สาระสำคัญของสารวันสันติภาพสากล ปี 2005/2548 : จงอย่าให้ความชั่วชนะ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี |
|
Friday, 19 May 2006 |
สาระสำคัญของสารวันสันติภาพสากล ของสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ 2 1 มกราคม 2005/2548 จงอย่าให้ความชั่วชนะ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี | สำหรับคำขวัญวันสันติภาพสากลประจำปี 2548 นี้ สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 ได้เลือกคำสอนของนักบุญเปาโล ในจดหมายถึงชาวโรมัน ที่ว่า “จงอย่าให้ความชั่วชนะ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี” (รม 12:21)
และบอกไว้ในย่อหน้าแรกของสารว่า ความชั่วไม่สามารถเอาชนะความชั่วได้ ถ้าเราเลือกหนทางนี้ “แทนที่จะเอาชนะความชั่ว เรากลับจะต้องพ่ายแพ้แก่ความชั่ว”
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 ระบุไว้ในสารฉบับนี้ว่า “สันติภาพเป็นความดีที่จะต้องส่งเสริมด้วยความดี” สันติภาพจะต้องได้รับการทะนุบำรุงและส่งเสริมด้วยการตัดสินใจและการปฏิบัติที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความดี
สารฉบับนี้อธิบายไว้ว่า นับแต่เริ่มต้น มนุษยชาติรู้จักโศกนาฎกรรมของความชั่วร้ายและดิ้นรนค้นหารากเหง้าและพยายามอธิบายสาเหตุของมัน ในระดับลึกที่สุด ความชั่วร้ายคือการปฏิเสธเสียงเรียกร้องของความรักอย่างน่าเศร้าสลด ในทางตรงกันข้าม ความดีทางศีลธรรมเกิดจากความรัก และมุ่งสู่ความรัก
สารฉบับปี 2005 ย้ำอย่างหนักแน่นและชัดเจนอีกครั้งว่า ความรักที่แท้จริง คือการรักแม้กระทั่งศัตรูของเราเอง “หากศัตรูท่านหิว จงให้อาหารแก่เขา หากเขากระหาย จงให้เขาได้ดื่ม” (รม 12:20)
ในสถานการณ์ของโลกปัจจุบัน เราได้พบการแพร่กระจายของความชั่วร้ายในรูปแบบต่างๆ ทางสังคมและการเมือง เริ่มจากสังคมที่ไร้ระเบียบไปจนถึงความสับสนอลหม่านและสงคราม จากความ อยุติธรรมถึงการกระทำที่รุนแรงและการสังหารเพื่อค้นพบหนทางระหว่างข้อเรียกร้องที่ขัดแย้งกันของความดีและความชั่วร้าย
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 แสดงความห่วงใยต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ เช่น แอฟริกา ดินแดนที่มีความขัดแย้งและทำลายชีวิตผู้คนไปแล้วเรือนล้าน และความรุนแรงยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง หรือสถานการณ์ที่อันตรายของปาเลสไตน์ อันเป็นดินแดนของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นดินแดนที่ความเข้าใจกันและกันถูกทำลาย โดยความขัดแย้งที่เกิดจากความรุนแรงและการแก้แค้นด้วยกำลังเป็นรายวัน ยังคงไม่สามารถได้รับการเยียวยารักษาด้วยความยุติธรรมและสัจธรรม และยังมีความรุนแรงจากการก่อการร้าย ซึ่งดูเหมือนว่าจะนำโลกไปสู่อนาคตแห่งความหวาดกลัวและสับสน และที่ลืมไม่ได้ก็คือเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในอิรัก ซึ่งก่อให้เกิดสถานการณ์น่าเศร้าสลดใจเพราะความไม่แน่นอน และไม่มั่นคงของประชาชนในประเทศนั้น
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ความรุนแรงเป็นความชั่วร้ายที่ไม่อาจยอมรับได้ และไม่มีวันที่จะแก้ปัญหาได้ ความรุนแรงขัดแย้งกับสัจธรรมในความเชื่อของเรา และความรุนแรงทำลายสิ่งที่เราต้องการปกป้อง นั่นคือศักดิ์ศรี ชีวิต และเสรีภาพของมนุษย์”
สารฉบับนี้บอกไว้ว่า สิ่งที่จำเป็นเร่งด่วน คือความมุ่งมั่นที่จะอบรมบ่มเพาะจิตสำนึกและให้การศึกษาคนรุ่นใหม่ ให้รู้จักความดีโดยการยึดคุณค่าความเป็นมนุษย์นิยมอย่างสมบูรณ์และสมานฉันท์ นี่คือพื้นฐานของระเบียบทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองที่มีการเคารพศักดิ์ศรี เสรีภาพ และสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์แต่ละคน
และการส่งเสริมสันติภาพโดยให้ความดีพิชิตความชั่ว จะต้องมีการไตร่ตรองเรื่อง “ความดีของส่วนรวม” อย่างรอบคอบ รวมทั้งผลกระทบทางสังคมและการเมือง
สารฉบับนี้บอกกับเราว่า “เมื่อใดที่ความดีของส่วนรวมได้รับการส่งเสริมในทุกระดับ เมื่อนั้นสันติภาพก็จะได้รับการส่งเสริมด้วย มนุษย์แต่ละคนจะบรรลุถึงความสมบูรณ์ครบครันได้อย่างไร หากไม่คำนึงถึงธรรมชาติทางสังคมของตน”
นอกจากนั้น สารฉบับนี้ยังเรียกร้องไว้ว่า คุณความดีของสันติภาพจะได้รับหลักประกันดียิ่งขึ้นหากประชาคมระหว่างประเทศ มีความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้นต่อสิ่งที่เราเรียกว่า “ทรัพยากรสาธารณะ” ซึ่งหมายถึงทรัพยากรที่พลเมืองทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ โดยไม่จำเป็นจะต้องตั้งใจเลือกหรือมีส่วนสร้างสรรค์ทรัพยากรนั้นโดยทางใดทางหนึ่ง
และกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “เราจำเป็นจะต้องคิดถึงการต่อสู้ความยากจน การส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคง ความห่วงใยต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และการควบคุมโรค ซึ่งหลักการว่าด้วยทรัพยากรเพื่อประโยชน์ร่วมกันยังสามารถนำไปสู่แนวทางที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการท้าทายความยากจน โดยเฉพาะเมื่อเราคำนึงถึงความยากจนข้นแค้นซึ่งเป็นสภาพการดำรงชีวิตของประชากรเรือนล้าน”
สารฉบับนี้กล่าวไว้ว่า ในช่วงเริ่มต้นของสหัสวรรษใหม่นี้ ประชาคมระหว่างประเทศได้กำหนดวาระเร่งด่วนที่จะลดจำนวนประชากรที่ยากจนเหล่านี้ลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2015 และพระศาสนจักรสนับสนุนและให้กำลังใจความมุ่งมั่นในการลดความยากจน และเชื้อเชิญทุกคนและทุกภาคส่วนให้ “เลือกรักคนยากจน”
