3 ที่ไม่ได้เป็นอันตรายกับชีวิตและสิ่งแวดล้อมเลย แต่ที่ออกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้ก็เพื่อความสบายใจของทุกๆ คน แต่จากข้อมูลที่ได้มาจากความพยายามของ อีริน ทำให้ทุกคนได้รู้ว่า ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ทางพีจี แอนด์ อี ไม่ได้ใช้สารโครเมี่ยม 3 ซึ่งไม่มีอันตรายตามที่กล่าวอ้าง แต่กลับใช้สารโครเมี่ยม 6 ซึ่งเป็นสารพิษร้ายแรงที่ทำให้เกิดมลพิษและโรคร้ายต่างๆมากมาย เช่น โรคมะเร็ง อีรินกลับมาหาเอ็ดพร้อมกับหลักฐานทางเอกสารที่เธอมั่นใจว่าจะสามารถเอาผิดกับ พีจี แอนด์ อี ได้ และมันก็เป็นจริงอย่างที่เธอคิด เพราะแทบจะทันทีที่เอ็ดส่งหลักฐานทั้งหมดให้ พีจี แอนด์ อี ก็ได้รับการติดต่อขอเจรจา โดยทาง พีจี แอนด์ อี ยินดีจ่ายเงินเพื่อยุติเรื่องทั้งหมด แต่จำนวนเงินยังไม่เป็นที่น่าพอใจนักสำหรับเอ็ด การเจรจาจึงยังไม่เป็นที่ตกลง ขณะที่เอ็ดรอคอยการขอเจรจาครั้งใหม่ของ พีจี แอนด์ อี อยู่นั้น อีรินก็กลับไปหาครอบครัวของดอนน่า และเพื่อนบ้านของดอนน่าอีกหลายๆครอบครัว เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพของทุกๆ คนว่าน่าจะเกิดจากมลพิษที่มาจากโรงงาน จากการที่อีรินได้เข้าไปสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับครอบครัวเหล่านั้น ทำให้เธอเกิดความสงสารและเห็นอกเห็นใจ และนี่เองที่เป็นจุดเปลี่ยนของอีริน จากเดิมที่เธอทำงานนี้ก็เพียงเพื่อเงินและหน้าที่การงานที่ดีขึ้น แต่มันหาใช่แค่นั้นอีกต่อไป เธอเริ่มทำเพื่อความถูกต้อง เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนทุกคน อีรินกลับมาชักชวนเอ็ดให้เห็นด้วยกับความคิดของเธอ แต่เอ็ดไม่เห็นด้วยเพราะคิดว่ามันเป็นงานที่หนักเกินไป แต่ก็ทนกับการเกลี้ยกล่อมของอีรินไม่ไหว ในที่สุดเอ็ดก็ตกลง แน่นอนอีรินกับเอ็ดต้องทำงานหนักขึ้น เพราะจำนวนผู้เสียหายนั้นมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเกินกำลังของคนสองคนจะทำได้ เอ็ดจึงติดต่อขอความร่วมมือไปยังเคิร์ท พ็อตเตอร์ ทนายที่ช่ำชองคดี มลพิษที่สุดของรัฐนี้ และก็ไม่ผิดหวัง เคิร์ทเข้ามารับงานต่อจากเอ็ด ส่วนงานของอีรินก็ถูกโยนไปให้ เทเรซ่า ทนายสาวผู้ช่วยของเคิร์ททำแทน แต่แทนที่ทุกอย่างน่าจะดีขึ้นกลับเลวร้ายลง เคิร์ทกับเทเรซ่า ไม่สามารถเข้าถึงชาวบ้านอย่างที่อีรินทำได้ กลุ่มผู้เสียหายเริ่มแตกแยกและไม่ยอมเชื่อใจ ท้ายสุดอีริน ก็ต้องกลับเข้ามาทำงานนี้อีกครั้ง โดยในครั้งนี้อีริน จะต้องรวบรวมและทำให้ผู้เสียทั้งหมด 634 ราย กลับมาเชื่อใจ และยินยอมเซ็นใบคำร้องให้กับเธอ ไม่มีใครคิดว่าเธอจะทำได้ แต่เธอก็ทำได้ และไม่เพียงเท่านั้นเธอยังหาหลักฐานในการจงใจใช้สารพิษของบริษัท พีจี แอนด์ อี มาเพิ่มเติมได้อีก ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง พีจี แอนด์ อี หมดสิทธิที่บอกปัดความรับผิดชอบ ต้องยินยอมจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายทั้งหมด 333 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เป็นอย่างไรครับ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่จากความตั้งใจจริงของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนเองก็เชื่อเหลือเกินว่า ในบ้านเมืองของเรานี้ก็ยังมีคนอย่าง อีริน บร็อคโควิช อยู่จำนวนไม่น้อย ที่พยายามต่อสู้เพื่อจะได้มาซึ่งความถูกต้องและความเป็นธรรม ก็เลยอยากจะฝากภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้เป็นกำลังใจให้กัน
Powered by AkoComment 2.0! |