เนื้อในหนัง Leon ๑๙๖๘
คานธี “ ...ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเรา เราก็จะไม่ทำอะไรเขา เราจะไม่ทำร้ายและไม่ฆ่าใครแม้แต่คนเดียว เขาอาจจะขังเรา ปรับเรา ยึดของๆ เราได้ แต่เขาจะเอาเกียรติของเราไปไม่ได้ ถ้าเราไม่ยอม ผมอยากให้ทุกคนสู้ สู้กับความโกรธของพวกเขา ไม่ใช่การกระตุ้น เราจะไม่โต้ตอบ แต่จะรับมันไว้ ความเจ็บปวดของเราจะทำให้พวกเขาได้เห็น.... ความอยุติธรรมในตัวเขาเอง”
นี่คือวิธีการต่อสู้ของชายคนหนึ่งซึ่งยึดหลัก ‘อหิงสา’ ที่นำพาประเทศของเขาหลุดพ้นจากการถูกกดขี่และถูกยึดครองจากประเทศอังกฤษ สู่เอกราชที่คนอินเดียทั้งชาติต้องภาคภูมิใจ ไม่มากเกินไปเลยสำหรับ 9 รางวัลออสการ์ ที่ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ จากฝีมือการกำกับของ Richard Attenborough ที่ถ่ายทอดเรื่องราวจากชีวิตจริงของปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เป็นแค่เพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งบนโลก แต่กลับสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างที่โลกต้องจดจำ “มหาตมา คานธี” เปิดฉากภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยภาพเหตุการณ์การลอบสังหาร ที่พรากชีวิตของมหาตมา คานธีไปจากโลก ยังมาซึ่งความรู้สึกสูญเสียของคนอินเดียทั้งชาติ ความโศกเศร้าเข้าครอบคลุมกรุงเดลีที่คลาคล่ำไปด้วยฝูงชนนับล้านจากทุกสารทิศทั่วโลกที่หลั่งไหลกันมาร่วมไว้อาลัยในโอกาสสุดท้าย ที่จะได้อยู่ใกล้ๆ มหาบุรุษคนหนึ่งของโลก ก่อนที่จะเป็นมหาบุรุษ มหาตมาคานธีก็ใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนคนอินเดียชั้นกลางทั่วไป โมฮันดาส เค.คานธี (รับบทโดย Ben Kingsley) เกิดที่เมืองปอร์บันดาร์ และจบการศึกษาทางด้านกฎหมายที่ประเทศอังกฤษ จึงทำให้คานธีพยายามจะใช้ชีวิตแบบคนอังกฤษไปด้วย จากความคิดที่ว่าอินเดียอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษจึงทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของอังกฤษเช่นกัน แต่ความคิดเหล่านี้ก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อคานธีตัดสินใจมาทำงานที่แอฟริกาใต้ซึ่งก็อยู่ภายใต้การยึดครองของอังกฤษ ดินแดนที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ ความอยุติธรรมของตัวบทกฎหมายที่แบ่งแยกชนชั้นและศาสนาอย่างริดรอนเสรี คานธีเริ่มใช้ชีวิตนักต่อสู้ที่นี่หลังจากที่เขาถูกโยนออกจากรถไฟเพราะมานั่งที่ตู้โดยสารชั้นหนึ่งซึ่งตามกฎหมายของที่นี่คนผิวสีรวมถึงคนอินเดียอย่างเขาจะต้องนั่งที่ตู้โดยสารชั้นสามเท่านั้น ตั๋วชั้นหนึ่งกับอาชีพทนายความภายใต้ชุดสากลสุดหรูเฉกเช่นสุภาพชนชาวอังกฤษที่คานธีสวมใส่ ไม่ได้ช่วยให้เขาหลุดพ้นไปจากความเป็นคนผิวสีเลย จากความรู้สึกอับอายกลายเป็นแรงผลักดันให้คานธีคิดต่อสู้ เพื่อแก้ไขในสิ่งที่แตกต่าง และสิ่งแรกที่ใกล้ตัวก็คือใบผ่านหรือใบอนุญาตเข้าเมืองที่คนผิวสีทุกคนจะต้องพกพาติดตัวไว้ ในขณะที่คนผิวขาวไม่ต้องมีใบผ่านนี้เลย คานธีจึงได้ชักชวนชาวผิวสีทุกคนให้มาร่วมกันเผาใบผ่าน แต่ก็ถูกขัดขวางจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาทำร้ายเขา