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 ยังคงกังวลต่อปัญหาความยากจนและหนี้สินของประเทศยากจนทั้งหลาย และชี้ให้เห็นว่า ประเทศยากจนยังคงติดกับอยู่ในวัฏจักรชั่วร้าย ซึ่งวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่แท้จริงในการช่วยประเทศให้จัดการกับปัญหาความยากจน คือ การจัดหาทรัพยากรที่จำเป็นโดยการให้เงินช่วยเหลือระหว่างประเทศ ทั้งในภาครัฐและเอกชน และสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วน คือการระดมพลังทางศีลธรรมและเศรษฐกิจ และที่สำคัญการริเริ่มทุกอย่างจะต้องดำเนินไปด้วยจิตตารมณ์ของการแบ่งปันอย่างแท้จริง โดยการเคารพหลักการการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
สารฉบับปี 2005 ย้ำอย่างชัดเจนว่า “มนุษย์ทุกคนสามารถเอาชนะความชั่วร้ายด้วยความดีได้” สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 ทรงให้กำลังใจเราทุกคนให้มีความหวังในความยุติธรรมและสันติ ถึงแม้เราแต่ละคนจะมีบาปส่วนตัวหรือมีบาปในของสังคม แต่ความหวังยังคงช่วยกระตุ้นความมุ่งมั่นต่อความยุติธรรมและสันติอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความเชื่อมั่นแน่วแน่ว่า “การสร้างโลกที่ดีกว่า” เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แม้ว่า “ความไม่เสมอภาคที่ยากจะเข้าใจ” ยังคงดำรงอยู่ในโลกก็ตาม
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 เรียกร้องบรรดาคริสตชนไว้ในสารฉบับนี้ว่า คริสตชนจะต้องแสดงในการดำเนินชีวิตว่า “ความรัก” เป็นพลังประการเดียวที่สามารถนำมนุษย์แต่ละคนและสังคมมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์พร้อมได้ และ “ความรัก” เป็นพลังเพียงประการเดียวที่สามารถชี้นำประวัติศาสตร์ไปสู่หนทางแห่งความดีและสันติภาพ
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 กล่าวไว้ในย่อหน้าท้ายๆ ของสารปี 2005 ว่า ไม่มีชายหญิงคนใดสามารถทอดทิ้งการต่อสู้เพื่อพิชิตความชั่วร้ายด้วยความดี ซึ่งการต่อสู้นี้จะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพก็ด้วย “อาวุธแห่งความรัก” เท่านั้น
และระบุไว้ว่า “เมื่อความดีเอาชนะความชั่วร้าย ความรักจะดำรงอยู่ และที่ใดที่มีความรัก ที่นั่นก็มีสันติภาพ”
| เขียนความคิดเห็น (2 ความคิดเห็น) |
|
สาระสำคัญของสารวันสันติภาพสากล ปี 2004/2547 : การสอนสันติภาพ เป็นภารกิจสำคัญในยุคสมัยนี้ |
|
Friday, 19 May 2006 |
สาระสำคัญของสารวันสันติภาพสากล ของสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ 2 1 มกราคม 2004/2547 การสอนสันติภาพ เป็นภารกิจสำคัญในยุคสมัยนี้
| 25 ปีในตำแหน่งพระสันตะปาปา เป็นช่วงเวลาแห่งการทำงานเพื่อสร้างสันติภาพและเรียกร้องให้มวลมนุษย์สร้างความดีงามพื้นฐานแก่กันและกัน
ในปัจจุบันมนุษยชาติมีความจำเป็นมากขึ้นที่จะแสวงหาเส้นทางแห่งความสมัครสมานไมตรี ซึ่งถูกครอบงำด้วยความเห็นแก่ตัวและความเกลียดชัง เพราะความกระหายในอำนาจและกิเลสของการแก้แค้น
สารฉบับปี 2004 นี้ สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 ทรงกล่าวรำลึกถึงสมเด็จพระสันตะปาปา พอล ที่ 6 ซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นและปรารถนาเฉลิมฉลองวันที่ 1 เดือนมกราคมของทุกปี ให้เป็นวันสากลแห่งการภาวนาเพื่อสันติภาพ และยังทรงได้กำหนด “ศาสตร์แห่งสันติภาพ” ที่แท้จริง และมีสารวันสันติภาพสากลจำนวน 11 ฉบับของสมเด็จพระสันตะปาปา พอล ที่ 6 ที่ทรงมีถึงโลกมนุษย์ และทรงปูเส้นทางอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อบรรลุถึงสันติภาพที่เราใฝ่ฝัน
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 กล่าวไว้ในสารฉบับนี้ว่า สารของสมเด็จพระสันตะปาปา พอล ที่ 6 เป็นคล้ายกับ “คำเตือนของประกาศก” โดยเฉพาะในเรื่องโศกนาฏกรรมแห่งสงครามที่เริ่มต้นในช่วงสหัสวรรษที่ 3
ตลอดระยะเวลา 25 ปีในตำแหน่งสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 พระองค์ยังคงมุ่งไปตามเส้นทางแห่งสันติภาพ และพระองค์ใฝ่ฝันถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ในระยะเวลาที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 ทรงเรียกร้องและชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างสันติภาพ เพราะมนุษย์ทั้งชายและหญิงที่ต้องเผชิญหน้ากับโศกนาฏกรรมที่ยังคงทำร้ายมนุษยชาตินั้น ทำให้มนุษย์มีแนวโน้มที่จะยอมแพ้ต่อโชคชะตาและดูเหมือนว่าสันติภาพเป็นความใฝ่ฝันที่ไม่อาจเป็นจริงได้
สารฉบับปี 2004 ยังคงเน้นอย่างชัดเจนว่า “สันติภาพเป็นไปได้” และ “พระศาสนจักรไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยที่จะกล่าวซ้ำว่าสันติภาพเป็นหน้าที่” สันติภาพจะต้องสร้างบนเสาหลักสี่ประการ ที่บุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23 ได้กล่าวถึงในสมณสาสน์ของพระองค์ที่ชื่อ “สันติบนแผ่นดิน” คือ สัจธรรม ความยุติธรรม ความรัก และเสรีภาพ เพราะฉะนั้น หน้าที่ที่เราทุกคนที่รักสันติภาพได้รับ คือการสอนอุดมคติเรื่องสันติภาพแก่ชนรุ่นใหม่ เพื่อเตรียมอนาคตที่ดีกว่าสำหรับมนุษยชาติ
ในช่วงเวลาที่สมณสาสน์ฉบับนี้เกิดขึ้น เป็นช่วงเวลาของสงครามในหลายสถานที่ และหลายฝ่ายกล่าวว่าองค์การสหประชาชาติเป็นเหมือนองค์การที่ขาดประสิทธิภาพในการระงับความขัดแย้ง แต่สมณสาสน์ฉบับนี้ระบุให้เห็นอีกแง่หนึ่งว่า แม้องค์การสหประชาชาติจะมีข้อจำกัดและความล่าช้าในการทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความล้มเหลวของบรรดาประเทศสมาชิก แต่องค์การสหประชาชาติก็มีคุณูปการต่อการส่งเสริมการเคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์ เสรีภาพของประชาชาติและข้อเรียกร้องของการพัฒนาก่อให้เกิดการเตรียมเนื้อหาแห่งวัฒนธรรมและสถาบันเพื่อการสร้างสันติภาพ
