บทความล่าสุด |
---|
บุคคลไร้สัญชาติ : ชายขอบบนโลกา |
Wednesday, 06 September 2006 | ||||
เรียน คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ (ยส.) ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า วันนี้ที่ข้าพเจ้าได้นำเรื่องราวทั้งหมดนี้มาบอกเล่าให้ ยส. ฟังนี้มันผิดหรือว่าถูก สมควรหรือไม่สมควรแต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกก็คือข้าพเจ้าได้รับพระหรรษทานจากพระจิตเจ้าเพื่อดลบันดาลให้มาพบกับองค์กร ยส. นี้ ข้าพเจ้าไม่ได้หวังว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าจะได้อะไรเป็นการตอบแทนกลับมา หรือจะได้รับโทษอะไรเป็นการลงทัณฑ์ แต่อย่างน้อยๆ ข้าพเจ้าอยากให้สังคมเข้าใจถึงความทุกข์นับพันนับหมื่นคนที่รอคอยความหวังของ ( เรา ) โปรดอย่านำเรื่องราวเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าได้เล่ามา โยนลงถังขยะเหมือนเช่นหน่วยงานผู้รับผิดชอบโดยตรง เพราะเขาคิดว่าเป็นการนำปัญหาไปสู่เขา เป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนและไม่อยากหาเรื่องใส่ตนเอง เพราะตนไม่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากผู้เรียกร้องเป็นรางวัลกำนัลอะไร ซึ่งจะพอชดเชยต่อค่าเหนื่อยที่ลงทุนทำเพื่อคนอื่นๆ นั่นก็เป็นเหตุผลหลักที่สำคัญที่สุด ที่ขาดคนดีจริงๆในสังคมการเมืองการปกครอง และผลพวงทำให้พวกกากเดนสังคมโลกที่ไม่มีใครต้องการอย่างพวกผม (บุคคลไร้สัญชาติ) ต้องดิ้นรนอยู่ในท่ามกลางการถูกคุกคามเรื่องสิทธิมนุษยชน จากคนบางกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อประเทศชาติที่แฝงอยู่ในหน่วยงานรัฐ และเจ้าหน้าที่ที่สังคมยำเกรงและถูกยกย่องว่าเป็น (ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์) ที่คอยขูดรีด ข่มขู่ ดั่งเช่นโจรในคราบเจ้าหน้าที่อย่างซึ่งๆ หน้าเพราะต่างมองว่าเราเป็น (ผู้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย) ความยากจนนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์โลก แต่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้นผมถือว่าเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความมั่นคงที่ยั่งยืนตลอดชีวิต ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่ฐานะความมั่งมีในชีวิต ความสุขของคนกลุ่มหนึ่ง หากถามว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิต ผมในฐานะเป็นผู้ที่ถูกกระทำ ผู้ที่ดำเนินชีวิตในสภาพแวดล้อมในสังคม (บุคคลไร้สัญชาติ) สามารถจะบอกแทนพวกเขาได้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือ ความเป็นอยู่ที่สงบ ความเป็นอยู่ที่ไม่ต้องถูกกักพื้นที่ที่จำกัด ความเป็นอยู่ที่ไม่ต้องเป็นผู้ถูกคุกคามด้านสิทธิมนุษยชน ความเป็นอยู่อย่างเศรษฐกิจที่พอเพียงตามรอยฝ่าพระบาท ในหลวงของเรา การทำงานที่ไม่ต้องถูกจำกัด แค่งานกรรมกร ถูกจำกัดพื้นที่การทำงาน พื้นที่การเป็นอยู่ กับเอกสารการขออนุญาตทำงานและออกนอกเขตพื้นที่ที่หน่วยงานเจ้าหน้าที่กำหนดไว้สำหรับ (บุคคลไร้สัญชาติ ) เป็นกองๆ และค่าใช้จ่ายที่คน – กรรมกรจนๆ ต้องแบกภาระอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่ทำตามกฎเกณฑ์เขาเหล่านั้นก็ไม่ต้องทำมาหากิน เมื่อไม่มีที่ทำกิน หลายคนต้องเสียอนาคตเพราะต้องไปค้ายาเสพติด หรือทำงานสุจริตอย่างหลบๆซ่อนๆ กลัวเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมารีดไถเงินทองที่เก็บเลี้ยงชีพแทบเป็นแทบตาย เลี้ยงบิดามารดา แต่กลับต้องมาเสียให้กับเจ้าหน้าที่ไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงสิทธิในการเรียกร้อง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิทธิอื่นๆ เช่น การจำกัดสิทธิทางการศึกษา สิทธิรักษาพยาบาล สิทธิอื่นมากมายนั้นกลายเป็นปมด้อยที่ใหญ่ที่สุดของชีวิตพวกผม ( บุคคลไร้สัญชาติ ) ทั้งๆ ที่เราก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่เกิดในผืนแผ่นดินไทย ร้องเพลงชาติไทย แต่ในเมื่อเราขาดสิ่งที่จำเป็นที่สุดที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เพราะบรรพบุรุษเป็นคนต่างด้าว เราจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างไร เราจะมีความเป็นอยู่ที่ไม่ต้องถูกกักพื้นที่ที่จำกัดไว้ได้อย่างไร เราจะมีความเป็นอยู่ที่ไม่ต้องถูกคุกคามได้อย่างไร และที่สำคัญเราจะมีความเป็นอยู่อย่างเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยฝ่าพระบาทในหลวงของเราได้อย่างไร นั่นเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดที่ไม่มีใครอยากยื่นมือเข้ามาเพื่อแก้ไข ผมได้เห็นหน่วยงานหนึ่งซึ่งผมรู้สึกอบอุ่นใจมากในขณะที่ผมและเพื่อน ( บุคคลไร้สัญชาติ ) ตลอดเวลาที่คิดว่าเราจะเป็นผู้ถูกทอดทิ้งจากสังคมโลก ที่ไม่มีใครอยากมาเหลียวแล ที่ไม่มีใครจะมาเห็นใจและใส่ใจ แต่เมื่อผมเห็น ( มูลนิธิกระจกเงา ) ที่ทุ่มเททั้งกำลังใจและกำลังกายที่คอยผลักดันให้หน่วยงานรัฐเร่งรีบแก้ไขปัญหาบุคคลไร้สัญชาติ ( ตามพระราชบัญญัติบุคคลไร้สัญชาติ 7 ทวิ ) ที่ให้สัญชาติแก่ลูกหลานบุคคลไร้สัญชาติ ที่เกิดในเมืองไทย เรียนหนังสือไทย และมีเอกสารรับรองการเกิดในเมืองไทย นั่นถือเป็นข่าวดีที่สุดสำหรับบุคคลไร้สัญชาติ เพราะเหมือนจะได้ไปเกิดใหม่สักที ที่ไม่ต้องถูกกักไว้ในพื้นที่เหมือนนักโทษ และมีโอกาสได้ใช้ชีวิตและสิทธิอื่นๆ อย่างเต็มที่ มีโอกาสได้ใช้วิชาความรู้ ที่ตนศึกษาเล่าเรียนมาอย่างเช่นคนอื่นๆ เขาบ้าง มลทินไม้กางเขนที่บรรพบุรุษได้แบกไว้ เหมือนบัดนี้จะได้มีโอกาสวางลงกับพื้นในโลกมนุษย์สักที เวลาที่ผมรอมาเกือบ 28 ปี และคนอื่นๆ ที่รอมาตามอายุตนเอง วันนี้ได้มีโอกาสออกไปมองโลกกว้างสักที ไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ต้องหวาดระแวงเจ้าหน้าที่รัฐที่คอยขูดรีดไถ ได้ใช้ชีวิตปกติอย่างคนอื่นๆ เขาสักที นั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่คนรุ่นหลัง (บุคคลไร้สัญชาติ ) ได้วางแผนชีวิตอนาคตไว้อย่างสวยงาม และเต็มที่กับการร่วมมือกับหน่วยงานรัฐเพื่อให้งานง่ายขึ้น แต่แล้ว ความฝันก็แค่ความฝัน ความฝันที่จะกลายเป็นจริงนั้น มันริบหรี่ จวนจะดับ รอแล้วรอเล่า คอยแล้วคอยเล่า แต่ทุกครั้งที่ได้ติดตามก็มีแต่เสียงตอบรับที่เหมือนตามไปทวงหนี้เขากระนั้น เมื่อไหร่หนอ เมื่อไหร่เราจะพ้นความกระหายที่อยากจะพ้นจากความทุกข์นี้เสียที โปรดอย่าเมินเฉยต่อความทุกข์ยากที่ข้าพเจ้าอยากเล่าให้ท่านฟัง เท่านั้นเอง โปรดหยิบอ่านข้อความเหล่านี้เพื่อที่ข้าพเจ้าจะมีกำลังใจสู้ต่อไป เพื่อรอ เพราะข้าพเจ้าเล่ามาด้วยความรู้สึกลึกๆ ที่ไม่มีแล้วที่จะมีผู้ใดมารับฟังและไม่รู้ว่าจะไประบายให้ใครฟัง ข้าพเจ้าสวดภาวนาต่อพระแม่ทุกวัน ว่าวันหนึ่งวันนั้นจะมีผู้มาไถ่ชีวิตของพวกเรา (บุคคลไร้สัญชาติ ) ในโลกมนุษย์นี้สักที แม้ทาง ยส. จะช่วยอะไรข้าพเจ้าไม่ได้เลยก็ตามแต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกดีใจ และพอใจอย่างยิ่ง อย่างน้อยให้สังคมเข้าใจถึงความทุกข์ยากที่ข้าพเจ้า( และพี่น้อง ) ได้เผชิญอยู่ตลอดเวลา และขออนุโมทนา การสวดภาวนาขอพระแม่นี้ให้แด่ผู้ที่รอความหวังในไฟชำระเหมือนกับข้าพเจ้าและอาศัยพระบารมีของพระเยซูคริสตเจ้า จงปกป้องคุ้มครอง และจะเป็นกำลังใจให้กับ ทาง ยส.ด้วย
ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
Powered by AkoComment 2.0! |
ถัดไป > |
---|