ผู้ไถ่ ฉบับที่แล้ว คุณต้นกล้วยได้เล่าถึงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อศึกษากลไกการทำงานขององค์การสหประชาชาติ
(United Nations UN) และกรอบของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal
Declaration of Human Rights UDHR) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง
และสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights
ICCPR) รวมถึงการส่งผู้แทนจากภาคประชาชนไทย (ประกอบด้วยตัวแทนจาก NGOs
4 คน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 4 คน และสื่อมวลชน 2 คน) ไปร่วมสังเกตการณ์การพบปะซักถามระหว่าง
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ(Human Rights Commission - HRC) กับผู้แทนรัฐบาลไทย
ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 - 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไปแล้ว
มาคราวนี้คุณตุ่ม (ชื่นสุข อาศัยธรรมกุล) ขอมาเล่าเรื่อง อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ
(CEDAW) บ้าง ซีดอนี้ก็เป็นอนุสัญญาหนึ่งภายใต้ร่มองค์การสหประชาชาติ
และมีกลไกและขั้นตอนการดำเนินงานคล้ายกับอนุสัญญา หรือกติการะหว่างประเทศอื่นๆ
เนื่องจาก UNIFEM หรือกองทุนการพัฒนาเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ สำนักงานเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยโครงการ CEDAW เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (CEDAW SEAP) คุณตุ่ม (ในนามแนวร่วมเพื่อความก้าวหน้าของผู้หญิง)
ได้มีโอกาสเดินทางไปกับคุณอุษา เลิศศรีสันทัด จากมูลนิธิผู้หญิง เป็นผู้แทนภาคประชาชนของไทยไปร่วมในการอบรม
เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมการประชุมกับคณะกรรมการซีดอ (CEDAW Commission) ซึ่งเป็นโอกาสที่ผู้แทนภาคประชาชนจะได้นำเสนอประเด็นสถานการณ์
และปัญหาเกี่ยวกับผู้หญิงไทยจากมุมมองของภาคประชาชน ให้คณะกรรมการซีดอได้รับทราบ
รวมทั้งการได้เข้าไปร่วมสังเกตการณ์การนำเสนอรายงานของผู้แทนรัฐ(State Party)
ต่อคณะกรรมการซีดอ(CEDAW Commission) และติดตามรับฟังการซักถาม การแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่คณะกรรมการซีดอมีต่อผู้แทนรัฐด้วย
ซึ่งเป็นเรื่องที่ภาคประชาชนจะต้องให้ความสนใจเพื่อติดตามการทำงานของรัฐให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะนั้นต่อไป
การอบรมครั้งนี้ชื่อว่า
From Global to Local จัดโดย INTERNATIONAL WOMENS RIGHTS ACTION WATCH
- ASIA PACIFIC (IWRAW Asia Pacific) ระหว่างวันที่ 1 - 9 กรกฎาคม 2548 ณ
นครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา มีผู้เข้าร่วมจาก 9 ประเทศ รวม 24 คน แบ่งเป็น
2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นตัวแทนจากประเทศที่มีผู้แทนรัฐมานำเสนอรายงานระหว่างวันที่
5 - 14 กรกฎาคม 2548 นี้ คือ ประเทศ เบนิน แกมเบีย กูยานา ไอร์แลนด์ อิสราเอล
และเลบานอน ส่วนกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่ผู้แทนรัฐจะมานำเสนอรายงาน ในเดือนมกราคม
2549 มีประเทศกัมพูชา ไทย ออสเตรเลีย และมาเซโดเนีย โดยผู้จัดมีความมุ่งหวังว่าจะสามารถเชื่อมโยงการเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงในระดับท้องถิ่นประเทศ
กับกระบวนการรายงานอย่างเป็นทางการในระดับนานาชาติขององค์การสหประชาชาติ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้พันธกิจของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ(ซีดอ)
