บทความล่าสุด |
---|
เขตการค้าเสรีกับอำนาจอธิปไตยของไทย |
Monday, 30 October 2006 | ||||
เขตการค้าเสรีกับอำนาจอธิปไตยของไทย 1ศราวุฒิ ประทุมราช
แต่ในยุคปัจจุบันเขตการค้าเสรีมีความหมายกว้างขวางกว่าเดิม มิใช่การเปิดเสรีในการลดหรือยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันอีกต่อไป แต่ยุคนี้จะเป็นเรื่องของการเปิดเสรีธุรกิจบริการ เช่น ธุรกิจโรงแรม การก่อสร้าง ธนาคาร การประกันภัยหรือธุรกิจการเงิน ธุรกิจค้าปลีก โรงเรียนที่บริหารโดยคนต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ รวมถึงสำนักงานที่ปรึกษาทางกฎหมาย การบัญชี สถาปนิก แพทย์ พยาบาล พ่อครัว แม่ครัว พนักงานทำความสะอาด หมอนวด - สปา คนงานก่อสร้าง คนเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ช่างซ่อมรถยนต์ ฯลฯ ธุรกรรมเหล่านี้จะสามารถเข้ามาเปิดบริการในประเทศที่เป็นคู่สัญญากัน ซึ่งในข้อสัญญาจะมีข้อตกลงว่า ให้ประเทศคู่สัญญาต้องเปิดประเทศให้คู่ค้าเข้าร่วมประมูลโครงการของรัฐได้อย่างเท่าเทียมกับบริษัทในประเทศ หรือยอมให้นักลงทุนต่างชาติมีสิทธิเท่าเทียมกับนักลงทุนของชาติตน (National Treatment) สิทธิของคนต่างชาติในการได้รับความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ร่วมกันในทางเศรษฐกิจ เช่นการป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา การร่วมมือกันป้องกันการใช้วิธีการทำธุรกิจที่เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ การสร้างเครือข่ายนักวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ในบางสาขา เป็นต้น ดังนั้นเพื่อเป็นการทำความรู้จักกับเขตการค้าเสรีและการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีหรือ FTA ในเบื้องต้น จึงขอนำความคิดเห็นจากหนังสือ ข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐอเมริกา ผลกระทบที่มีต่อประเทศไทย มาเผยแพร่ โดยเฉพาะประเด็นที่กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของไทย ในการทำข้อตกลงระหว่างประเทศนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงทางการค้าหรือข้อตกลงอื่นๆ ที่มีข้อผูกมัดระหว่างประเทศที่ร่วมลงนาม มีการดำเนินการ 2 แบบ คือ แบบพหุภาคีหรือ หลายๆ รัฐลงนาม และแบบทวิภาคี คือ เป็นการทำข้อตกลงผูกพัน 2 ประเทศเท่านั้น ซึ่งตัวอย่างที่ปรากฏในบทความนี้ เป็นผลกระทบที่มีต่อประเทศไทยจาก การทำข้อตกลงแบบทวิภาคี ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา โดยรัฐบาลทักษิณได้ทำความตกลงกับสหรัฐอเมริกา ในคราวการประชุมเอเปก ที่กรุงเทพ เมื่อเดือนตุลาคม 2546 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้โหมประชาสัมพันธ์ว่า การทำความตกลงเขตการค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกานับว่าประเทศไทยได้รับประโยชน์มาก เพราะสินค้าไทยจะได้ไปเปิดตลาดในสหรัฐฯ ผู้บริโภคจะได้ซื้อสินค้าในราคาถูก แต่กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชนซึ่งเป็นการรวมตัวกันของนักวิชาการ นักกิจกรรมจากสถาบันการศึกษา องค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญและองค์กรพัฒนาเอกชน ได้ศึกษาแล้วพบว่า ภาคเกษตร ผู้บริโภค และประชาชนคนเล็กคนน้อยในประเทศไทยจะไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร การจัดตั้งเขตการค้าเสรีจะเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมและธุรกิจขนาดใหญ่บางกลุ่ม(ที่แวดล้อมรัฐบาล)เท่านั้น นอกจากนี้อาจทำให้ประเทศไทยกลายไปเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐอเมริกา หากว่าไม่มีการเปิดให้ภาคประชาชนและรัฐสภาเข้าไปมีส่วนร่วมและตรวจสอบ ทำไมจึงกล่าวว่าข้อตกลงเขตการค้าเสรี ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเมืองขึ้นหรือเป็นอาณานิคมของสหรัฐ ปัญหานี้ตรงกับประเด็นที่ว่าด้วยอำนาจอธิปไตยของปวงชน กล่าวคือ ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 นั้นบัญญัติไว้ใน