บทความล่าสุด |
---|
การทำลายชีวิต...บทเรียนในอดีต... (ตอนที่ 2) โดย กล้วยกัทลี |
Wednesday, 01 February 2017 | ||||
ตอนที่ 2
การทำลายชีวิต...บทเรียนในอดีต - เพื่อยุติสงคราม
“สิทธิมนุษยชน คือ ในบทความที่แล้วจบไว้ด้วยประโยคที่ว่า การเข้าใจและเคารพในสิทธิมนุษยชนเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้เราเริ่มเข้าใจที่จะอยู่ร่วมกัน (เช่น บนความต่างของศาสนา) ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นแนวทางที่ทุกคนและทุกประเทศควรส่งเสริม การเข้าใจและเคารพสิทธิมนุษยชนเป็นวิธีการหนึ่งที่สะท้อนแนวทางของพระเยซูผู้นำของเรา ข้อความในวงเล็บ เป็นเพียงตัวอย่างที่สอดคล้องกับเรื่องที่เขียน แต่ในความเป็นจริง การเคารพสิทธิมนุษยชนช่วยให้เราอยู่ร่วมกันได้ อาศัยความพยายามที่จะไม่นำความต่างในทุกๆ เรื่อง มาเป็นข้ออ้าง ไม่ว่าจะต่างเพราะความเป็นหญิง-ชาย ต่างเพราะเด็ก-ผู้ใหญ่ ต่างเพราะจน-รวย ต่างเพราะมีการศึกษาหรือไม่มี ต่างเพราะเชื้อชาติ วัฒนธรรม ต่างเพราะอยู่ในเมือง -ชนบท ต่างเพราะเป็นลูกจ้าง-นายจ้าง ต่างเพราะความไม่ปกติของร่างกาย ฯลฯ ข้อเขียนนี้จึงขอให้ความกระจ่างเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องใกล้ตัวแต่ยังไกลใจหลายๆ คน อย่าง “สิทธิมนุษยชน” เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และเพื่อเสริมสร้างสันติสุขในสังคม จึงขอเริ่มต้นที่ความเป็นมาเสียก่อน คงจะเป็นไปไม่ได้ หากจะกล่าวถึง “สิทธิมนุษยชน” โดยไม่กล่าวถึงที่มา หลายคนอาจเข้าใจว่า สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของตะวันตก และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองนี่เอง คือนับจากการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ. 2488) จะนับอย่างนี้ก็คงไม่ผิดแต่ก็ไม่ถูกเสียทั้งหมด มีคำอธิบายว่า “เมื่อต้องเผชิญกับความอยุติธรรมและการเบียดเบียน บรรดานักคิดและนักปรัชญาจากหลากหลายประเพณีทางวัฒนธรรมและศาสนาที่เชื่อมั่นในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ได้ต่อสู้เพื่อให้ศักดิ์ศรีและสิทธิของมนุษย์ได้รับการยอมรับ และต่อมานักกฎหมายได้มีบทบาทในการร่างแนวคิดดังกล่าว” อันที่จริงเรื่องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานนั้น สามารถสืบค้นย้อนไปได้ถึงกฎของฮัมมูราบี ในสมัยบาบิโลนนั่นที่เดียว (1728-1686 BC – บาบิโลนอยู่ในเมโสโปเตเมีย แหล่งอารยธรรมอันเก่าแก่ หรือ ตะวันออกใกล้ / เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ คือ บริเวณประเทศอิรักในปัจจุบัน) บ้างก็เชื่อว่า กฎนี้ถูกนำมาใช้ในบัญญัติสิบประการที่โมเสส (1200 BC) ได้รับมาจากพระผู้เป็นเจ้าด้วย (อย่าฆ่าคน อย่างทำอุลามก อย่าใส่ความนินทา อย่ามักได้ทรัพย์ของเขา) รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศอังกฤษที่เรียกว่า แมกนา คาร์ตา (Magna Carta – ค.ศ. 1215) นับเป็นการบัญญัติหลักประกันสิทธิเสรีภาพทั้งส่วนบุคคลและทางการเมืองเป็นครั้งแรก แนวคิดที่ว่าสิทธิและเสรีภาพเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีของมนุษย์ก็แพร่หลายในประเทศตะวันตก นักปรัชญาและมานุษยวิทยาหลายท่าน รวมทั้งนักบุญโทมัส อะไควนัส (ค.