แต่คานธีก็แสดงให้ทุกคนเห็นว่าความเจ็บปวดเหล่านั้นไม่สามารถหยุดเขาได้เลย คานธียังคงยืนหยัดที่จะเผาใบผ่านจึงถูกทุบตีจนสลบไป สร้างความเห็นใจและความศรัทธาให้กับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ส่งผลให้คานธีกลายเป็นที่สนใจของคนทั้งแอฟริกา และในขณะที่หนังสือพิมพ์เริ่มจับตามองคานธีอยู่นั้นรัฐบาลอังกฤษก็ได้ออกกฎหมายใหม่ที่กดขี่คนอินเดียมากขึ้นจนเกินที่จะรับได้ คานธีจึงชักชวนชาวอินเดียทุกคนให้ร่วมกันต่อสู้กับเขาโดยยึดหลักอหิงสาซึ่งเป็นการต่อสู้อย่างสันติวิธี ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าเราใช้ความรุนแรง พวกอังกฤษก็จะได้เป็นผู้ปราบปราม แต่ถ้าเราไม่ตอบโต้และยอมรับไว้ ความเจ็บปวดของเราจะทำให้พวกเขาได้เห็น ความอยุติธรรมในตัวเขาเอง และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อผู้มาร่วมประท้วงเดินขบวนต่อต้านทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้แรงงานยอมให้จับกุมโดยไม่มีการขัดขืนได้กลายเป็นข่าวที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับรัฐบาลอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนักโทษที่แน่นเรือนจำ เรื่องความเดือดร้อนของโรงงานที่ไม่เหลือใครมาทำงาน อีกทั้งเรื่องกฏหมายอยุติธรรมที่แบ่งแยกแตกต่าง จนอังกฤษต้องยอมปล่อยตัวผู้ประท้วงและยกเลิกกฎหมายนั้นตามข้อเรียกร้องของคานธี หลังจากคานธีได้รับชัยชนะที่อังกฤษหยิบยื่นให้ในแอฟริกาใต้ เขาตัดสินใจเดินทางกลับอินเดียซึ่งก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวอินเดียและจากพรรคชาตินิยมอินเดียที่เชิญชวนเขาให้มาร่วมกันต่อสู้ แต่คานธีไม่ได้กลับมาในสภาพของทนายความนักต่อสู้ เขากลับมาในสภาพของคนอินเดียธรรมดาคนหนึ่งที่นุ่งห่มเสื้อผ้าและใช้ชีวิตแบบชนชั้นแรงงานซึ่งเป็นชนชั้นส่วนใหญ่ของอินเดีย เพื่อที่จะได้รู้ถึงปัญหาและศึกษาความเป็นอยู่ที่แท้จริงของชาวอินเดีย “หากเราไม่ได้ยืนอยู่กลางทุ่งกับคนอินเดียนับล้านที่ทำงานหนักภายใต้แสงแดดที่ร้อนระอุ เราก็ไม่ใช่ตัวแทนของคนอินเดีย และไม่มีทางต่อรองกับอังกฤษในฐานะประเทศหนึ่งได้ ผมพยายามอยู่อย่างคนอินเดีย แน่นอนมันเป็นเรื่องที่โง่ เพราะในประเทศของเราคนอังกฤษเป็นคนตัดสินความเป็นอยู่ของคนอินเดีย สิ่งที่เขาจะซื้อ สิ่งที่เขาจะขาย ความสุขสบายของพวกเขาอยู่ท่ามกลางความยากไร้แสนเข็ญของพวกเรา” คานธีไม่ได้เป็นนักต่อสู้ที่กระหายในการต่อสู้ เขาเป็นนักต่อสู้ที่กว้างไกลด้วยวิสัยทัศน์ การต่อสู้ของเขาเป็นไปตามลำดับขั้นตอน คานธีใช้เวลาช่วงนี้อยู่นานทีเดียว จนในที่สุด ที่แคว้นชัมปาราน ทำให้เขาเข้าใจปัญหาของคนยากจนซึ่งล้วนแต่เป็นเกษตรกร และมีรายได้หลักมาจากการเพาะปลูกพืชที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผ้า แต่ชาวอินเดียส่วนใหญ่กลับนิยมในความเป็นตะวันตกเหมือนตัวเขาเองในอดีตที่สวมใส่เสื้อผ้านำเข้าจากประเทศอังกฤษ นำความเดือดร้อนมาสู่เกษตรกรอันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศยากจน “ความยากจนจะหมดไป ถ้างานท้องถิ่นได้รับการฟื้นฟู” ขณะที่คานธีทุ่มเทชีวิตแก้ปัญหาความยากจนที่ชัมปารานจนชื่อของเขาเริ่มเข้าไปอยู่ในหัวใจของคนอินเดียทั้งชาติจนเกิดปรากฎการณ์แห่งศรัทธาสร้างกลุ่มคนขนาดใหญ่ในทุกที่ที่คานธีปรากฎกาย จนสร้างความหวั่นใจให้กับรัฐบาลอังกฤษที่เกรงว่าจะเกิดการจราจลและหาเรื่องเข้าจับกุมคานธี แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะกฎหมายของอังกฤษในขณะนั้นไม่สามารถทำอะไรนักกฎหมายอย่างคานธีได้ รัฐบาลอังกฤษจึงออกกฎหมายใหม่เพื่อทำการปราบปราม คานธีจึงเรียกร้องให้ทุกคนร่วมกันอดอาหารต่อต้านกฎหมายนั้นอย่างสันติวิธี จนเป็นสาเหตุไปสู่การสังหารหมู่ที่ อมฤตสาร์ ซึ่งมีผู้ร่วมประท้วงเจ็บตายนับพันคน นานาประเทศต่างรุมประณามสร้างความเสื่อมเสียให้กับรัฐบาลอังกฤษที่ต้องลดตัวขอเจรจากับคานธี “ถึงเวลาที่คุณต้องไปแล้ว โปรดยอมรับเถอะว่า ประชาชนอยากได้รัฐบาลที่เลวของตัวเอง มากกว่ารัฐบาลที่ดีของกองกำลังต่างชาติ ในที่สุดคุณก็จะต้องเดินออกไปจากประเทศของเรา เพราะพวกคุณ 1 แสนคน ดูแลคนอินเดีย 350 ล้านคน ไม่ได้หรอก หากไม่ได้รับการยอมรับจากคนอินเดีย” เมื่อการเจรจาผ่านไป อังกฤษก็ยังไม่มีทีท่าที่จะทำตามข้อเรียกร้อง คานธีจึงเดินหน้าแก้ไขปัญหาความยากจนโดยเอาประสบการณ์จากแคว้นชัมปารานมาใช้อีกครั้งหนึ่ง “โรงงานอังกฤษ ทำผ้าที่สร้างความยากจนให้พวกเรา ใครที่อยากทำให้อังกฤษได้เห็น โปรดนำผ้าจากแมนเชสเตอร์และลีดส์ที่คุณสวมใส่มาให้ผม แล้วเผามันส่งแสงในเดลีถึงลอนดอน และถ้าท่านเหมือนกับผมที่เหลือผ้าเพียงชิ้นเดียวที่ปั่นและทอในบ้านเรา จงใส่มันอย่างมีศักดิ์ศรี” แต่แสงสว่างจากการเผาเสื้อผ้าอังกฤษในครั้งนี้กลับกลายเป็นไฟที่ลุกลามทำลายล้างซึ่งหลักอหิงสา จนเป็นที่มาของสงครามย่อยๆ กลางกรุงเดลีที่มีผู้คนทั้งสองฝ่ายล้มตายรายวันสร้างความตื่นกลัวให้กับรัฐบาลอังกฤษที่มีกำลังน้อยกว่าเป็นอย่างมาก และกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ได้เปรียบของคนอินเดีย แต่คานธีกลับไม่เห็นด้วยและรู้สึกผิดที่ตนเป็นต้นเหตุของการล้มตาย จึงขอร้องให้ทุกคนหยุดใช้ความรุนแรงแต่ก็ไม่เป็นผล คานธีจึงตัดสินใจอดข้าวประท้วงเพื่อเรียกร้องให้ทุกคนกลับมาใช้การต่อสู้อย่างสันติวิธี และการประท้วงของคานธีในครั้งนี้นี่เองที่ได้บอกให้คนทั้งโลกได้รับรู้ว่าเขาได้เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนอินเดียทั้งชาติแล้ว เพราะสิ่งที่ทุกคนคิดว่าร้ายแรงเกินกว่าจะแก้ไขกลับเปลี่ยนแปลงได้ด้วยคนเพียงคนเดียว คนเดียวที่คนอินเดียทั้งชาติยอมเพื่อให้เขาอยู่ และอยู่อย่างเป็นอันตรายสำหรับผู้ยึดครอง รัฐบาลอังกฤษจึงหาเรื่องจับกุมและตัดสินให้คุมขังคานธีเป็นเวลาถึงหกปีโดยหวังจะทำให้ชื่อของเขาถูกลืมและการยืนหยัดต่อสู้ของเขาก็จะเบาลง แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะทันทีที่คานธีออกมากจากที่คุมขัง เขาก็แสดงให้เห็นว่าอังกฤษไม่มีอำนาจในอินเดียอีกแล้วโดยคานธีได้ชักชวนให้ทุกคนออกมาร่วมกันประกาศอิสรภาพโดยการเดินขบวนสู่มหาสมุทรอินเดียเพื่อการทำนาเกลือ ซึ่งมีสัญญาผูกขาดทางกฎหมายให้เป็นสิทธิของรัฐบาลอังกฤษเท่านั้น