สารฉบับปี 2004 กังวลต่อความรุนแรงจากการก่อการร้าย ซึ่งหายนะของการก่อการร้ายเกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านไป การก่อการร้ายได้ก่อให้เกิดการสังหารอย่างเหี้ยมโหด และเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงต่อการเสวนาและการเจรจา และก่อให้เกิดความตึงเครียดและปัญหาที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 ระบุไว้ในสารฉบับนี้ว่า “เพื่อเอาชนะการต่อสู้ การก่อการร้าย มิใช่จะต้องทำการตอบโต้ด้วยความรุนแรง แม้มีความจำเป็นก็ตาม แต่จะต้องเกิดจากการวิเคราะห์อย่างกล้าหาญและโปร่งใสต่อเหตุผลเบื้องหลังของการโจมตีของผู้ก่อการร้าย”
สารฉบับนี้ระบุว่า “การต่อสู้กับการก่อการร้ายจะต้องดำเนินการในระดับการเมืองและการศึกษาด้วยในด้านหนึ่ง โดยการขจัดสาเหตุของสภาพความอยุติธรรม ซึ่งมักจะทำให้ประชาชนสิ้นหวังและลงมือปฏิบัติด้วยความรุนแรง และในอีกด้านหนึ่งนั้น ความเป็นหนึ่งเดียวกันของเผ่าพันธุ์มนุษยชาติเป็นสภาพความเป็นจริงที่มีพลังมากกว่าการแบ่งแยกของปัจเจกบุคคลและประชาชน”
และชี้ให้เราเห็นว่า “ในการต่อสู้กับการก่อการร้ายที่จำเป็นนั้น ต้องมีการเรียกร้องให้มีการปรับปรุงกฎหมายระหว่างประเทศโดยการพัฒนาเครื่องมือทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน การติดตามผลและการปราบปรามอาชญากรรมไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม รัฐบาลประชาธิปไตยรู้ดีว่าการใช้กำลังต่อผู้ก่อการร้ายไม่อาจสร้างความชอบธรรมให้กับการละทิ้งหลักการของการใช้กฎหมายการตัดสินใจทางการเมือง อาจเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ หากเป็นการมุ่งแสวงหาความสำเร็จที่ไม่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เนื่องจากเป้าหมายไม่อาจสร้างความชอบธรรมให้กับวิธีการได้”
สารฉบับปี 2004 ระบุไว้ว่า การสร้างสันติภาพไม่อาจแยกขาดจากการเคารพระเบียบทางจริยธรรมและกฎหมาย และชี้อย่างตรงไปตรงมาว่า กฎหมายระหว่างประเทศจะต้องสร้างหลักประกันว่าจะไม่มีกฎหมายของผู้มีอำนาจมากกว่า วัตถุประสงค์สำคัญคือการแทนที่กำลังอาวุธด้วย “พลังทางศีลธรรมแห่งกฎหมาย”
สำหรับคริสตชนสารฉบับนี้กล่าวไว้ว่า คำสอนของพระศาสนจักรในรอบหลายศตวรรษได้มีคุณูปการที่สำคัญในการกำหนดกฎหมายระหว่างประเทศให้มุ่งไปสู่ความดีส่วนรวมของครอบครัวมนุษยชาติ โดยเฉพาะในระยะเวลาช่วงหลัง สมเด็จพระสันตะปาปาหลายพระองค์ไม่ลังเลในการที่จะเน้นความสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ ในฐานะคำมั่นสัญญาต่อสันติภาพ ด้วยความเชื่อมั่นว่า “การเก็บเกี่ยวความยุติธรรมนั้น เกิดจากการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งสันติภาพโดยผู้สร้างสันติภาพ” นี่คือหนทางที่พระศาสนจักร ได้อุทิศตนเพื่อปฏิบัติด้วยวิธีการที่เหมาะสมและด้วยแสงสว่างแห่งพระวรสาร และความช่วยเหลือที่ขาดไม่ได้ของการภาวนา
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 ทรงสรุปไว้ในสารฉบับนี้ว่า “ในการสร้างสันติภาพที่แท้จริงในโลกนั้น ความยุติธรรมจะต้องเกิดขึ้นด้วยเมตตาธรรม แต่เราไม่อาจไปถึงเป้าหมายของสันติภาพได้ หากความยุติธรรมไม่ได้รับการหนุนเสริมด้วยความรัก... ประสบการณ์ในประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า ความยุติธรรมมักไม่อาจปลดปล่อยตนเองจากความอาฆาต ความเกลียดชังและความโหดเหี้ยม ความยุติธรรมไม่เพียงพอ ความยุติธรรมอาจทรยศต่อตัวเอง นอกเสียจากว่าความยุติธรรมจะเปิดรับพลังที่ลึกซึ้งกว่า นั่นคือความรัก”
สารฉบับนี้ยังระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “การให้อภัยเป็นความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาของปัจเจกบุคคลและประชาชาติ จะไม่มีสันติภาพหากปราศจากการให้อภัย” และชี้ให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเนื่องในดินแดนปาเลสไตน์และตะวันออกกลาง จะประสบผลสำเร็จได้ต้องก้าวข้ามตรรกะของความยุติธรรมและเปิดออกสู่ตรรกะแห่ง “การให้อภัย”
ในย่อหน้าท้ายสุดของสารปี 2004 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 ทรงระบุไว้ว่า “ความรักเอาชนะทุกอย่าง” และมนุษยชาติเท่านั้นที่จะมี “อารยธรรมแห่งความรัก” ซึ่งจะสามารถชื่นชมกับสันติภาพที่แท้จริงและถาวร
| เขียนความคิดเห็น (0 ความคิดเห็น) |
|
สาระสำคัญของสารวันสันติ ปี 2003/2546 : สันติบนแผ่นดิน : การอุทิศตนทั้งชีวิต เพื่อสร้างสันติบนแผ่นดิน |
|
Friday, 19 May 2006 |
สาระสำคัญของสารวันสันติภาพสากล ของสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ 2 1 มกราคม 2003/2546 สันติบนแผ่นดิน : การอุทิศตนทั้งชีวิต เพื่อสร้างสันติบนแผ่นดิน
| สารฉบับปี 2003 เป็นการระลึกถึง 40 ปี ของพระสมณสาสน์ “สันติบนแผ่นดิน” ที่ออกโดยสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23 ในวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ที่ 11 เมษายน 1963 ซึ่งพระองค์ทรงส่งสารนี้ถึง “ผู้มีน้ำใจดีทุกคน” โดยพระองค์สิ้นพระชนม์หลังจากออกสมณสาสน์ “สันติบนแผ่นดิน” ได้เพียง 2 เดือน
สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23 ทรงสรุปสารเกี่ยวกับ “สันติบนแผ่นดิน” ไว้ในประโยคแรกของพระสมณสาสน์ว่า “สันติบนแผ่นดิน ซึ่งมนุษย์ทั้งมวลทุกยุคทุกสมัยใฝ่หาอย่างยิ่งนั้น สามารถสร้างขึ้นได้และดำรงไว้อย่างมั่นคง หากเพียงมีการปฏิบัติอย่างซื่อสัตย์ตามระเบียบที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้”