และยังเป็นโอกาสที่จะสร้างเครือข่ายความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหมู่ NGOs
ด้านผู้หญิงทั่วโลกด้วย
การอบรมครั้งนี้แบ่งกระบวนการออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก ใช้เวลา
3 วัน เป็นการอบรมและฝึกปฏิบัติ มีเนื้อหาประกอบด้วย อนุสัญญาซีดอในระบบสิทธิมนุษยชน
บทบาทของ NGOs และคณะกรรม การซีดอ ทำความเข้าใจความหมายของความเท่าเทียม
รายละเอียดเนื้อหาของอนุสัญญาซีดอ และการใช้อนุสัญญาซีดอ และฝึกการล็อบบี้
ส่วนที่สอง เป็นการเข้าไปร่วมในที่ประชุมคณะกรรมการซีดอ
ในอาคารที่ทำการขององค์การสหประชาชาติ เป็นเวลา 10 วัน (หากประเทศใดเสร็จก่อนก็กลับก่อน
รวมทั้งผู้ที่จะต้องมาอีกครั้งในเดือนมกราคมปีหน้าด้วย แต่ทุกคนก็อยู่ร่วมกระบวนการอย่างน้อย
4 วัน เพื่อร่วมสังเกตการณ์ และช่วยเพื่อนๆ ในการเตรียมตัวนำเสนอรายงาน และล็อบบี้คณะกรรมการ)
โดยก่อนที่จะมีการประชุมอย่างเป็นทางการ 1 วัน (ซึ่งเป็นวันที่คณะกรรมการซีดอจะรับฟังการรายงานของผู้แทนรัฐประเทศ
(State Party) จะมีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างคณะกรรมการซีดอกับผู้แทน
NGOs ที่มาจากประเทศที่มีผู้แทนรัฐประเทศมานำเสนอรายงานในการประชุมครั้งนี้
ส่วนผู้แทน NGOs คนอื่นๆ ก็เป็นผู้สังเกตการณ์ เพื่อเรียนรู้และเตรียมตัวเมื่อถึงเวลาของตัวเอง
(แม้การประชุมระหว่างคณะกรรมการซีดอและตัวแทน NGOs นี้จะเรียกว่า การประชุมอย่างไม่เป็นทางการ
แต่วิธีการเป็นทางการมาก โดยผู้แทนNGOs ที่ต้องการลุกขึ้นพูดในที่ประชุม
จะต้องแจ้งชื่อต่ออนุกรรมการล่วงหน้า เมื่อประธานที่ประชุมประกาศชื่อของผู้นั้นในที่ประชุม
เจ้าหน้าที่จึงจะเปิดไมโครโฟนให้ และผู้พูดต้องพูดให้จบภายในเวลาที่ประธานฯ
กำหนด เช่น หากมีการกำหนดเวลาให้ 5 นาที เมื่อผู้พูดเริ่มพูด ไฟเขียวที่โต๊ะประธานจะติดขึ้น
เมื่อครบ 5 นาที จะเปลี่ยนเป็นไฟแดง ผู้พูดควรจะหยุดพูดหรือรีบสรุป หากพูดเกินเวลามากๆ
ประธานอาจจะสั่งให้ปิดไมโครโฟน หรือประธานอาจจะตำหนิผู้พูดในที่ประชุมได้)
ในการร่วมประชุมนี้ NGOs ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของภาคประชาชนจะต้องกล่าวถ้อยแถลง
ด้วยภาษาใดภาษาหนึ่งที่เป็นภาษาทางการขององค์การสหประชาชาติ (ภาษาอังกฤษ
เรียกว่า make statement) ถึงสถานการณ์และปัญหาเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง
ที่ภาคประชาชนเห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญหรือเร่งด่วน โดยจะต้องเชื่อมโยงเนื้อหาให้ตรงกับมาตราต่างๆ
ในอนุสัญญาซีดอ พร้อมทั้งต้องเสนอแนวทางปฏิบัติในการแก้ปัญหานั้นๆ อย่างชัดเจนพอสมควร
หลังจากนั้นกรรมการบางท่านอาจจะซักถามรายละเอียดเพิ่มเติม ก็เป็นโอกาสที่ตัวแทน
NGOs จะได้นำเสนอข้อมูลเพิ่มเติม นอกจากนั้นสิ่งที่ตัวแทน NGOs มีโอกาสและควรจะทำคือ
การล็อบบี้กรรมการนอกห้องประชุม อาจจะเป็นระหว่างอาหารเช้าก่อนเริ่มการประชุม
ระหว่างเวลาอาหารกลางวัน หรือตอนเย็นหลังเลิกประชุม ต้องกระตือรือร้นและทำงานหนักเอาการอยู่นะคะตัวแทน
NGOs เนี่ยะ (วิทยากรบอกเคล็ดลับว่า ไม่ควรเข้าไปหากรรมการขณะที่ท่านลุกจากที่ประชุมไปห้องน้ำ
เป็นเวลาที่ไม่เหมาะสม ...อืม ! เป็นคำแนะนำที่น่ารับฟังอย่างยิ่ง)
เมื่อเสร็จกระบวนการ 9 วันนี้แล้ว เราขอบอกว่าเรามีความมั่นใจขึ้นมาก ที่จะเล่นบทบาทตัวแทนภาคประชาชนในการประชุมระดับนานาชาติขององค์การสหประชาชาตินี้
และเรามีงานที่ต้องทำเพื่อเตรียมตัวก่อนไปร่วมประชุมซีดออีกครั้งในเดือนมกราคม
2549 คือ
