บทความล่าสุด |
---|
The Da Vinci Code โดย บาทหลวงวิสูตร ปัญญาวชิราสูตร |
Thursday, 17 August 2006 | ||||
The Da Vinci Codeเรื่องจริง?... นิยาย?... ศรัทธา?... “แล้วพวกท่านเล่า... ว่าเราเป็นใคร?”
ในบทความสั้นๆ เรื่องนี้ ผู้เขียนไม่มีความตั้งใจที่จะตอบประเด็นต่างๆ จากนิยายเรื่องนั้นเลย แต่ปรารถนาให้มีการถามต่อและค้นพบคำตอบบางอย่างในจิตใจส่วนลึกของผู้อ่านเอง คำตอบที่เกิดขึ้นในใจของชาวคริสต์แต่ละคน น่าจะเป็นรากฐานแห่งศรัทธาที่มีความหมายในการดำเนินชีวิต คำตอบที่เกิดขึ้นในใจของเพื่อนศาสนาอื่นๆ นั้นอาจจะเป็นอีกหนึ่งก้าวในการผสานจิตใจมนุษย์ให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น และบางทีคำตอบของแต่ละคนนั้นก็อาจจะค่อยๆ นำทางเราทั้งหมดไปสู่ขุมทรัพย์ปริศนาลึกลับที่ถูกปกปิดซุกซ่อนเอาไว้อยู่ก็เป็นได้ คริสตศาสนานั้นมิใช่นิยาย ถึงแม้จะมีนิยายหลายต่อหลายเรื่องที่เกี่ยวโยงถึงคริสตศาสนา และเรารู้จักพระเยซูมิใช่โดยทางนิยาย แต่พระเยซูในฐานะพระศาสดาของคริสตศาสนาเป็นที่รู้จัก รัก และติดตามของชาวคริสต์ทั่วไป โดยผ่านทางพระคัมภีร์และประเพณีความเชื่อความศรัทธาที่สืบทอดกันมาในศาสนจักร เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในวงวิชาการทางศาสนา (แม้ว่าชาวคริสต์เองบางคนอาจจะไม่มีความรู้ความเข้าใจ หรือไม่เคยถูกสถานการณ์ต่างๆ ทำให้ต้องหันมาสนใจ) ว่า พระอาจารย์ที่เรารู้จัก รัก และติดตามนี้ คือพระคริสตเจ้าแห่งความเชื่อความศรัทธาอันมีรากฐานจากชีวิตจริงของพระเยซูแห่งนาซาเร็ธตามประวัติศาสตร์ นั่นคือ มีพระเยซูแห่งนาซาเร็ธที่เราพอรู้ข้อมูลบางประการในทางประวัติศาสตร์ เช่น บุคคลท่านนี้มีตัวตนจริง, เกิดและเติบโตในวัฒนธรรมยูดาห์ในยุคตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิโรมัน, เป็นคุณครูชายโสดจากชนบทที่เดินทางสอนประชาชน, ชอบสอนด้วยการเล่าเรื่องเรียบง่าย, มีลูกศิษย์ทั้งชายและหญิงติดตามกลุ่มหนึ่ง, ถูกตัดสินโทษประหารด้วยการตรึงกางเขน, เสียชีวิตขณะมีอายุเพียงประมาณ ๓๓ ปี จากการถูกโทษประหารนั้น เป็นต้น เป็นรากฐานปฐมภูมิของความเชื่อ ส่วนพระคริสตเจ้าแห่งความเชื่อความศรัทธานั้น ยังคงพระชนม์อยู่ในปัจจุบันและตลอดไป คำถามที่เคยถามสาวกรุ่นแรกว่าพวกเขาเข้าใจว่าพระองค์เป็นใครนั้นจึงยังคงต้องการคำตอบจากลูกศิษย์ของพระองค์อยู่เสมอ การตอบคำถามนี้มีลักษณะทั้งเรียบง่ายและลึกซึ้ง บางครั้งเหมือนจะไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้เพียงพอ แต่บางครั้งหากจะมีคำพูดที่ใช้ก็เป็นคำที่สามัญธรรมดา คำตอบดูเหมือนตอบได้ทุกสิ่งแล้วแต่ในขณะเดียวกันก็มีปลายเปิดที่สามารถตอบต่อไปได้อีกไม่มีที่สิ้นสุด หากจะเปรียบเป็นภาพลักษณ์ คงคล้ายกับชาวคริสต์สักคนต่อหน้าไม้กางเขน หรือชาวพุทธเบื้องหน้าองค์พระพุทธรูป (ในที่นี้ บทบาทอันลุ่มลึกของประเพณีความเชื่อความศรัทธานั้นปรากฏอยู่อย่างทรงพลังยิ่ง ซึ่งเราคงไม่สามารถกล่าวถึงได้ในเนื้อที่ของบทความสั้นๆ เรื่องนี้) เกิดอะไรขึ้นในจิตใจ ณ ขณะนั้น ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ มีการมอบชีวิตวางไว้ที่นั่น มีความสัมพันธ์กับองค์พระธรรมอันสูงเกินกว่าจะเอื้อมถึงแต่ขณะเดียวกันก็ปรากฏสถิตย์อยู่จริงภายในจิตใจนั้นเอง ดวงตาก็เปิดออกมองเห็นความหมายแห่งชีวิตแม้กระทั่งในขณะที่ชีวิตเองนั้นดูเหมือนจะไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลยก็ตามที บรรดาสาวกของพระเยซูได้เคยร่วมชีวิตกับอาจารย์ ได้เห็นรอยยิ้ม รับรู้ความท้อใจ ฟังและซึมซับรับคำสั่งสอนและทัศนคติต่างๆ สัมผัสถึงแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่ เสียขวัญ เคว้งคว้างกับการตายอย่างอนาถาของท่าน ฯลฯ แต่แล้วก็ยังมีผู้หญิงคนหนึ่ง มารีย์ มักดาลา ที่ไม่ได้หนีไปไหน จนกระทั่งได้พบกับพระเยซูผู้กลับคืนพระชนม์ และกลายเป็นสาวกหญิงคนแรกที่ประกาศรหัสธรรมแห่งความเชื่อเรื่องนี้ ภายหลังสาวกคนอื่นๆ ทั้งชายและหญิงก็ได้พบพระองค์ผู้ยังทรงพระชนม์อยู่เช่นกัน แล้วดวงตาของพวกเขาก็เปิดออก มองเห็นประวัติศาสตร์และศรัทธาหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันให้ความหมายใหม่แก่ชีวิตที่เปี่ยมความหวังและปิติ เป็นพระเยซูพระองค์นี้เองที่บรรดาสาวกได้ประกาศ ผู้ซึ่งชาวคริสต์ได้รู้จัก รัก และติดตาม จนถึงปัจจุบันนี้ มารีย์ มักดาลา เป็นทั้งเพื่อนและศิษย์หญิงคนสำคัญคนหนึ่งของพระเยซู มีการกล่าวถึงเธอในพระวรสารอยู่น้อยมากแต่ชัดเจนมากทุกครั้ง และถึงแม้จะน้อยมากแต่สิ่งที่พูดถึงเธอนั้นมีความสำคัญไม่น้อยทีเดียว กล่าวโดยสังเขปได้ว่า เธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีตัวตนชัดเจนในพระวรสาร ในประเพณีความเชื่อความศรัทธาของคริสตศาสนา ทุกครั้งที่กล่าวถึงเธอจะระบุ “มารีย์ มักดาลา” อย่างชัดเจน และดังนั้นเธอจึงเป็นคนหนึ่งที่สามารถเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนได้จริงจากพระวรสารโดยตรงในการเป็นศิษย์ติดตามพระเยซูเจ้า ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม และดังนั้นการบิดเบือนอะไรเกี่ยวกับตัวเธอจึงเป็นเรื่องที่ต้องพึงสังวรณ์ เธอเป็นลูกศิษย์ติดตามพระเยซูตั้งแต่ทรงเริ่มต้นภารกิจ (ซึ่งเท่ากับสามารถยืนยันในทางบวกโดยตรงได้ว่า หญิงมีสิทธิอันเท่าเทียมกันกับชายในการเป็นศิษย์ของพระเยซู มีสิทธิบรรลุธรรมได้เท่าเทียมกัน ไม่มีการเลือกปฏิบัติโดยอิงเพศ) เธอซื่อสัตย์อยู่กับพระอาจารย์จนถึงที่สุด แม้ในยามที่ท่านอาจารย์ต้องโทษ ถูกเยาะเย้ยทรมานต่างๆ นานา ตอนที่พระเยซูตายอย่างเดียวดายบนไม้กางเขน... เธอก็อยู่ด้วยที่นั่น จนกระทั่งมีการนำศพไปฝัง... เธอก็ยังอยู่ที่นั่น กล่าวได้ว่าเธอเป็นพยานบุคคล (อาจจะเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาลูกศิษย์ของพระเยซู?) เพียงคนเดียวในเหตุการณ์สำคัญนี้ ซึ่งน่าคิดอยู่ไม่น้อยว่าทำไม? เธอเป็นคนแรก (กับผู้หญิงคนอื่นๆ ด้วยไหม?) ที่ไปเคารพศพเมื่อถึงโอกาสแรกที่จะสามารถทำได้ (ทำไม? แล้วคนอื่นๆ อยู่ไหน? จะบอกเพียงแค่นี่เป็นเรื่องของผู้หญิงเท่านั้นนั่นคงจะตื้นเกินไป