สึนามิกับบทบาทพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย แง่มุมความคิดของ คุณพ่อสุวัฒน์ เหลืองสอาด ผู้อำนวยการศูนย์ตะกั่วป่า จ.พังงา
กองบรรณาธิการ จุดยืนของพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย คือ อยู่เคียงข้างผู้ที่เดือดร้อน ผู้ที่ได้รับความยากลำบาก โดยเฉพาะผู้ที่ประสบภัย เหตุการณ์สึนามิเป็นเหมือนการเปิดตัวของพระศาสนจักรคาทอลิก พ่อคิดว่าพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทยจะต้องทำงานโดยการออกจากตัวเองให้มากขึ้น หลายครั้งเรามองดูพระ ศาสนจักรในแง่ที่ว่า อยู่ในสถาบัน อยู่ในวัด อยู่ในโรงเรียนที่มั่นคงและปลอดภัย แต่มาที่นี่ มาช่วยเหลือผู้คนโดยที่ไม่มีใครรู้จักเรา หลายอย่างไม่ได้อยู่ในมือเรา เหมือนที่เราทำงานในวัดหรือโรงเรียน เราสามารถบอกได้ว่าเราทำงานทุกวันด้วยความเชื่อก็พูดได้ บางวันก็เครียด แต่พระก็ให้เรารู้สึกว่านี่เป็นการที่เราต้องออกจากตัวเอง ออกไปที่น้ำลึกจริงๆ พ่อคิดว่า ถ้าพระศาสนจักรเปิดตัวรับรู้กับปัญหาเหล่านี้ และออกจากตัวเองให้มากขึ้น เราจะเห็นได้ว่า มีงานมากมายรอพระศาสนจักรคาทอลิกอยู่ บางทีถ้าหากเราอยู่ในวัด ในโรงเรียน เราก็มองไม่ออกว่างานของเรามีอะไรบ้าง นอกจากงานประจำของเรา เราก็ทำงานไปวันๆ เท่านั้นเอง แต่เหตุการณ์สึนามินั้นชัดเจนว่า เราต้องออกไป และจะพบว่ายังมีคนที่ต้องการเรา ยังมีคนที่เราช่วยเหลือเขาได้ ในเหตุการณ์สึนามิ นอกจากเราจะได้มาเปิดตัวเองออกแล้ว เรายังได้มุมมองใหม่ๆ ในการทำงานของพระศาสนจักรด้วย ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ใช่มุมมองใหม่อะไร เพราะเป็นบทบาทของพระศาสนจักรอยู่แล้วที่จะต้องออกไปแล้วก็ทำงานกับคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ แต่บางครั้งเราอยู่ในที่สะดวกสบายมากเกินไป เราจึงสังเกตการทำงานที่แท้จริงของเราไม่พบ บางทีเราอยู่วัด อยู่โรงเรียน เงินจากวัด จากโรงเรียนที่เรามี ก็ไปช่วยสงเคราะห์ที่นั่นที่นี่ เราปลอดภัยและสะดวกสบาย แต่ในเหตุการณ์สึนามิเราต้องดิ้นกับตัวเองตลอดเวลา และพบว่าตรงนี้ทำให้เรามีกำลังต้องเดิน มีแรงจูงใจที่จะต้องก้าวไปทุกๆ วัน และมีแรงจูงใจขอให้พระนำทางชีวิตของเราเสมอ ประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวพ่อเอง ในการทำงานที่วัด หรือโรงเรียน เรารู้สึกว่าหลายครั้ง เรามองไม่ออกว่าเราต้องทำอะไร เช่น อยู่ในวัดคาทอลิก พอเราเดินออกไปข้างวัดสัก 2 - 3 ตรอก มีชาวสลัมอยู่ แต่เรามองไม่ออกว่าเราจะต้องทำอะไรเพื่อช่วยเขาบ้าง เราจะเริ่มช่วยหรือติดต่อกับเขาอย่างไร เรามองไม่ออก เพราะว่าเราอยู่ในที่ที่สะดวกสบาย บางทีก็ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ และเราก็ทำงานซ้ำๆ กันไปทุกวันเหมือนเดิม การออกมาทำงานในเหตุการณ์สึนามิตรงนี้ เหมือนกับการที่เราหัดว่ายน้ำ เหมือนมีคนจับเราโยนลงไปกลางสระน้ำ เราต้องดิ้นรนกระเสือกกระสน และพบว่า อันนี้ทำให้เรามีชีวิตรอด อันนี้ทำให้พระศาสนจักรรอด เราไม่ได้อยู่แต่ในที่ที่ปลอดภัยและสะดวกสบาย พระศาสนจักรต้องดิ้นรน พระศาสนจักรจะต้องเข้มแข็งด้วยตนเอง ไม่ใช่เข้มแข็งโดยสถาบันหรือองค์กรที่ตั้งขึ้นมา แต่เราต้องเข้มแข็งขึ้นมาด้วยจิตตารมณ์ของพระเป็นเจ้า ในช่วงแรกๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์สึนามิ หลายคนหลายฝ่ายมองว่าคาทอลิกเข้ามาเพื่อเผยแพร่ศาสนา มาปลุกปั่นประชาชนหรือเปล่า แต่พอเวลาผ่านไป ตรงนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เราไม่ได้ทำอย่างนั้น เราเข้ามาเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนจริงๆ ปัญหาเรื่องการทำงานร่วมกันก็มีบ้าง คือการที่เราต้องปรับตัวเข้าหากันบ้าง เช่น พระสงฆ์ นักบวชต่างคณะ มาจากที่ต่างๆ กัน และมาทำงานด้วยกัน อาจจะต้องปรับตัวกันบ้าง แต่สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่ดี และเป็นสิ่งที่ทำให้เราปรับตัวเข้าหากันและทำงานร่วมกันมากขึ้น ในส่วนของอาสาสมัครที่เข้ามาทำงานตรงนี้ บางคนเข้ามาเพราะมโนธรรมเรียกร้อง บางคนเข้ามาด้วยใจร้อนรน ทำๆ... จนอาทิตย์หนึ่งกลับไปบ้าน รู้สึกสบายใจ มโนธรรมไม่ติเตียนแล้ว บางคนลงมาเพราะแรงสงสารผู้อื่นที่เดือดร้อน พอทำไปสักพักก็เหนื่อยและหมดแรง และรู้สึกว่าน่าจะพอแล้ว ก็เป็นอีกระดับหนึ่ง แต่โดยรวมแล้ว พ่อรู้สึกว่าเหตุการณ์สึนามิทำให้พระศาสนจักรไทยร่วมมือกันและเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยมีคณะนักบวชต่างๆ ที่มาร่วมมือและทำงานด้วยกัน และสึนามิทำให้พระศาสนจักรคาทอลิกไทยเห็นภารกิจของตัวเองชัดเจนขึ้น
Powered by AkoComment 2.0! |