มาตรา 3 ว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้" ประเด็นแรก คือ อำนาจอธิปไตยนั้น เป็นของประชาชน คือประชาชนต้องมีส่วนร่วมกับรัฐในการใช้อำนาจนี้ แปลว่า รัฐจะไปทำสัญญาอะไรกับใครที่ผูกพันประเทศ ประชาชนต้องรับรู้และมีส่วนร่วม หลักการนี้เราเคยเสียเปรียบมาแล้วในการทำสัญญาบาวริ่ง ที่มีข้อตกลงว่า ให้คนในบังคับต่างชาติ หากทำผิดกฎหมายสยาม ให้นำตัวไปขึ้นศาลของประเทศนั้น หมายความว่า กฎหมายของไทยไม่สามารถเอาผิดแก่คนต่างชาติ(ชาติที่ลงนามในสัญญาบาวริ่ง) ที่ทำผิดกฎหมายไทย หรือสยาม ในสมัยนั้นได้ เราไม่สามารถใช้กฎหมายภายในของเราแก่คนทุกคนที่กระทำความผิด อันเป็นการขัดแย้งต่อหลักการที่ว่า บุคคลทุกคนเสมอกันในกฎหมายและย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน และยังขัดแย้งต่อ "อธิปไตย"ของชาติด้วย การที่ประเทศไทยหรือประเทศไหนในโลก ไม่สามารถใช้กฎหมายภายในประเทศแก่คนบางกลุ่ม โดยเฉพาะต่างชาติแล้ว ถือว่าประเทศนั้นไม่มีอธิปไตย (ยกเว้นกฎหมายภายในขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน) เขตการค้าเสรีที่เราทำกับต่างประเทศก็เช่นกัน จะมีข้อกำหนดที่ทำให้เราไม่สามารถใช้กฎหมายภายในบังคับแก่ชาติคู่สัญญา เช่น สหรัฐอเมริกามีข้อสัญญากับประเทศคู่ค้าในเขตการค้าเสรีว่า
1. ต้องให้สิทธิแก่นักลงทุนอเมริกันเข้ามาลงทุนในประเทศคู่สัญญากับอเมริกา ได้โดยไม่จำกัดสัดส่วนหุ้น อันหมายถึง ถ้าบรรษัทข้ามชาติอเมริกา เข้ามาตั้งบริษัทในประเทศไทย บริษัทนั้นสามารถมีคนอเมริกันถือหุ้น 100 % ได้ ประเด็นที่สองที่ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน นั้น ประชาชนมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจนั้น หรือมีสิทธิมีส่วนในการได้รับข้อมูลข่าวสารจากรัฐหรือไม่ หมายความว่า เวลาที่รัฐไปจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับใครนั้น ข้อตกลงนั้นมีสาระสำคัญอย่างไร สาระสำคัญนั้นต้องผ่านความเห็นชอบจากประชาชนด้วย ในทางปฏิบัติแต่ไหนแต่ไรมา รัฐบาลไม่เคยถามประชาชนว่าต้องการอะไร และรัฐก็ไม่เคยบอกว่า รัฐได้ไปทำอะไรไว้กับใครมา แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กำหนดไว้ในมาตรา 224 ว่า " พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ… สัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามสัญญาต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา" จะเห็นว่ากรณีที่รัฐบาลได้ไปทำสัญญากับสหรัฐอเมริกานั้น รัฐบาลไม่ได้แจ้งหรือขอความเห็นชอบจากรัฐสภา กลายเป็นว่าพระมหากษัตริย์ ไม่ได้ใช้อำนาจบริหารผ่านทางรัฐบาลและรัฐสภาซึ่งเป็นผู้แทนประชาชน ไม่มีโอกาสรู้ว่ารัฐไปทำอะไรบ้าง วิธีการที่รัฐบาลนี้ได้ใช้หลบหลีกการต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภามี 3 วิธี กล่าวคือ
1. การนำข้อกำหนดระหว่างประเทศที่ต้องตกลงกับคู่สัญญา มาบัญญัติไว้ในกฎหมายภายในเสียก่อน ก่อนที่ประเทศไทยจะเข้าไปผูกพัน โดยนัยนี้รัฐบาลก็สามารถอ้างว่า ไม่จำเป็นที่รัฐบาลต้องรับฟังเสียงจากประชาชน ประชาชนก็ไม่มีโอกาสได้รับทราบว่ารัฐบาลได้ตกลงเงื่อนไขอะไรบ้างตามข้อตกลงเขตการค้าเสรี หรือข้อตกลงทางการค้าที่ทำกับต่างประเทศ กล่าวโดยเฉพาะการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกานั้น ประเทศไทยจะต้องเสียอธิปไตย โดยที่ไม่สามารถดำเนินการให้ภาคธุรกรรมและภาคประชาชนไทยโดยรวม ได้รับประโยชน์ในกิจการดังต่อไปนี้
1. การค้าและบริการ (ธุรกิจโรงแรม การท่องเที่ยว สายการบิน ฯลฯ)
หวังว่าข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย
1 เรียบเรียงจากบทความเรื่องอำนาจอธิปไตย โดย อ. เจริญ คัมภีรภาพ จากหนังสือ"ข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐอเมริกา" สรชัย จำเนียรดำรงการ บรรณาธิการ จัดพิมพ์โดยกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรี( FTA Watch )
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|