ศ. 1225-1274) ก็นับว่ามีส่วนสำคัญในการอธิบายถึง “กฎธรรมชาติ” ซึ่งปูพื้นฐานไปสู่การยอมรับในสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพด้วยเช่นกัน “กฎธรรมชาติ” ระบุว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับสภาพของ “ความดี” และความดีนี้เองเป็นที่มาของสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน การอธิบายตีความสิ่งเหล่านี้ในแง่มุมของปรัชญานั้นเข้าใจได้ยากยิ่ง แต่เมื่อนำแนวคิดที่มีขอบเขตกว้างขวางนี้มาแปลงเป็นข้อกฎหมายที่เฉพาะเจาะจงลงไป การปกป้องสิทธิของปัจเจกชนภายใต้ระบบสังคมจึงชัดเจนขึ้น เช่น การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของอเมริกา (United States Bill of Rights) หรือปฏิญญาฝรั่งเศสว่าด้วยสิทธิของคน (French Declaration of the Rights of Man) การเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านเรื่องทาสในศตวรรษที่ 19 ปฏิญญาเจนิวา 1864 (พ.ศ.2407) ปฏิญญาเฮก 1899 (พ.ศ.2442) เป็นต้นอย่างไรก็ดี สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถช่วยให้โลกหลุดพ้นจากความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้ ดังนั้น เมื่อสงครามโลกครั้งนั้นยุติลงได้ไม่นาน ประชาชาติจึงร่วมใจกันตั้งสันนิบาตชาติ (League of Nations) ขึ้น มีการตั้งกฎเกณฑ์เพื่อให้ชาติต่างๆ ร่วมมือกันเพื่อ “ความเป็นอยู่ที่ดีและการพัฒนา” ของประชากร ผลของความพยายามนี้ได้ให้กำเนิดแก่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ International Labour Organisation - ILO ขึ้นในปี 1920 (พ.ศ.2463) ในช่วงก่อนปี 1940 (พ.ศ.2483) ได้เกิดพัฒนาการต่างๆ ขึ้น ทั้งในด้านแนวความคิด ความเชื่อมั่น กฎหมาย และสถาบันต่างๆ เพื่อค้ำจุนสิทธิมนุษยชน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ความนิยมชมชอบในเรื่องของสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นเสรีภาพ ความยุติธรรม หรือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ นั้นยังไม่สุกงอม และความตั้งใจที่จะส่งเสริมเรื่องเหล่านี้ยังไม่หนักแน่นพอ ดังนั้น ความพยายามของสันนิบาตชาติจึงล้มเหลวและจบลงที่สงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ชาวโลกต้องตกตะลึงและสะเทือนใจต่อสิ่งที่ได้ค้นพบ นั่นคือ ชาวยิวกว่า 6 ล้านคน (ในจำนวนนี้เป็นเด็กที่ยังไม่เป็นวัยรุ่นกว่าล้านคน) ถูกฆ่าตายในค่ายกักกันของนาซี นอกจากการกำจัดชาวยิวให้หมดไปจากยุโรปแล้ว นาซียังได้พยายามสังหารหรือกักขังชาวโปแลนด์ พวกยิปซี ชาวโซเวียตที่ถูกจับกุมในสงคราม ผู้ที่มีความโน้มเอียงทางเพศ ผู้พิการทางร่างกายและสมอง ตลอดจนผู้ที่มีความคิดเห็นตรงข้ามในทางการเมืองด้วย เหตุการณ์นี้ได้ให้กำเนิดคำว่า “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ขึ้น และนี่เองเป็นสาเหตุหลักที่เปลี่ยนทัศนคติในเรื่องการปกป้องสิทธิมนุษยชน คือ ขยายการปกป้องจากภายในขอบเขตประเทศของตนไปสู่การปกป้องที่มีความเป็นสากลมากขึ้น นับเป็นแนวคิดการปกป้องสิทธิที่ครอบคลุมถึงคนทุกคน และแนวคิดดังกล่าวนี้เองได้รวมรวมบรรดาชาติต่างๆ เข้ามาทำงานร่วมกันอีกครั้งเพื่อต่อต้านระบบฟาสซิสม์ (ชาตินิยมขวาจัด) และสร้างปราการอันมั่นคงในเรื่องสิทธิมนุษยชนให้แก่มนุษย์ทุกคนในทุกหนแห่ง
คราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังถึงความพยายามดังกล่าวซึ่งก็คือ จุดเริ่มต้นของสหประชาชาตินั่นเอง
ตอนต่อไป จากพันธมิตรยามสงคราม...มาเป็นองค์การระหว่างประเทศ
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|