พิธีกรรมเริ่มจากการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตตามแบบของศาสนาพุทธ โดยพระสงฆ์จำนวน 10 รูป พร้อมธรรมเทศนาโดย พระมหาเจิม สุวโจ จากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ต่อด้วยผู้แทนจากคาทอลิก ซึ่งนำโดย บาทหลวงชูศักดิ์ สิริสุทธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยค้นคว้าศาสนาและวัฒนธรรม, ซิสเตอร์จันทร์เพ็ญ กิจสวัสดิ์ จากคณะธิดาพระราชินีมาเรียผู้นิรมล, ซิสเตอร์ประไพ กิจทวี จากโรงเรียนกุหลาบวัฒนา, ดร. วไล ณ ป้อมเพชร เลขาธิการ คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ ได้ร่วมกันอ่านบทภาวนาเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตและภาวนาขอให้มีสันติสุขเกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่อจากนั้นตัวแทนศาสนาอิสลามได้ร่วมกันละหมาดให้กับผู้เสียชีวิต
หลังจากพิธีกรรมทางศาสนาเสร็จสิ้นลง มีการเสวนาเพื่อแสวงหาหนทางดับไฟใต้ในหัวข้อ
“ประสานศาสนิก...พลิกสถานการณ์ไฟใต้” ซึ่งวิทยากรประกอบด้วย
อ.จอน อึ๊งภากรณ์ สมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพฯ อ.วิทยา วิเศษรัตน์ ประธานที่ปรึกษาสภาองค์การมุสลิมแห่งประเทศไทย พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ ประธานกลุ่มเสขิยธรรม และบาทหลวงชูศักดิ์ สิริสุทธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยค้นคว้าศาสนาและวัฒนธรรม อ.จอน อึ๊งภากรณ์ สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งได้ลงไปดูพื้นที่ภายหลังสถานการณ์การเสียชีวิตของประชาชนชาวมุสลิมเนื่องจากการที่ภาครัฐได้สลายการชุมนุมที่หน้าสถานีตำรวจภูธร อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 85 คน (จากผู้ชุมนุมทั้งหมดประมาณ 1,300 คน) เนื่องจากการสลายการชุมนุมด้วยอาวุธของภาครัฐ การขาดอากาศและการอดอาหาร ระหว่างขนย้ายไปยังค่ายอิงคะยุทธ จ.ปัตตานี และค่ายเสนาณรงค์ จ.สงขลา
อ.จอน ได้เล่าให้ฟังว่า จากการได้พูดคุยกับผู้ชุมนุมซึ่งถูกจับในวันนั้นพบว่า ผู้ชุมนุมที่ถูกจับถูกมัดมือและกองทับกันหลายชั้นจึงขาดอากาศหายใจ ถูกกดทับ ผู้ชุมนุมได้ร้องขอความช่วยเหลือแต่ถูกทหารผู้ ควบคุมในรถนั้นเหยียบหัวซ้ำ ซึ่งเป็นข้อสังเกตว่าทหารไม่ได้รู้สึกเป็นมิตรต่อผู้ชุมนุมและมีทัศนคติทางลบต่อพวกเขาซึ่งอาจเกิดจากการได้รับการปลูกฝังทางลบมา ในเรื่องของเวลาที่ขนย้ายผู้ชุมนุมใช้ระยะเวลานานมาก คันแรกมาถึง 3 - 4 ทุ่ม คันสุดท้ายมาถึงประมาณเที่ยงคืน “คำถามคือ ระหว่างที่ในรถแต่ละคันมีผู้เสียชีวิตแต่ไม่ได้มีการวิทยุเตือนรถคันที่ตามมาว่าอาจมีผู้ชุมนุมที่หายใจไม่ออก อีกทั้งได้ทราบจากชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ ทำให้ทราบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในขณะสลายการชุมนุมยังมีอีกกว่า 15 รายที่ไม่ปรากฎเป็นข่าว”
อ.จอน แสดงความวิตกกังวลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ขณะนี้ผู้คนในสังคมจำนวนมากไม่ค่อยพอใจที่มีการพูดความจริงเสมือนว่าความจริงจะยุยงให้เกิดความรุนแรง คนจำนวนมากกำลังสับสนมองปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในภาคใต้ที่มีการฆ่าพระภิกษุ เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชน แล้วโยงเสมือนว่าผู้มาชุมนุมที่ อ.ตากใบเป็นผู้ก่อความไม่สงบ มองว่าถูกแล้วที่ถูกกระทำเช่นนี้ หรืออาจจะแรงน้อยไปด้วยซ้ำ โดยที่ยังไม่ได้ตรวจสอบหาความจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เป็นบรรยากาศที่อาจจะรุนแรงกว่าเมื่อ 6 ตุลา 19 มีการแสดงออกด้วยความโกรธแค้นชิงชัง สื่อมวลชนถูกใช้เป็นเครื่องมือโจมตีผู้ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม “ผมคิดว่า ขณะนี้สื่อมวลชนของรัฐไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถเสนอข่าวสารได้รอบด้าน นี่คืออันตราย คำพูดของนายกฯ ไม่ได้ช่วยประสานทำความเข้าใจให้เกิดขึ้นในสังคม สิ่งที่เราต้องเรียกร้อง ให้รัฐบาลทำหน้าที่สร้างสันติสุข สร้างความเป็นธรรม สร้างสิทธิมนุษยชน สร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้น”
อ.จอน มองทางออกของปัญหานี้ว่า ควรนำแนวทางของศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ในเรื่องยุทธศาสตร์สันติวิธี และแผนดับไฟใต้ของรองนายกฯ จาตุรนต์ ฉายแสง ซึ่งเป็นแผนที่เกิดจากการพูดคุยกับทุกฝ่ายทางภาคใต้และชาวบ้านในพื้นที่ เป็นแผนที่ลดความรุนแรงโดยตรงและให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วม รวมทั้งต้องเรียกร้องจริยธรรมของสื่อให้สื่อกลับมามีอิสระในการนำเสนอ เรียกร้องให้รัฐเข้ามาอยู่ในกรอบของกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด ตัวแทนศาสนาต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้ประชาชนทุกศาสนานำหลักคำสอนมาปฏิบัติ ต้องถอนบ่อเกิดแห่งความรุนแรง สร้างเวทีแห่งความเข้าใจ สร้างการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่เพื่อพัฒนาภาคใต้
บาทหลวงชูศักดิ์ สิริสุทธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยค้นคว้าศาสนาและวัฒนธรรม เล่าว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในภาคใต้ ตนได้โทรศัพท์ไปสอบถามซิสเตอร์ซึ่งอยู่ในพื้นที่ จ.ปัตตานีบอกว่า สถานการณ์ที่นั่นน่ากลัว มีจดหมาย ใบปลิว มีการขู่ฆ่าคนที่ให้ความร่วมมือกับมุสลิม มีเด็กย้ายออกจากโรงเรียนประมาณ 20 คนส่วนที่อื่นก็หวาดกลัวกันหมด “ขณะนี้เป็นสถานการณ์ที่น่ากลัว ทุกคนกลัวหมดเพราะไม่รู้ว่าศัตรูคือใคร เป็นสถานการณ์ที่ยืนยันว่าความเป็นมิตรมันขาดสะบั้นไปโดยพริบตา ไม่มีใครไว้ใจกัน ที่ตากใบเป็นเพียงอาการหนึ่ง แต่ที่อื่นๆ เป็นสถานการณ์อึมครึม โรงเรียนเลิกบ่าย 3 โมง 6 โมงเย็นก็ไม่มีใครกล้าออกจากบ้านแล้ว กระทบกับพี่น้องทุกศาสนา”
