กรดไหลย้อน โรคยอดฮิตของหนุ่มสาววัยทำงาน โดยเฉพาะสาวออฟฟิศ ที่ชอบกินจุบกินจิบ กินอาหารไม่เป็นเวลา และเร่งรีบ รวมถึงผู้ชอบอาหารรสจัด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ทานอาหารแล้วนอนทันที มีอาการ คล้ายๆ กับอาการของโรคกระเพาะ คือ มีอาการปวดท้อง ปวดแสบร้อนในช่องท้องส่วนบน เรอเปรี้ยว หรือ มีรสขมในปาก แต่จริงๆ แล้วจะมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อร่วมด้วย จึงทำให้คนส่วนใหญ่มักจะคิดไปเองว่าตนเองอาจจะเป็นโรคกระเพาะอาหารแล้วซื้อยามาทานเองซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ตรงจุด โดยอาการของโรคกรดไหลย้อน แบ่งเป็น 2 ระบบ ดังนี้
1. อาการที่เกิดในหลอดอาหาร จะมีอาการเจ็บคอ กลืนลำบาก รู้สึกเหมือนมีก้อนอยู่ในลำคอ แสบลิ้นเรื้อรัง จุกแน่นแถวๆ หน้าอกคล้ายอาหารไม่ย่อย อาการนี้มักจะเป็นมากขึ้นหลังอาหารมื้อหลัก การโน้มตัวไปข้างหน้า การยกของหนัก หรือ การนอนหงาย ที่สำคัญ คือ จะมีอาการแสบหน้าอก เรอเปรี้ยว รู้สึกเหมือนมีกรดซึ่งเป็นน้ำรสเปรี้ยว หรือ รสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก ภาวะดังกล่าวนี้อาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบ ถ้าเป็นมากจนเกิดแผลรุนแรง อาจทำให้หลอดอาหารตีบหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์ของเยื่อบุอาหารได้
2. อาการนอกหลอดอาหาร จะมีเสียงแหบเรื้อรัง มักมีเสียงแหบตอนเช้า หรือ มีเสียงผิดปกติไปจากเดิม ไอเรื้อรัง รู้สึกสำลักในเวลากลางคืน หรือ ในบางรายอาจมีอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด หรืออาการเจ็บหน้าอกได้ ดังนั้นหากมีอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังถูก "โรคกรดไหลย้อน" คุกคาม
วิธีการรักษาและป้องกันโรคกรดไหลย้อนที่ง่ายที่สุด
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
-ลดน้ำหนักสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน เพราะคนอ้วนจะมีความดันในช่องท้องสูง ทำให้กรดไหลย้อนได้มาก
-งดบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เกิดกรดมาก และหูรูดอ่อนแรง
-ใส่เสื้อหลวมๆ
-ไม่ควรนอน ออกกำลังกาย หรือ ยกของหนักหลังรับประทานอาหาร
-งดรับประทานอาหารก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
-งดอาหารมันๆ อาหารทอด งดอาหารรสจัด
-รับประทานอาหารพออิ่ม
-หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ สุรา
-นอนหัวให้สูงประมาณ 6-10 นิ้ว โดยหนุนที่ขาเตียง ไม่ควรใช้หมอนหนุนที่ศีรษะ เพราะทำให้ความดันในช่องท้องสูง
-ผ่อนคลายความเครียด
โรคของคนทำงานนั้นมีมากมาย และเกิดขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีการรักษา และวิธีบรรเทาอาการ แต่หากเรายังคงปฏิบัติตัวหรือใช้วิถีชีวิตแบบเดิมๆ ก็มีโอกาสกลับมาเป็นอีก ดังนั้นควรหมั่นดูแลสุขภาพให้ดี เพื่อป้องกันโรคภัย ต่างๆ อีกมากที่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่ระวัง
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
kwamru.com
health.kapook.com
cigna.co.th