เมื่อขบวนของคานธีเริ่มออกเดินทางก็ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและร่วมติดตามทำข่าวตลอดระยะทาง 240 ไมล์ ผ่านหมู่บ้านนับพันด้วยจำนวนคนที่มากขึ้น จากร้อยเป็นพันจนเป็นหมื่นเป็นแสนคน และยังเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ จนมาถึงมหาสมุทรอินเดีย และในทันทีที่มาถึงคานธีก็ก้มลงหยิบเกลือชูขึ้นพร้อมกับประกาศอิสรภาพในทันที “เกลือนี้มาจากมหาสมุทรอินเดีย ชาวอินเดียทุกคนมีสิทธิเป็นเจ้าของ” ภาพข่าวที่ออกสู่สายตาชาวโลกสร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลอังกฤษเป็นอย่างยิ่ง อังกฤษจึงส่งกองกำลังเข้าจับกุมทุกคน แต่ก็เป็นไปไม่ได้เพราะจำนวนของคนอินเดียที่หลั่งไหลกันมามหาสมุทรอินเดียนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับการประกาศของคานธีว่าจะยึดโรงงานผลิตเกลือคืนจากอังกฤษ ทำให้อังกฤษต้องส่งกองกำลังเพื่อปิดกั้นทางเข้าโรงงานและรีบจับกุมคานธีหวังจะกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงขึ้น เพื่อจะได้ใช้กองกำลังเข้าปราบปราม แต่ก็ไม่เป็นไปตามนั้น เพราะชาวอินเดียต่างยึดมั่นในหลักอหิงสาเดินหน้ากันเข้ามาให้ตำรวจทุบตีอย่างไม่ตอบโต้ ไม่แม้นแต่จะยกมือขึ้นป้องกัน “พวกเขาเดินเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัวความเจ็บความตายเลย และมันยังคงเกิดขึ้นจนถึงกลางคืน พวกผู้หญิงคอยพยุงร่างผู้บาดเจ็บออกมาจนตัวเองหมดสติไปเพราะความอ่อนล้า ความเฟื่องฟูที่ตะวันตกเคยมีสูญสิ้นไปแล้วในวันนี้ อินเดียเป็นอิสระแล้ว” นี่คือข่าวที่ถูกเผยแพร่ออกไปให้โลกรับรู้ สร้างความอัปยศให้กับรัฐบาลอังกฤษอย่างแสนสาหัสจนต้องยอมปล่อยตัวคานธีและเชื้อเชิญเขาให้มาที่กรุงลอนดอนเพื่อร่วมกันหารือถึงความเป็นไปได้ในการคืนอิสรภาพให้กับอินเดีย หลังจากการหารือเสร็จสิ้นและผ่านไปอีกไม่นานนัก อังกฤษก็เริ่มยอมรับว่า1 แสนคนของตนไม่สามารถปกครองคนอินเดีย 350 ล้านคนได้ และยอมคืนอิสรภาพให้ในที่สุด เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับเรื่องราวของการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่จากภาพยนตร์เรื่องมหาตมาคานธี ซึ่งยังมีรายละเอียดอีกมากที่ผู้เขียนเองไม่ได้นำมากล่าวไว้ อย่างเรื่องครอบครัวของท่านมหาตมาคานธี หรือเรื่องที่เกี่ยวกับความขัดแย้งทางด้านศาสนาในอินเดียจนเป็นเหตุที่ทำให้ท่านมหาตมาคานธีถูกลอบสังหาร แต่การจากไปของท่านมหาตมาคานธีได้ทำให้ทุกคนเห็นถึงความเป็นอมตะของท่าน เพราะหลักการดำเนินชีวิตและการต่อสู้ที่ยึดหลักอหิงสาของท่านมหาตมาคานธีนั้นจะยังคงอยู่ตลอดไป “ตายแต่เหมือนมีชีวิตอยู่ ชายสันโดษไร้ความมั่งคั่ง ที่มิได้เป็นผู้บัญชากองทัพ ไม่ใช่ผู้ปกครองดินแดนอันกว้างใหญ่ ไม่ได้มีผลงานทางวิทยาศาสตร์หรืองานศิลปะ แต่เป็นเพียงชายผิวคล้ำตัวเล็กนุ่งผ้าเตี่ยวที่นำประเทศของเขาก้าวไปสู่ความเป็นเอกราช” |
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับคานธี เขียนโดย ขัด เปิด 2008-01-14 09:46:08 ปัญหาที่เกิดกับคานธีมีอะไรบ้าง คานธีมีความสำคัญหรือมีความเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนอย่างไร |
Powered by AkoComment 2.0! |