หรือคงจะไม่ใช่ประเด็นเสียกระมัง?) เธอเป็นคนแรกที่ได้พบกับพระเยซูผู้ทรงกลับคืนชีพ และท่านอาจารย์ได้สั่งและส่งให้เธอไปบอกคนอื่นๆ ด้วย (จะสามารถเรียกเธอว่าเป็น “อัครสาวก” (ตามความหมายในเชิงนิรุกติศาสตร์จากรากศัพท์กรีกของพระวรสาร) ด้วยได้ไหม?) เธอเป็นพยานบุคคล (อาจจะเพียงหนึ่งเดียวจริงๆ?) ในหัวใจสำคัญของรหัสธรรมแห่งคริสตศาสนาเรื่องการตายและการกลับคืนชีพของพระเยซู (รหัสธรรมปัสกา) และน่าคิดด้วยว่า เธอคงมีบทบาทไม่น้อยในช่วงที่บรรดาศิษย์กำลังเริ่มค่อยๆ พบกับพระเยซูผู้ทรงกลับคืนชีพนั้น อันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของคริสตศาสนาเลยทีเดียว [มีความเข้าใจผิดกันเรื่อยมา แม้จนถึงปัจจุบันก็ยังพอพบได้อยู่ ว่าเธอเคยเป็นโสเภณีมาก่อนแล้วพระเยซูทรงอภัยบาปให้เธอ ทั้งๆ ที่เธอมีเอกลักษณ์ตัวตนที่ชัดเจนในพระวรสารซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจบิดเบือนไปในทางนี้ได้เลย พระวรสารเพียงพูดถึงพระเยซูเคยไล่ปีศาจ ๗ ตน ออกจากเธอ ซึ่งเราอาจจะพูดด้วยสำนวนปัจจุบันได้ไหมว่า เธอเป็นหญิงแกร่งเกินยุคคนหนึ่ง เป็นหญิงที่อาจจะมีปัญหามากๆ กับสังคมรอบด้าน และสังคมก็มีปัญหาเล่นงานกับเธอด้วย จนเธอได้พบพระเยซูผู้เปิดโลกใหม่แก่เธอ ที่ซึ่งชายและหญิงเป็นลูกรักของพระเจ้าเท่าเทียมกัน เป็นสองภาพแห่งพระฉายาลักษณ์หนึ่งเดียวของพระเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์งดงามเสมอกัน ขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียมิได้ และเธอก็ได้พบว่าเธอสามารถที่จะกลับเป็นตัวเองได้อย่างแท้จริง และได้กลายเป็นศิษย์ที่ซื่อสัตย์ที่สุดท่านหนึ่งในบรรดาลูกศิษย์ทั้งชายและหญิงของพระเยซู] และตามธรรมดาของคน บางครั้งเราสนใจเรื่องประเภทเหรียญในปากปลาเหรียญนั้นได้อย่างน่าประหลาดใจ แต่ในพระวรสารเหรียญนั้นปรากฏมาแว่บเดียวแล้วก็หายไป ฉันใดก็ฉันนั้น จะมีบทเรียนอะไรบ้างไหมคงต้องลองกลับไปหาดูด้วยตนเอง และในบางครั้งที่เราก็จะได้ยินเรื่องแปลกๆ ซึ่งบางทีเราก็ไม่เชื่อหรอกแต่ก็ยังเอียงๆ ไปบ้าง คงไม่เสียหายกระมังถ้าจะลองค้นหาความจริงดูด้วยตนเอง เรามั่นใจได้เสมอว่า ความจริงจะยิ่งทำให้ศรัทธาของเรานั้นลึกซึ้งและมีความหมายมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ครั้งเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ผู้คนพูดถึงพระเยซูแห่งนาซาเร็ธไปในทางต่างๆ บ้างว่าเป็นประกาศกผู้สั่งสอนด้วยฤทธิ์อำนาจ บ้างก็ว่าเป็นคนลวงโลก บ้างยกย่องว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็นินทาว่าเป็นพวกนักกินนักดื่ม และอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง วันนี้ก็คงเป็นเฉกเช่นในครั้งนั้น ไม่ว่าเราจะอ่านหรือชม รหัสลับ ดาวินชี่ หรือไม่ก็ตามที ขอเพียงเราเป็นคนคนหนึ่งของยุคนี้ พระองค์ก็ยังคงถามเราแต่ละคนอีกว่า “แล้วพวกท่านเล่า... ว่าเราเป็นใคร?” (จาก วารสารผู้ไถ่ ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๗๑ พ.ค. - ส.ค. ๒๕๔๙ หน้า ๒๖ - ๒๘)
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|