สถานการณ์โลกในช่วงที่สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23 ทรงมีสารถึงในขณะนั้น อยู่ในภาวะที่ไร้ระเบียบเป็นอย่างมาก ศตวรรษที่ 20 เริ่มต้นด้วยความหวังว่า จะเกิดความเจริญก้าวหน้า แต่ภายในช่วงเวลา 60 ปีของศตวรรษเดียวกันกลับมีสงครามโลกเกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง นอกจากนั้นยังเกิดระบบเผด็จการล้างผลาญ เกิดความทุกข์ยากสุดพรรณาแก่มวลมนุษย์และเกิดการเบียดเบียนพระศาสนจักรครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ในปี 1961 เพียงสองปีก่อนที่พระสมณสาสน์ “สันติบนแผ่นดิน” จะออกมา มีการสร้างกำแพงเบอร์ลินขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะแยกเมืองนี้ออกเป็น 2 ส่วนที่เป็นปรปักษ์ต่อกันเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดการสร้างสังคมในโลก 2 วิธีด้วยกันอีกด้วย และกำแพงเบอร์ลินได้ปิดกั้นมนุษยชาติทั้งมวลในแง่โลกทัศน์และชีวิตจริง ทั้งยังสอดแทรกเข้าไปในจิตใจและความคิดของประชาชน สร้างความแตกแยกที่ดูเหมือนว่าจะดำรงอยู่ตลอดไป
นอกจากนั้น เพียง 6 เดือนก่อนที่พระสมณสาสน์ฉบับดังกล่าวจะออกมา และเมื่อสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 เปิดอย่างเป็นทางการที่กรุงโรมนั้น โลกก็ต้องเสี่ยงกับสงครามนิวเคลียร์เพราะวิกฤติการขนส่งจรวดไปคิวบา และดูเหมือนว่า หนทางไปสู่โลกแห่งสันติภาพ ความยุติธรรม และเสรีภาพ จะถูกปิดกั้นจนหมดสิ้น โดยมีหลายคนในเวลานั้นเชื่อว่า มนุษยชาติถูกกำหนดให้ต้องมีชีวิตภายใต้อันตรายที่จะเกิดสงครามเย็นตลอดไป
สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23 ไม่เห็นด้วยกับผู้ที่อ้างว่า “สันติภาพเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” และพระองค์ทรงกล่าวถึงเงื่อนไข 4 ประการ ที่จำเป็นสำหรับจิตวิญญาณของมนุษย์ในการสร้างสันติภาพ นั่นคือ “สัจธรรม ความยุติธรรม ความรัก และเสรีภาพ”
สัจธรรม จะสร้างสันติภาพได้หากมนุษย์แต่ละคนไม่เพียงแต่รับรู้สิทธิของตนอย่างจริงใจเท่านั้น แต่ยังรับรู้ถึงหน้าที่ของตนต่อผู้อื่นด้วย
ความยุติธรรม จะสร้างสันติภาพได้ หากมนุษย์แต่ละคนเคารพสิทธิและปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อผู้อื่นในชีวิตประจำวัน
ความรัก จะสร้างสันติภาพได้ หากประชาชนยึดถือความต้องการของผู้อื่นดังเป็นความต้องการของตน และแบ่งปันสิ่งที่ตนมีแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะคุณค่าทางความดีและจิตวิญญาณที่พวกตนมี
ส่วน เสรีภาพ จะสร้างสันติภาพและเจริญงอกงามยิ่งขึ้น หากในการเลือกวิธีการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวนั้น มนุษย์ปฏิบัติตามเหตุผลและรับผิดชอบต่อการกระทำของตน
ช่วงเวลาของสมณสาสน์ “สันติบนแผ่นดิน” เป็นช่วงเวลาที่เกิดสงครามและมีข่าวลือเกี่ยวกับสงคราม แต่ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในกิจการของมนุษย์ ซึ่งสำหรับสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23 พระองค์ทรงมองว่า “เป็นการเริ่มต้นที่ให้ความหวังของการปฏิวัติชีวิตฝ่ายจิต”
แม้สถานการณ์ในช่วงเวลานั้นจะยุ่งเหยิง แต่สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23 ทรงเชื่อมั่นว่า โลกกำลังสำนึกถึงคุณค่าทางจิตใจบางประการมากยิ่งขึ้น และสิ่งสำคัญคือโลกและผู้คนกำลังเปิดใจต่อความหมายของ “เสาหลักแห่งสันติภาพ” คือ สัจธรรม ความยุติธรรม ความรัก และเสรีภาพ เพิ่มมากขึ้น
สัจธรรมเที่ยงแท้ประการหนึ่ง ซึ่งพระสมณสาสน์ “สันติบนแผ่นดิน” ได้สอนไว้ ก็คือ สันติภาพที่ถูกต้อง ไม่สามารถแยกออกจากประเด็นทางศีลธรรมได้ และเรื่องของสันติภาพนั้น ไม่อาจแยกออกจากประเด็นศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชนได้ ซึ่งสัจธรรมประการนี้ ทำให้เราใช้โอกาสนี้เพื่อรำลึกถึงและไตร่ตรองในวาระครบรอบ 40 ปี ของพระสมณสาสน์ “สันติบนแผ่นดิน”
สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23 ทรงเชื่อมั่นว่า ความดีงามสามารถพบได้ในมนุษย์แต่ละคน และพระองค์ทรงเรียกร้องชาวโลกทั้งผองให้เห็นถึงความจำเป็นที่การเมืองและผู้มีอำนาจจะต้องมีวิสัยทัศน์ที่สูงส่งมากยิ่งขึ้น และพระองค์ได้ทรงท้าทายโลกอย่างเด็ดเดี่ยวให้คิดถึงอนาคตที่อยู่ข้างหน้า แทนการคำนึงถึงภาวะความยุ่งเหยิงในโลกปัจจุบัน และให้มุ่งแสวงหาระเบียบระหว่างประเทศรูปแบบใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับศักดิ์ศรีมนุษย์
สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23 ทรงคัดค้านผู้ที่มีความเห็นว่า การเมืองจะต้องถูกแยกออกจากศีลธรรมและจะเกี่ยวข้องเฉพาะผลประโยชน์ของพรรคพวกเท่านั้น โดยพระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า “มนุษยชาติถูกสร้างขึ้นมาโดยมีความสามารถที่จะเลือกกระทำตามกฎศีลธรรม จึงไม่มีกิจการใดๆ ของมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นนอกขอบเขตการวินิฉัยทางศีลธรรมได้”
สารฉบับนี้จึงระบุอย่างชัดเจนว่า “ในเมื่อการเมืองเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ ฉะนั้น การเมืองต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบทางศีลธรรมโดยเฉพาะ ซึ่งประเด็นนี้รวมไปถึงการเมืองระหว่างประเทศด้วย”
สารปี 2003 กล่าวไว้ว่า สันติภาพไม่ใช่เรื่องของ “โครงสร้าง” แต่เป็นเรื่องของ “ประชาชน” โครงสร้างและกลไกบางอย่างของสันติภาพ เช่น นิติบัญญัติ การเมือง เศรษฐกิจ เป็นสิ่งจำเป็น และมีอยู่แล้ว โครงสร้างและกลไกเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากอะไรอื่น แต่เกิดจากภูมิปัญญาและประสบการณ์ในการแสดงถึงท่าทีแห่งสันติภาพ
