ความรู้เรื่อง อีโบล่า
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 28 ส.ค. 2014 3:40 pmโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola)
เชื้อไวรัส Ebola เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดอาการโรคติดเชื้อชนิดเฉียบพลันรุนแรง ซึ่งไม่ใช่โรคที่เกิดใหม่เพราะมีรายงานการพบเชื้อโรคนี้ครั้งแรกเมื่อเกือบ 40 ปีมาแล้ว แต่เนื่องจากยังไม่มียารักษาเฉพาะ จึงทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตค่อนข้างสูงจากอาการอักเสบของตับ ไต รวมถึงการมีเลือดออกเหมือนโรคไข้เลือดออกเพราะเชื้อไวรัส Ebola ทำให้เลือดไม่แข็งตัว
ดังนั้นหลังจากร่างกายได้รับเชื้อ 2-21 วัน (ระยะฟักตัวของเชื้อ) ผู้ป่วยจะมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอ เจ็บคอ อาเจียน ท้องเสีย มีผื่นแดงตามตัว และผู้ป่วยที่มีอาการหนักก็จะมีเลือดกำเดาไหล เลือดออกจากเหงือก อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระเป็นสีดำและเลือดออกในอวัยวะภายใน จึงทำให้ผู้ป่วยมากกว่าครึ่งหนึ่งเสียชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการระบาดในพื้นที่ที่ขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์รวมถึงความไม่พร้อมของเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นในการดูแลรักษาผู้ป่วย
สำหรับประเทศไทยนั้นยังไม่เคยมีรายงานการพบเชื้อไวรัส Ebola มาก่อนและโอกาสที่จะเกิดการระบาดในประเทศไทยก็เป็นไปได้ค่อนข้างน้อย เพราะมาตรการป้องกันโรคและประสิทธิภาพการรักษาโรคของประเทศไทยอยู่ในระดับมาตรฐานสากล ดังเช่นการสามารถจัดการกับปัญหาโรคซาร์ส (SARS) ที่เคยระบาดเมื่อหลายปีก่อนได้ ทั้งๆที่ความสามารถแพร่กระจายเชื้อของโรคซาร์สมีสูงกว่าไวรัส Ebola โดยโรคซาร์สติดต่อกันได้จากระบบทางเดินหายใจซึ่งกระจายเชื้อผ่านทางละอองฝอยจากการไอ จาม ได้ง่ายกว่าการติดเชื้อไวรัส Ebola ที่ไม่สามารถติดต่อผ่านทางลมหายใจ แต่ต้องติดต่อผ่านการสัมผัสผิวหนังและเยื่อเมือกของผู้ป่วย รวมถึงการสัมผัสโดยตรงต่อสารคัดหลั่งที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อน เช่น เลือด น้ำตา น้ำลาย อาเจียน ปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ เป็นต้น
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันเชื้อไวรัส Ebola แล้ว แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยที่ยังไม่ทราบว่าจะสำเร็จเมื่อไร การดูแลป้องกันตนเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยหลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย และการปฏิบัติตามคาถา“กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” จะเป็นเกราะป้องกันตัวอย่างดีสำหรับประชาชนทั่วไป ให้พ้นภัยประกันโรคร้ายแรงที่กำลังเป็นข่าวครึกโครมสร้างความตระหนกให้ผู้คนทั่วโลกในเวลานี้
เชื้อไวรัส Ebola เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดอาการโรคติดเชื้อชนิดเฉียบพลันรุนแรง ซึ่งไม่ใช่โรคที่เกิดใหม่เพราะมีรายงานการพบเชื้อโรคนี้ครั้งแรกเมื่อเกือบ 40 ปีมาแล้ว แต่เนื่องจากยังไม่มียารักษาเฉพาะ จึงทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตค่อนข้างสูงจากอาการอักเสบของตับ ไต รวมถึงการมีเลือดออกเหมือนโรคไข้เลือดออกเพราะเชื้อไวรัส Ebola ทำให้เลือดไม่แข็งตัว
ดังนั้นหลังจากร่างกายได้รับเชื้อ 2-21 วัน (ระยะฟักตัวของเชื้อ) ผู้ป่วยจะมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอ เจ็บคอ อาเจียน ท้องเสีย มีผื่นแดงตามตัว และผู้ป่วยที่มีอาการหนักก็จะมีเลือดกำเดาไหล เลือดออกจากเหงือก อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระเป็นสีดำและเลือดออกในอวัยวะภายใน จึงทำให้ผู้ป่วยมากกว่าครึ่งหนึ่งเสียชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการระบาดในพื้นที่ที่ขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์รวมถึงความไม่พร้อมของเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นในการดูแลรักษาผู้ป่วย
สำหรับประเทศไทยนั้นยังไม่เคยมีรายงานการพบเชื้อไวรัส Ebola มาก่อนและโอกาสที่จะเกิดการระบาดในประเทศไทยก็เป็นไปได้ค่อนข้างน้อย เพราะมาตรการป้องกันโรคและประสิทธิภาพการรักษาโรคของประเทศไทยอยู่ในระดับมาตรฐานสากล ดังเช่นการสามารถจัดการกับปัญหาโรคซาร์ส (SARS) ที่เคยระบาดเมื่อหลายปีก่อนได้ ทั้งๆที่ความสามารถแพร่กระจายเชื้อของโรคซาร์สมีสูงกว่าไวรัส Ebola โดยโรคซาร์สติดต่อกันได้จากระบบทางเดินหายใจซึ่งกระจายเชื้อผ่านทางละอองฝอยจากการไอ จาม ได้ง่ายกว่าการติดเชื้อไวรัส Ebola ที่ไม่สามารถติดต่อผ่านทางลมหายใจ แต่ต้องติดต่อผ่านการสัมผัสผิวหนังและเยื่อเมือกของผู้ป่วย รวมถึงการสัมผัสโดยตรงต่อสารคัดหลั่งที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อน เช่น เลือด น้ำตา น้ำลาย อาเจียน ปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ เป็นต้น
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันเชื้อไวรัส Ebola แล้ว แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยที่ยังไม่ทราบว่าจะสำเร็จเมื่อไร การดูแลป้องกันตนเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยหลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย และการปฏิบัติตามคาถา“กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” จะเป็นเกราะป้องกันตัวอย่างดีสำหรับประชาชนทั่วไป ให้พ้นภัยประกันโรคร้ายแรงที่กำลังเป็นข่าวครึกโครมสร้างความตระหนกให้ผู้คนทั่วโลกในเวลานี้