บาทหลวงชูศักดิ์ เห็นด้วยกับ อ.จอน ในแนวทางของหมอประเวศที่บอกว่า นี่คือวิกฤตของประเทศแล้ว ถ้าคนไทยยังรู้สึกเฉย “คิดว่านี่เป็นวาระแห่งชาติที่เราทุกคนต้องช่วยกัน อยากเห็นคนไทยที่มีน้ำจิตน้ำใจเอื้ออาทร นำมิติของศาสนสัมพันธ์ อยากเห็นพลังแห่งสันติจากอิสลาม พลังแห่งความรักจากคริสต์ พลังแห่งความเมตตาจากพุทธศาสนา ให้เกิดขึ้น อยากเชิญชวนทุกท่านที่เป็นศาสนิกมาร่วมกัน อยู่เฉยๆ ไม่พอแล้ว สิ่งที่ขาดในภาคใต้ไม่ใช่เงิน แต่ขาดน้ำใจ หัวใจที่ฉีกขาด หัวใจที่โดดเดี่ยว ต้องการความรัก ความเมตตาและกรุณา คนที่เจ็บปวดต้องการผู้บรรเทาทุกข์ การใช้ศาสนสัมพันธ์จะทำให้บ้านเมืองนี้สงบร่มเย็น”
ทางด้าน
อ.วิทยา วิเศษรัตน์ ประธานที่ปรึกษาสภาองค์การมุสลิมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การแก้ปัญหาสถานการณ์ภาคใต้ต้องแก้ด้วยความจริง “อย่าคิดว่าเงินจะแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง การปกครองที่ อยุติธรรมนั้นประชาชนไม่มีความสุข การยกประเด็นว่า มุสลิมฆ่าพระเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ขณะนี้มีการสร้างภาพว่าไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ แทนที่จะสร้างสรรค์ ประนีประนอม บอกว่าจะสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในภาคใต้แต่กลับส่งทหารลงไปแล้วจะสันติสุขได้อย่างไร อิสลามสอนว่า “ให้พูดความจริง แม้ว่าความจริงจะขื่นขม”
ส่วนพระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ ประธานกลุ่มเสขิยธรรม ได้เสนอแนวทางพลิกสถานการณ์ไฟใต้ ว่า 1.รัฐบาลต้องใช้กลไกที่มีอยู่สร้างความสมานฉันท์ อย่าทำให้แตกแยก ยุติการส่งเสริมลัทธิชาตินิยมใหม่ที่มีการคลั่งชาติที่ปรากฎตามสื่อโดยเฉพาะสถานีวิทยุของฝ่ายพุทธซึ่งกลับยุยงให้เกิดความแตกแยก เห็นด้วยกับการฆ่าชาวมุสลิม ทำให้เกิดรอยด่างในพระพุทธศาสนา การกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่พระพุทธเจ้าตำหนิติเตียน ดังนั้นรัฐต้องเป็นตัวกลางสร้างความสมานฉันท์ 2.รัฐต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมและมีโอกาสตัดสินชะตากรรมของตนเอง 3.ต้องใช้หลักศาสนธรรมเป็นแกนในการแสวงหาทางออกอย่างยั่งยืน ให้ความจริงเป็นเครื่องมือในการสร้างความสมานฉันท์
ภายหลังการเสวนาเสร็จสิ้นลง พลตรีจำลอง ศรีเมือง ในนามของศูนย์คุณธรรม ซึ่งมาร่วมฟังเสวนาในครั้งนี้และเห็นความสำคัญและจำเป็นของเครือข่ายองค์กรศาสนิกทั้ง 3 ศาสนา ในการใช้ศาสนสัมพันธ์เพื่อเยียวยาให้กับพี่น้องมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเห็นพ้องกันว่าเครือข่ายองค์กรศาสนาจะลงไปเยี่ยมพี่น้องมุสลิมในพื้นที่เพื่อให้เห็นว่าพี่น้องทุกศาสนาจะร่วมมือกันสร้างสันติสุข พร้อมทั้งจะรวบรวมจดหมายและไปรษณีย์บัตรจากประชาชนทั่วประเทศซึ่งมีความเห็นอกเห็นใจ ต้องการให้เกิดความสมานฉันท์และเป็นกำลังใจให้กับญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว นำไปมอบให้ถึงมือของญาติพี่น้องชาวมุสลิม ในระหว่างวันที่ 23 – 26 พฤศจิกายนนี้ โดยผู้สนใจสามารถส่งไปได้ที่
ศูนย์คุณธรรม บ้านพิษณุโลก ถ.พิษณุโลก เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300