สารฉบับนี้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ศาสนามีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการแสดงท่าทีแห่งสันติภาพ และในการสร้างเงื่อนไขเพื่อนำไปสู่สันติภาพ ศาสนาสามารถแสดงบทบาทของตนอย่างมีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น หากศาสนาเน้นสิ่งที่เหมาะสมกับสันติภาพ นั่นคือ การใส่ใจต่อพระเจ้า การส่งเสริมภราดรภาพสากลและการเผยแพร่วัฒนธรรมสมานฉันท์ของมนุษย์”
สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ 2 กล่าวถึงบุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23 ไว้ว่า ทรงเป็นบุคคลที่ไม่เกรงกลัวอนาคต แม้ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนว่าจะมีความขัดแย้งถาวร พระองค์ก็ไม่ทรงลังเลที่จะกระตุ้นผู้นำในยุคสมัยของพระองค์ให้ยึดถือวิสัยทัศน์ใหม่เกี่ยวกับโลก และนี่คือ มรดกที่สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23 ทรงมอบไว้ให้แก่เรา
สมณสาสน์ “สันติบนแผ่นดิน” ระบุไว้ว่า “หน้าที่อันยิ่งใหญ่” ของมนุษย์ทั้งชายหญิงทุกคน คือ “การสร้างสายสัมพันธ์ใหม่ในสังคมมนุษย์ ตามแนวทางสัจธรรม ความยุตธรรม ความรัก และเสรีภาพ” ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23 ทรงระบุว่าพระองค์หมายถึง “ความสัมพันธ์ระหว่างพลเมืองแต่ละคน ระหว่างพลเมืองและรัฐของตน ระหว่างรัฐประเทศและระหว่างมนุษย์แต่ละคน ครอบครัว องค์กร และรัฐฝ่ายหนึ่งกับประชาคมโลกอีกฝ่ายหนึ่ง” และทรงสรุปว่าภาพที่แท้จริงตามระเบียบที่พระเจ้าทรงกำหนด คือ หน้าที่อันสูงส่งที่สุด
สารฉบับปี 2003 นับเป็นวาระเพื่อเฉลิมฉลอง 40 ปี ของพระสมณสาสน์ “สันติบนแผ่นดิน” และสิ่งสำคัญคือเป็นโอกาสอันเหมาะสมที่จะหันกลับไปใส่ใจต่อคำสอนของสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23 ที่มีลักษณะเป็นประกาศก พร้อมกันนั้นเราต้องเปิดกว้างต้อนรับทุกคนที่มีใจปรารถนา “ที่จะทำลายอุปสรรคที่แบ่งแยกพวกเขา เสริมสร้างสายสัมพันธ์แห่งความรักระหว่างกัน เพื่อเรียนรู้ที่จะเข้าใจกันและกัน และเพื่อให้อภัยผู้ที่กระทำผิดต่อตน”
และสิ่งที่สำคัญที่สุดในสารฉบับปี 2003 ก็คือ ให้ประชากรทุกหนแห่งในโลกนี้สร้างโลกแห่งสันติภาพที่เข้มแข็ง บนรากฐานของ “เสาหลัก 4 ประการ” ที่บุญราศีพระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23 ได้ทรงระบุได้ในพระสมณสาสน์ฉบับประวัติศาสตร์ของพระองค์ คือ สัจธรรม ความยุติธรรม ความรัก และเสรีภาพ
| เขียนความคิดเห็น (0 ความคิดเห็น) |
|
สาระ ปี 2002/2545 : ไม่มีสันติภาพ หากปราศจากความยุติธรรม และจะไม่มีความยุติธรรม หากปราศจากการให้อภัย |
|
Friday, 19 May 2006 |
สาระสำคัญของสารวันสันติภาพสากล ของสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ 2 1 มกราคม 2002/2545 ไม่มีสันติภาพ หากปราศจากความยุติธรรม และจะไม่มีความยุติธรรม หากปราศจากการให้อภัย
| ปี 2002 เป็นการเฉลิมฉลองวันสันติภาพสากลท่ามกลางเงามืดจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ซึ่งในวันนั้นมีการประกอบอาชญากรรมอันโหดร้าย ชั่วเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ชั่วโมง ประชาชนคนธรรมดาๆ หลากหลายสัญชาติจำนวนนับพันถูกสังหาร
นับจากนั้นเป็นต้นมา ประชาชนทั่วโลกต่างเริ่มรู้สึกว่าตนเองไม่ปลอดภัย และหวาดกลัวต่ออนาคตของตน
สถานการณ์ในช่วงเวลานั้น การพูดถึงความยุติธรรมและการให้อภัยในฐานะที่เป็นบ่อเกิดและเงื่อนไขในการสร้างสันติภาพดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 ชี้ให้เห็นว่า “เราสามารถทำได้ และเราต้องทำ ไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดก็ตาม”
ความรุนแรงของสถานการณ์โลก ทำให้หลายคนคิดว่าความยุติธรรมและการให้อภัยเป็นสิ่งที่หวังไม่ได้อีกต่อไป แต่สารฉบับนี้บอกว่า “การให้อภัยเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความขมขื่น และการผูกพยาบาทแก้แค้น สันติภาพเที่ยงแท้คือ ผลที่เกิดจากความยุติธรรม”
แต่เนื่องจากความยุติธรรมของมนุษย์มักจะเปราะบางไม่สมบูรณ์ มีขีดจำกัด และความเห็นแก่ตัวของมนุษย์แต่ละคนแต่ละกลุ่ม เพราะฉะนั้น ความยุติธรรมที่สมบูรณ์จึงต้องประกอบไปด้วย “การให้อภัย” ซึ่งจะช่วยสมานแผลให้หายสนิทและฟื้นฟูความสัมพันธ์อันร้าวฉานของมนุษย์ให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างจริงจัง การให้อภัยไม่มีทางที่จะขัดแย้งกับความยุติธรรมได้ และความยุติธรรมที่สมบูรณ์นำไปสู่ความสงบแห่งความสมดุลย์ ซึ่งเป็นสภาพที่มากกว่าเพียงแค่สภาวะเปราะบางชั่วคราวของการสิ้นสุดความเป็นปรปักษ์เท่านั้น ความสงบแห่งความสมดุลย์จะช่วยทำการสมานแผลกลัดหนองในจิตใจมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง
ฉะนั้น ความยุติธรรมและการให้อภัย จึงเป็นคุณธรรมที่จำเป็นต่อการสมานแผลดังกล่าว
ในสารฉบับนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 กล่าวถึงสันติภาพจากมิติ 2 ด้าน คือ ความยุติธรรมและการให้อภัย และกล่าวถึงปัญหาสำคัญเรื่องหนึ่งก็คือ ปัญหาความรุนแรงในระดับใหม่ที่กระทำโดยขบวนการก่อการร้าย