- ติดตามคำถามที่คณะกรรมการซีดอจะส่งมาที่ผู้แทนรัฐไทย ซึ่งผู้แทนรัฐไทยจะต้องเตรียมไปตอบคำถามในเดือนมกราคมปีหน้า
คำถามนี้เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการซีดอได้อ่านรายงานและได้มีการประชุมเตรียมล่วงหน้า(เรียกว่า
pre-session โดยคณะกรรมการชุดเล็ก 5 ท่าน ประชุมกันไปเมื่อวันที่ 25 29
กรกฎาคม ที่ผ่านมา) NGOs ต้้องเตรียมข้อมูลจากภาคประชาชนเพื่อไปนำเสนอตามคำถามของคณะกรรมการเช่นกัน
- ประชุมผู้ร่วมเขียนรายงานภาคประชาชน หรือ Shadow Report เพื่อเพิ่มเติมข้อมูลให้ตรงกับสถานการณ์ปัจจุบัน
และเตรียมการนำเสนอประเด็นสำคัญหรือข้อเรียกร้องในถ้อยแถลง (statement) ที่จะไปนำเสนอในการประชุมเดือนมกราคมปีหน้าด้วย
- เรามีข้อตกลงร่วมกับเพื่อนจากประเทศอื่นคือ ประเทศกัมพูชา และออสเตรเลีย
ที่จะทำ Regional Statement ในประเด็นการค้ามนุษย์ด้วย
- เราจะล็อบบี้รัฐไทยให้เห็นความสำคัญของการประชุมนี้ และส่งผู้แทนระดับสูงไปร่วมการประชุมที่กำลังจะมาถึงนี้
- และเมื่อไปร่วมประชุมในเดือนมกราคมปีหน้ากลับมาแล้ว เรามีงานต้องทำอีกอย่างน้อย
2 อย่าง คือการติดตามให้รัฐไทยปฏิบัติตามข้อแนะนำของคณะกรรมการซีดอ โดยถือเป็นความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน
และเตรียมทำรายงานภาคประชาชน (Shadow Report) ฉบับต่อไปด้วย
ซีดอ เป็นอนุสัญญาเกี่ยวกับผู้หญิง
อนุสัญญาฉบับนี้มีชื่อภาษาอังกฤษว่า The Convention on the Elimination
of All Forms of Discrimination Against Women (CEDAW) จึงมีชื่อเรียกสั้นๆ
ว่า ซีดอ
อนุสัญญาซีดอเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ ที่มีบรรทัดฐานสากลว่าถึงแนวทางปฏิบัติอันควรต่อสตรีทั่วโลก
รัฐภาคีมีข้อผูกพันในการที่ต้องนำอนุสัญญาฯ ไปปฏิบัติ แม้ไม่มีบทลงโทษ
โดยคำนึงถึงปัญหารายละเอียดที่ต้องแก้ไขในแต่ละประเทศ เพื่อให้ผู้หญิงมีโอกาสบรรลุซึ่งสิทธิของตนอย่างแท้จริง
โดยมีคณะกรรมการว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี แห่งองค์การสหประชาชาติ
หรือ เรียกสั้นๆ ว่า คณะกรรมการซีดอ ทำหน้าที่เป็นกลไกติดตามตรวจสอบความก้าวหน้าในการดำเนินงานของรัฐประเทศต่างๆ
ประเทศที่ลงนามในอนุสัญญานี้จะต้องส่งรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับผู้หญิงในประเทศของตนให้คณะกรรมการซีดอ
และต้องไปนำเสนอรายงานในที่ประชุม พร้อมรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการซีดอ
ที่สำนักงานองค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ค ทุก 4 ปี
|
คณะกรรมการซีดอ
คณะกรรมการซีดอมีสมาชิก 23 คน เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสถานการณ์และปัญหาของผู้หญิงจากทั่วโลก
สำหรับภูมิภาคเอเชียมีผู้เชี่ยวชาญจาก 6 ประเทศคือ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น
จีน ศรีลังกา และฟิลิปปินส์
คณะผู้เชี่ยวชาญจะมาทำงานร่วมกัน ในเดือนมกราคม และกรกฎาคม ของทุกปี โดยคณะกรรมการต้องรับฟังรายงานของรัฐบาลแต่ละประเทศที่มาเสนอรายงานทุก
4 ปี ขณะเดียวกันก็เลือกผู้เชี่ยวชาญ 1 คน เพื่อทำหน้าที่จัดทำข้อสรุป รายงาน
และข้อเสนอแนะให้แก่ประเทศที่เสนอรายงาน ข้อสรุปรายงานและข้อเสนอแนะต้องได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการทั้ง
23 คน โดยรัฐประเทศนั้นๆ ถูกคาดหวังว่าต้องปฏิบัติตาม
ในขั้นตอนนี้ทางคณะกรรมการได้เปิดโอกาสให้มีการทำรายงานภาคประชาชน จากองค์กรอิสระแต่ละประเทศเข้านำเสนอด้วย
จึงเป็นโอกาสให้ผู้แทนภาคประชาชนจะทำการล็อบบี้เพื่อชูประเด็นปัญหาที่มีความสำคัญมาก
ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งควรมีข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการในสิ่งที่ภาคประชาชนต้องการ
ฐานะของประเทศไทยในอนุสัญญา
ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ โดยวิธีภาคยานุวัติ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่
8 กันยายน 2528 โดยจนถึงปัจจุบัน ยังคงมีข้อสงวนที่ประเทศไทยได้ตั้งไว้เพื่อขอเป็นการยกเว้นไม่ผูกพันตามอนุสัญญาฯ
2 ข้อ คือข้อ 16 (เรื่องความเสมอภาคในด้านครอบครัวและการสมรส) และข้อ
29 (เรื่องการให้อำนาจศาลโลกในการตัดสินกรณีพิพาท)
กรณีประเทศไทย เมื่อรัฐให้สัตยาบันว่าจะนำ ซีดอ มาใช้ ดังนั้นถ้ามีการส่งเสริมสถานภาพสตรีจริง
ก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้ เช่น
- มีการแก้กฎหมายที่เลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง
- มีหลักสูตรเรื่องสิทธิมนุษยชน และสิทธิมนุษยชนของสตรีในการศึกษาทุกระดับ
- ให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในงานระดับบริหาร ในทุกส่วนของสังคม
- ในการออกกฎหมาย โดยเฉพาะที่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับผู้หญิง ต้องให้ผู้หญิงเข้าไปมีส่วนร่วม
หรือปรึกษาหารือผู้หญิง
|
ภาคประชาชนใช้ประโยชน์จากซีดอได้อย่างไรบ้าง
- เข้าร่วมในการจัดทำรายงานภาคประชาชน หรือ Shadow Report
- มีประเด็นปัญหาสตรีมากมายที่เราน่าจะนำอนุสัญญามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการเคลื่อนไหว
- อาจเสนอให้ใช้มาตรการพิเศษชั่วคราว ในการบรรลุความเสมอภาค ซึ่งเป็นการสร้างเงื่อนไขในการเข้าถึงสิทธิของผู้หญิง
- เข้าไปล็อบบี้คณะกรรมการซีดอที่นิวยอร์ค
- ใช้อนุสัญญาเข้าไปล็อบบี้หน่วยงานรัฐและราชการ ให้เปิดช่องทางเอื้อต่อการสร้างความเสมอภาค
- ใช้รายงานของรัฐบาลที่มีอยู่ในการกดดันให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติตาม
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐให้สัญญาว่าจะทำให้เกิดขึ้น
การเลือกปฏิบัติ หมายความว่าอย่างไร
การเลือกปฏิบัติ หมายถึง การแบ่งแยก การกีดกัน หรือการจำกัดใดๆ เพราะเหตุแห่งเพศ
ซึ่งมีผล หรือมีความประสงค์ที่จะทำลาย หรือทำให้เสื่อมเสียต่อการยอมรับที่จะให้ผู้หญิงได้ใช้สิทธิของตนเองโดยไม่เลือกสถานภาพด้านการสมรส
บนพื้นฐานของความเสมอภาคของบุรุษและสตรีของสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
ในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม พลเมือง หรือด้านอื่นๆ
อนุสัญญาซีดอ พูดถึงการขจัดการเลือกปฏิบัติและการสร้างความเท่าเทียม
ระบุชัดถึงผลที่ต้องการให้สตรีได้รับ เช่น ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ
รวมถึงการรับรองสิทธิและความเสมอภาคของสตรีในฐานะมนุษยชนผู้หนึ่งด้วย
การขจัดการเลือกปฏิบัติมิได้ขจัดเพียงเฉพาะสิ่งที่มีเขียนไว้ในกฎหมาย
หรือระเบียบ กฎเกณฑ์ต่างๆ เท่านั้น แต่ย้ำถึงการเลือกปฏิบัติที่มีผลในทางปฏิบัติ
และมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงบทบาทดั้งเดิมของชายและหญิงในสังคมและครอบครัว
เพื่อให้บรรลุถึงความเสมอภาคอย่างเต็มที่ โดยตระหนักถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมและประเพณี
ที่มีผลต่อการจำกัดโอกาสที่ผู้หญิงจะได้รับสิทธิพื้นฐานของตน ข้อจำกัดเหล่านี้มีในรูปแบบหลากหลายทั้งทางด้านกฎหมาย
การเมือง เศรษฐกิจ และอื่นๆ และเรื่องนี้มิใช่เป็นหน้าที่ของรัฐเท่านั้น
แต่เป็นเรื่องที่องค์กรต่างๆต้องให้ความสนใจด้วย
|
|