ซึ่งพระองค์กล่าวไว้ว่า การก่อการร้ายเกิดจากความเกลียดชัง และก่อให้เกิดการโดดเดี่ยว ความไม่ไว้วางใจ และการปิดตัวเอง ความรุนแรงทวีขึ้นในเหตุการณ์ที่ต่อเนื่อง ทำให้คนรุ่นต่อๆ มายิ่งโกรธแค้นมากขึ้น แต่คนรับมรดกแห่งความเกลียดชัง และการก่อการร้ายถือเป็น “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติทั้งมวลเลยทีเดียว” เพราะขบวนการนี้ หันไปยึดถือการก่อการร้ายเป็นเครื่องมือทางการเมืองและการทหารด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม สารฉบับนี้บอกไว้อย่างชัดเจนว่า “เราต้องยืนยันอย่างหนักแน่นว่าความ อยุติธรรมที่ดำรงอยู่ในโลกจะต้องไม่ถูกนำไปใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการก่อการร้าย และต้องย้ำว่าเหยื่อของการทำลายล้างอันรุนแรง ซึ่งเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายนั้น คือประชาชนหญิงชายหลายล้านคนในประเทศที่กำลังพัฒนา ผู้ซึ่งต้องดำรงชีวิตอย่างแร้นแค้นและได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากความสับสนอลหม่านทางเศรษฐกิจและการเมืองของโลกอยู่แล้ว เขาเหล่านั้นจึงไม่สมควรที่จะต้องทนรับสภาพล่มสลายของความสมานฉันท์ระหว่างประเทศอีก ดังนั้น การที่ผู้ก่อการร้ายอ้างว่าพวกตนกระทำการในนามของคนยากจนจึงเป็นคำอ้างที่ฟังไม่ขึ้น”
สารฉบับนี้ระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า “อย่าฆ่าคนในนามของพระเป็นเจ้า” ผู้ที่สังหารผู้อื่นด้วยการก่อการร้ายเป็นผู้ที่สิ้นหวังในมนุษยชาติ ชีวิต และอนาคต ในสายตาของพวกเขาทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องได้รับการเกลียดชัง และจะต้องถูกทำลาย และการก่อการร้ายมักจะเป็นผลของลัทธิคลั่งศาสนาที่เกิดจากความเชื่อมั่นที่ว่าวิสัยทัศน์เกี่ยวกับสัจธรรมของบุคคลคนหนึ่งจะต้องนำไปยัดเยียดให้กับผู้อื่นด้วย
ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 บอกไว้ว่า “เราไม่สามารถยัดเยียดสัจธรรมให้แก่กันและกันได้ ซึ่งการพยายามยัดเยียดสิ่งที่เราถือว่าเป็นสัจธรรมให้แก่ผู้อื่นด้วยวิธีการรุนแรงถือได้ว่า เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีของมนุษย์ และในที่สุดก็เท่ากับเป็นการล่วงละเมิดต่อพระเป็นเจ้าด้วย”
สารยังกล่าวไว้อีกว่า “การก่อการร้ายไม่เพียงเอารัดเอาเปรียบมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเอารัดเอาเปรียบพระเป็นเจ้าด้วย การก่อการร้ายจบลงด้วยการทำให้พระเจ้าเป็นเพียงแค่ “เทวรูป” ที่พวกเขาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ของตนเองเท่านั้น”
และสารฉบับนี้ยังระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่มีผู้นำทางศาสนาคนใดที่อาจเห็นดีเห็นงามกับการก่อการร้ายได้ และไม่อาจเทศน์สอนได้ การประกาศว่าตนเป็นผู้ก่อการร้ายในนามของพระเจ้า และกระทำความรุนแรงต่อผู้อื่นในนามของพระองค์ เป็นการบิดเบือนศาสนาอย่างผิดเพี้ยนโดยสิ้นเชิง”
เนื้อหาของสารฉบับนี้แม้จะมีการประณามการก่อการร้าย แต่สารฉบับนี้ก็ได้เรียกร้องถึง “การให้อภัย” และเป็นเหมือนเนื้อหาหลักของสารฉบับนี้ด้วย โดยระบุไว้ว่า “ครอบครัว กลุ่มสังคม รัฐ และประชาคมระหว่างประเทศ ต้องการการให้อภัยเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ถูกบั่นทอนลงไป และก้าวข้ามจากสถานการณ์แห่งการร่วมประณามซึ่งมิก่อให้เกิดผลดีแต่อย่างใด ซึ่งความสามารถที่จะให้อภัย ตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวคิดเกี่ยวกับสังคมในอนาคตที่มีความยุติธรรมและความสมานฉันท์”
ในทางตรงกันข้าม การไม่สามารถให้อภัย โดยเฉพาะเมื่อมันทำให้ความขัดแย้งยืดยาวออกไปนั้น สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในแง่การพัฒนามนุษย์ มีการใช้ทรัพยากรเพื่อสร้างอาวุธ แทนที่จะใช้เพื่อการพัฒนา สันติภาพและความยุติธรรม กลับจะเกิดความทุกข์ยากต่อมนุษยชาติหากเราไม่สามารถคืนดีกัน เพราะฉะนั้นสันติภาพเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนา แต่สันติภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการให้อภัยเท่านั้น
สารฉบับนี้ยังเตือนไว้อีกว่า “การให้อภัยมักจะต้องยอมสูญเสียบางอย่างที่เห็นได้ชัดในระยะสั้น เพื่อจะได้รับประโยชน์ในระยะยาวอย่างแท้จริง แต่ถ้าหากเราใช้ความรุนแรงเพื่อประโยชน์ในระยะสั้น มันก็จะก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างถาวรในระยะยาว” และกล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า “การให้อภัยดูเหมือนจะเป็นความอ่อนแอ แต่กลับต้องใช้ความเข้มแข็งทางจิตใจอย่างใหญ่หลวง รวมทั้งความกล้าหาญทางศีลธรรมด้วย ดูเหมือนว่าการให้อภัยจะทำให้เราสูญเสีย แต่แท้ที่จริงแล้ว การให้อภัยจะทำให้เราบรรลุความเป็นมนุษยชาติที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น”
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 ยืนยันอย่างหนักแน่นในช่วงเวลานั้นว่า “จะต้องมีการให้อภัย” แม้ว่าจะยังดูห่างไกลอยู่มากก็ตาม
รวมทั้งสารฉบับนี้ยังกล่าวถึงปัญหาในตะวันออกกลาง ความขัดแย้งระหว่างอาหรับและอิสราเอล ซึ่งปัญหาดังกล่าวดำเนินมากว่า 50 ปีแล้ว โดยพระองค์ทรงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องหันมาทำงานเพื่อยุคสมัยใหม่แห่งการเคารพกันและกันและตกลงกันอย่างสร้างสรรค์
นอกจากนี้ พระองค์ยังเชื่อมั่นว่าศาสนาสามารถมีส่วนในการสร้างคุณูปการให้แก่สันติภาพในโลกได้ และกล่าวไว้ว่า “ผู้นำศาสนายิว คริสต์ และอิสลาม จะต้องทำการประณามการก่อการร้ายอย่างเปิดเผยและปฏิเสธที่จะให้ความชอบธรรมทางศาสนาหรือศีลธรรมใดๆ แก่ผู้ก่อการร้าย และศาสนาต่างๆ ต้องดำเนินอยู่บนหนทางแห่งการให้อภัย ซึ่งเป็นหนทางไปสู่ความเข้าใจ การเคารพ และความเชื่อใจกันและกัน”
สารฉบับนี้ย้ำไว้ในย่อหน้าท้ายๆ ตลอดเวลาว่า “ไม่มีสันติภาพหากไม่มีความยุติธรรม และจะไม่มีความยุติธรรม หากไม่มีการให้อภัย” และสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 ทรงกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “ข้าพเจ้าจะไม่มีวันเหนื่อยหน่ายที่จะกล่าวคำเตือนนี้ซ้ำอีกให้แก่ผู้ที่ยังมีความรู้สึกเกลียดชัง ความต้องการที่จะแก้แค้นหรือความต้องการที่จะทำลายด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งก็ตาม”
และในช่วงเวลาแห่งความยุ่งยากที่เกิดขึ้นนี้ สารจบลงไว้ด้วยข้อความว่า “สันติภาพที่แท้จริงต้องเกิดจากการประสานความยุติธรรมและเมตตาธรรมเข้าด้วยกัน”
| เขียนความคิดเห็น (0 ความคิดเห็น) |
|
สาระสำคัญของสาร ปี 2001/2544 : การเสวนาระหว่างวัฒนธรรม เพื่อการสร้างอารยธรรมแห่งความรักและสันติภาพ |
|
Friday, 19 May 2006 |
สาระสำคัญของสารวันสันติภาพสากล ของสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ 2 1 มกราคม 2001/2544 การเสวนาระหว่างวัฒนธรรม เพื่อการสร้างอารยธรรมแห่งความรักและสันติภาพ
| สารปี 2001 เป็นการเริ่มต้นสหัสวรรษใหม่ และเป็นการมุ่งหวังมากขึ้นว่าความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนจะยิ่งได้รับแรงบันดาลใจเพิ่มมากขึ้นจากความใฝ่ฝันถึงภราดรภาพสากลที่แท้จริง
และในปี 2001 นี้ องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้เป็น “ปีสากลแห่งการเสวนาระหว่างอารยธรรม” ด้วย และสารฉบับนี้ชวนให้เราไตร่ตรองพิจารณาหัวข้อว่าด้วยการเสวนาระหว่างวัฒนธรรมและประเพณี ซึ่งการเสวนาที่ว่านี้เป็นวิถีทางที่จำเป็นต่อการสร้างโลกที่มนุษย์คืนดีกัน เป็นโลกที่สามารถมุ่งสู่อนาคตได้อย่างปลอดโปร่งและถาวรมั่นคงด้วยสันติภาพ
สารฉบับนี้ แม้จะมีความหวังถึงสันติภาพที่แท้จริง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีเมฆหมอกหนาทึบมาบดบังความหวังไว้ เพราะมนุษยชาติกำลังเริ่มต้นประวัติศาสตร์บทใหม่ด้วยบาดแผลใหญ่ๆ หลายๆ ภูมิภาคยังถูกรุมเร้าด้วยความขัดแย้งที่ขมขื่นถึงขนาดหลั่งเลือด และต่างก็ยังดิ้นรนด้วยความยากลำบากมากยิ่งขึ้นที่จะรักษาความสมานฉันท์ระหว่างประชาชนต่างวัฒนธรรมและอารยธรรม ที่อาศัยอยู่ในดินแดนเดียวกัน
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 บอกไว้ในสารฉบับนี้ว่า “เราทุกคนรู้ว่าเป็นการยากเหลือเกินที่จะขจัดความแตกต่างระหว่างฝ่ายต่างๆ ในเมื่อความเกลียดชังแต่โบราณและปัญหารุนแรงที่ไม่มีทางแก้ไขได้ง่ายนั้น กลับสร้างบรรยากาศแห่งความโกรธแค้น และเพิ่มความรุนแรงขึ้น แต่สิ่งที่เป็นอันตรายต่อสันติภาพในอนาคตไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือการไม่สามารถใช้ “ปัญญา” แก้ปัญหาที่เกิดจากสภาพสังคมใหม่ๆ ในหลายๆ ประเทศ อันเป็นผลมาจากการอพยพที่เพิ่มมากขึ้น และเกิดสถานการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่ประชาชนต่างวัฒนธรรมและอารยธรรมต้องมาอยู่ด้วยกัน
สารบอกไว้ว่า แม้จะเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะถือว่าวัฒนธรรมของตนเองมีคุณค่า แต่จำเป็นที่จะต้องรับรู้ด้วยว่า “ทุกๆ วัฒนธรรมก็มีข้อจำกัดของตน” ตามสภาพความเป็นจริงของมนุษย์และของประวัติศาสตร์ หากจะป้องกันมิให้เกิดความคิดที่ถือว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่งจนกลายเป็นการ “แยกตัว” นั้น วิธีแก้ที่มีผลก็คือ “การเรียนรู้จักวัฒนธรรมอื่นๆ อย่างชัดเจนและปราศจากอคติใดๆ”
ยิ่งกว่านั้น เมื่อศึกษาวัฒนธรรมอย่างรอบคอบและถูกต้อง เราจะพบว่าใต้เปลือกนอกวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างกันนั้น มักจะมี “องค์ประกอบที่สำคัญร่วมกัน” เพราะฉะนั้น เราจึงควรเข้าใจความหลากหลายของวัฒนธรรมในขอบเขตที่กว้างขึ้น คือ “ความเป็นเอกภาพของมนุษยชาติ”
ในอดีต ความแตกต่างทางวัฒนธรรมมักจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างประชาชาติ และเป็นสาเหตุของความขัดแย้งและสงคราม แม้ในช่วงเวลานั้นก็ยังพบสัญญาณเตือนให้เห็น “การอ้างสิทธิที่วัฒนธรรมหนึ่งๆ กระทำต่ออีกวัฒนธรรมหนึ่งๆ อย่างก้าวร้าว” ซึ่งมีเพิ่มมากขึ้นทุกวันในส่วนต่างๆ ของโลก
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 เตือนไว้ในสารฉบับนี้ว่า “ในระยะยาวสถานการณ์การรุกรานทางวัฒนธรรมจะนำไปสู่ความตึงเคีรยดและความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดหายนะได้ อย่างน้อยสถานการณ์เช่นนี้ก็ทำให้ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมต้องประสบกับความยากลำบาก ในการอาศัยอยู่ในสังคมที่มีวัฒนธรรมของชนส่วนมาก ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมของตนและทำให้เสี่ยงต่อการเกิดความคิดและการกระทำที่เป็นอริและแบ่งแยกเชื้อชาติ”
สารฉบับนี้กล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า “การคลั่งไคล้เอกลักษณ์ถึงขั้นรุนแรง นับว่าน่าเป็นห่วง แต่ที่เป็นอันตรายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ “การตกเป็นทาสทางวัฒนธรรม” ตามรูปแบบวัฒนธรรมที่ได้รับอิทธิพลจากโลกตะวันตก เพราะการปลีกตัวออกห่างจากต้นกำเนิดของคริสตศาสนาของตน ทำให้รูปแบบทางวัฒนธรรมเหล่านี้ มักจะได้รับอิทธิพลจากแนวทางชีวิตที่เน้นเรื่องฝ่ายโลก ไม่นับถือพระเจ้า และด้วยรูปแบบปัจเจกชนนิยมอย่างโจ่งแจ้งเป็นประการสำคัญ”
นี่คือปรากฏการณ์ส่วนใหญ่ที่ได้รับการค้ำจุนโดยสื่อมวลชนอันทรงพลัง ซึ่งมุ่งที่จะเผยแพร่วิถีชีวิต แผนการทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งรูปแบบวัฒนธรรมตะวันตก มักจะมีเสน่ห์ชวนหลงใหลเพราะมีพื้นฐานที่น่าตื่นตาตื่นใจจากวิทยาศาสตร์และวิชาการ แต่สารฉบับนี้ระบุไว้ว่า “วัฒนธรรมตะวันตกเหล่านี้ลดคุณค่าของมนุษย์ ชีวิตจิต และศีลธรรมลงอย่างมาก และเป็นวัฒนธรรมที่พยายามจะขจัดพระเป็นเจ้า ซึ่งเป็นองค์ความดีสูงสุด”
สารฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า “วัฒนธรรมที่ไม่นับถือพระเจ้าก็จะสูญเสียจิตวิญญาณของตน หลงทาง และกลายเป็นวัฒนธรรมแห่งความตาย”
เนื้อหาของสารกล่าวอย่างชัดเจนว่า “มนุษย์แต่ละคนบรรลุวุฒิภาวะโดยการเปิดใจกว้างรับผู้อื่น และด้วยการให้ตัวเองแก่ผู้อื่นอย่างใจกว้าง วัฒนธรรมเองก็เช่นกัน มนุษย์เป็นผู้สร้างวัฒนธรรมเพื่อให้รับใช้ตน วัฒนธรรมจึงต้องมีการเสริมสร้างให้สมบูรณ์ด้วยการเสวนาและด้วยความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันบนพื้นฐานเอกภาพดั้งเดิมของครอบครัวมนุษยชาติ เพราะครอบครัวมนุษยชาติมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า”
สารฉบับนี้บอกกับเราว่า “ความเป็นหนึ่งเดียวกัน มิได้หมายถึงความเหมือนกันแบบไม่มีชีวิตชีวา หรือการผสมผสานเข้ากัน โดยการบังคับขืนใจ หรือโดยการถูกกลืน แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงการพบกันของรูปแบบที่หลากหลาย ซึ่งเป็นเครื่องหมายของความร่ำรวยและคำสัญญาของความเจริญก้าวหน้าที่แท้จริง”
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 กล่าวไว้ในสารฉบับนี้ว่า “เมื่อต้องเผชิญกับความไม่เสมอภาคในโลกมากขึ้นทุกวัน คุณค่าหลักที่ต้องส่งเสริมให้เกิดขึ้นในวงกว้างมากยิ่งๆ ขึ้นนั้น คือ ความสมานฉันท์”
ซึ่ง “การส่งเสริมความยุติธรรม” เป็นหัวใจของวัฒนธรรมแห่งความสมานฉันท์ที่แท้จริง เรื่องนี้มิใช่เพียงแค่การให้ส่วนเกินของตนแก่ผู้ที่ต้องการเท่านั้น แต่ยังหมายถึง “การช่วยประชาชาติทั้งมวลที่ถูกกีดกันและถูกขับออกไปอยู่ชายขอบ ให้เข้ามาในแวดวงการพัฒนาทางเศรษฐกิจและพัฒนามนุษย์ หากจะให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ไม่เป็นการเพียงพอที่จะอวดอ้างชักจูงด้วยปัจจัยส่วนเกิน ซึ่งตามความจริงแล้วโลกของเราผลิตได้อย่างมากมายอยู่แล้ว แต่เหนือสิ่งอื่นใดเราต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตและการบริโภค ทั้งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจที่กำกับสังคมอยู่ในปัจจุบัน”
และ “การเสวนาระหว่างวัฒนธรรมที่แท้จริง” นอกจากจะต้องตระหนักถึงการเคารพกันและกันแล้ว ต้องไม่ลืมส่งเสริมความสำนึกที่แจ่มชัดเกี่ยวกับ “คุณค่าชีวิต” ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 กล่าวไว้ในสารฉบับนี้ว่า “เราไม่อาจถือว่าชีวิตมนุษย์เป็นเพียงวัตถุที่เราสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่เราต้องถือว่าชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และไม่อาจล่วงละเมิดได้ โลกจะไม่มีสันติภาพหากความดีพื้นฐานที่สุดนี้ ไม่ได้รับการคุ้มครอง และเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกร้องสันติภาพ แต่เหยียดหยามชีวิต”
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 ยังกล่าวไว้อีกว่า “แม้ในยุคสมัยของเราจะมีตัวอย่างความใจกว้างและการอุทิศตนเพื่อรับใช้ชีวิต แต่ยังมีภาพอันน่าสลดของคนนับร้อยล้านทั้งชายและหญิงที่ความโหดร้ายและความเพิกเฉยทำให้พวกเขามีอนาคตที่เจ็บปวดและมืดมน ข้าพเจ้าหมายถึงวงจรอุบาทว์แห่งความตาย ซึ่งรวมการฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย การทำแท้ง การุณยฆาต การทำให้พิการ การทารุณทั้งทางกายและจิตใจ การบังคับอย่างไม่ยุติธรรมในรูปแบบต่างๆ การคุมขังโดยพลการ การหวนกลับไปใช้โทษประหารชีวิตโดยไม่จำเป็น การเนรเทศ การเป็นทาส การประเวณี การค้าผู้หญิงและเด็ก นอกจากที่กล่าวมาแล้ว เรายังต้องเพิ่มพันธุวิศวกรรมศาสตร์ที่ขาดความรับผิดชอบ เช่น การโคลนนิ่งและการใช้ตัวอ่อนมนุษย์เพื่อการวิจัย ซึ่งมักอ้างอย่างไม่ชอบธรรมถึงเสรีภาพ ความก้าวหน้าทางวัฒนธรรม และความเจริญของมนุษยชาติ เมื่อสมาชิกที่อ่อนแอและเปราะบางที่สุดของสังคมต้องตกเป็นเหยื่อของความโหดร้ายดังกล่าว ความคิดในเรื่องครอบครัวมนุษยชาติที่สร้างอยู่บนคุณค่าของตัวมนุษย์ ความไว้ใจ การเคารพกัน และการสนับสนุนซึ่งกันและกันก็จะเสื่อมถอยลงอย่างน่าอันตราย อารยธรรมที่อยู่บนพื้นฐานของความรักและสันติภาพจะต้องคัดค้านการทดลองเหล่านี้ ซึ่งไม่เหมาะสมกับมนุษย์เลย”
สารฉบับนี้บอกกับเราว่า “เพื่อจะสร้างอารยธรรมแห่งความรักนั้น การเสวนาระหว่างวัฒนธรรมจะต้องมุ่งขจัดความเห็นแก่ตัวทางเชื้อชาติให้หมดสิ้นไป และช่วยให้มนุษย์สามารถประสานการเคารพ เอกลักษณ์ของตนกับความเข้าใจในเอกลักษณ์ของผู้อื่น และการเคารพต่อความหลากหลาย”
แม้การเสวนามักจะเป็นเรื่องยาก เพราะถูกถ่วงด้วยมรดกอันโหดร้ายจากสงคราม ความขัดแย้ง ความรุนแรง และความเกลียดชัง ซึ่งยังคงอยู่ในความทรงจำของประชาชน เนื่องด้วยเกิดมีเขตแดนอันเนื่องมาจากการขาดการติดต่อกันนั้น เขตแดนนี้จะต้องเชื่อมกันโดยหนทางการให้อภัยและการคืนดีกัน หลายคนถือว่าสิ่งนี้เป็น “อุดมการณ์ที่เพ้อฝัน” แต่ในมุมมองของคริสตชนแล้ว หนทางนี้เท่านั้นที่จะนำไปสู่เป้าหมายของสันติภาพได้
ในช่วงท้ายของสารฉบับนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 ฝากความหวังไว้ที่บรรดาเยาวชนคนหนุ่มสาวจากทุกวัฒนธรรมและภาษา พระองค์เชื่อมั่นว่าเยาวชนทั้งชายหญิง จะเป็นผู้สร้างความสมานฉันท์ สันติภาพ และความรักชีวิต ด้วยการเคารพมนุษย์ทุกคน นอกจากนี้ บรรดาเยาวชนคือผู้สร้างมนุษยชาติใหม่ ซึ่งเป็นพี่น้อง ทุกคนเป็นสมาชิกของครอบครัวเดียวกัน และในที่สุดก็สามารถดำรงชีวิตในสันติสุข
| เขียนความคิดเห็น (0 ความคิดเห็น) |
|
|
|
<< หน้าแรก < ย้อนกลับ 81 82 83 84 85 86 87 88 89 90 หน้าถัดไป > หน้าสุดท้าย >>
|
ผลลัพธ์ 802 - 810 จาก 847 |